บทที่ 94 มังกรทะยานผ่านแม่น้ำ ปะทะ งูดินเจ้าที่
หนิงชิงเชวี่ยที่ออกเดินทางมาก็ไม่เคยพบเจอโจรผู้ร้าย...ทั้งยังคิดว่าที่เซียวเล่ยพูดก็ดูจะเกินจริงไปบ้าง ถึงแม้จะเป็นเมืองชายแดนแต่ก็ไม่น่าจะวุ่นวายโกลาหลขนาดนั้น มาตอนนี้ถึงเพิ่งจะได้รู้ว่าเมืองหลิวเฉอนั้นวุ่นวายขนาดไหน ในสถานที่สาธารณะยังทำตัวกร่างไม่สนใจกฏหมายได้แบบนี้...ทั้งยังไม่มีใครคิดจะห้ามปรามเลยด้วย
“ให้เวลา 3 วิ เข้ามารินเหล้าขอโทษพี่เว่ยซะดีๆ ไม่งั้นบิดาคนจะจับแก้ผ้าแล้วเอามันตรงนี้เลย!” ตัวฉื่อเว่ยเดิมทีไม่เคยมีความอดทนหรือมีแก่ใจจะมารอผู้หญิงที่ไหน ในความคิดของเขานั้น...ผู้หญิงก็แค่ของเล่นสำหรับผู้ชายเท่านั้น
หนิงชิงเชวี่ยมองไปยังบาร์ที่เต็มไปด้วยสายตาอันเฉยชาด้วยสีหน้าขาวซีด ทั้งยังมีชายหน้าโหดเหี้ยมที่ชื่อพี่เว่ยนี่อีก หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกสั่นกลัวในหัวใจ...ต่อให้ต้องตายเธอก็จะไม่ยอมให้ร่างกายของเธอต้องมาแปดเปื้อนที่นี่แน่! ทว่าจนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้พบหน้าเย่โม่เลยสักครั้ง...ตัวหนิงชิงเชวี่ยที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้สัมผัสกับโลกด้านมืดมาก่อน...ในที่สุดก็ได้เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ไร้เหตุผล’ เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ มันมีบางเรื่องที่เมื่อพบเจอกับตัวเองเท่านั้นจึงจะรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว
“ฉันมาหาสามีชื่อเย่โม่ เขาอยู่ที่หลิวเฉอนี้ นายทำอะไรฉันไม่ได้...” แม้แต่หนิงชิงเชวี่ยยังรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองนั้นทั้งหวาดกลัวและอ่อนแรง เธอได้ยินมาจากเซียวเล่ยว่าโย่โม่ช่วยชีวิตเธอไว้ที่หลิวเฉอ เธอจึงแค่อยากจะลองพูดออกไปดูเพื่อทดสอบว่ามีคนรู้จักเย่โม่ไหม
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!...หลังจากนี้ผัวของเธอคือฉัน! เย่โม่อะไรนั่น...ถ้ามันอยู่ที่หลิวเฉอล่ะก็...ฉันจะทำให้มันหายไปเอง!” ฉื่อเว่ยหัวเราะออกมาด้วยความอวดดีพร้อมยื่นมือเตรียมจะลากตัวหนิงชิงเชวี่ยไป
ความรู้สึกรังเกียจปรากฏวาบในแววตาของหนิงชิงเชวี่ย เธอถอยฉากหลบไปอีกครั้ง
“ค*ยเอ๊ย!...” ครั้งนี่ฉื่อเว่ยโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธเขาแม้แต่คนเดียว มาวันนี้กลับมีผู้หญิงกล้าปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า...นี่มันจะลบหลู่เขาเกินไปแล้ว!
“ช้าก่อน! พี่เว่ย…ฟังผมพูดก่อน...” ทันใดนั้นเองก็มีชายหนุ่มอายุ 20 ปีขึ้นหนึ่งเดินเข้าประสานมือคำนับ
ผู้คนรอบข้างต่างพากันรู้สึกแปลกใจเมื่อเวลานี้ยังกล้ามีคนมาขัดขวางความสุขของฉือเว่ยอีก นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ? แต่เมื่อมองให้ชัดว่าเป็นใคร...พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
นั่นเพราะชายหนุ่มที่ประสานมือคำนับคนนี้มีชื่อว่า ฉือโถว (แปลว่าหิน คนเก่าเจ้าเดิมจ้า) เป็นลูกน้องคนสนิทของฟางหนาน ถึงแม้ในทุกวันนี้เมืองหลิวเฉอจะยังไม่ได้อยู่ภายใต้ ‘แก๊งค์โพตาว’ 100% เต็มก็ตาม ทว่าตั้งแต่ ‘แก๊งค์โพตาว’ ถล่ม ‘แก๊งค์เยวี่ยหนาน’ และ ‘แก๊งค์เฟย’ ไปคราวนั้น...ก็ไม่มีแก๊งค์ไหนกล้าต่อกรกับพวกเขาอีกเลย ผู้คนส่วนใหญ่ที่แต่ก่อนใช้ชีวิตและลักลอบขนส่งสินค้าภายในหลิวเฉอ...พวกเขาต่างต้องไว้หน้างูเจ้าถิ่นอย่าง ‘แก๊งค์โพตาว’ แห่งหลิวเฉออยู่ 3 ส่วน
ถึงแม้ฉื่อเว่ยจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่มีคนมาขัดจังหวะแบบนี้ แต่เขาก็รู้จักกับฉือโถวอยู่ ชายหนุ่มคนนี้ติดสอยห้อยตามฟางหนานมาโดยตลอด เขามีอำนาจใน ‘แก๊งค์โพตาว’ อยู่หลายส่วน ถึงแม้ตัวฉื่อเว่ยจะเปรียบได้กับ ‘มังกรทะยานผ่านแม่น้ำ’ แต่เขาก็ไม่คิดจะทำเกินเหตุเช่นกัน
เห็นดังนั้นฉื่อเว่ยจึงพูดเพียงว่า “น้องฉือโถวมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ แต่ผู้หญิงคนนี้พี่จองไว้แล้ว...หวังว่าน้องฉือโถวจะรีบๆ พูดให้จบ พี่จะได้ไปทำเรื่องของพี่!”
น้ำเสียงที่ใช้พูดยังถือว่าไว้หน้ากันอยู่หลายส่วน ทว่าความยโสโอหังอันไร้ข้อกังขากลับแสดงออกมาอย่างแจ่มชัด เห็นได้ชัดว่าต่อให้เขาให้เกียรติฉือโถวอยู่ 3 ส่วน...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัว ‘แก๊งค์โพตาว’ แต่อย่างใด
สีหน้าของฉือโถวเปลี่ยนไปมา...แต่ก็ไม่ได้หักล้างคำพูดของฉื่อเว่ยแต่อย่างใด นั่นเพราะเขาเองก็รู้ประวัติของ ‘เม่น’ ตัวนี้อยู่เหมือนกัน เขาไม่เพียงแต่ใช้ชีวิตอยู่ในหลิวเฉอได้อย่างกลมกลืนเท่านั้น...แม้แต่ตรงชายแดนเขายังไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล สาเหตุก็เพราะเขาเป็นคนสำคัญของ ‘แก๊งค์เหลี่ยงชี’ (สะเทินน้ำสะเทินบก) นั่นเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘แก๊งค์เหลี่ยงชี’ แล้ว ‘แก๊งค์โพตาว’ ก็เป็นได้แค่งูดินตัวหนึ่ง สาเหตุก็เพราะ แก๊งค์เหลี่ยงชี นั้นถือได้ว่าเป็นแก๊งค์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 1 ของชายแดน พวกมันทำธุรกิจตรงชายแดนเอเชีย-แอฟริกามาอย่างยาวนาน ธุรกิจการค้าที่ทำล้วนได้กำไรมหาศาล ว่ากันว่า ‘แก๊งค์เหลี่ยงชี’ นั้นขึ้นตรงกับ ‘หนานชิง’ ด้วย คำว่า ‘หนานชิง’ 2 คำนี้...สำหรับคนในวงการใต้ดินแค่ได้ยิน 2 คำนี้ก็หวาดกลัวหัวหดกันแล้ว
สำหรับพวกมันแล้วหลิวเฉอก็เป็นแค่ที่มั่นเล็กๆ ที่หนึ่งเท่านั้น ถ้ามาหาเรื่อง ‘แก๊งค์เหลี่ยงชี’ แล้วล่ะก็...ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมคาดเดาได้เลย ดังนั้นฉื่อเว่ยจึงไม่ได้ไว้หน้าฉือโถวมากนัก...ฉือโถวเองก็ไม่กล้าจะว่ากล่าวอะไรเขาเช่นกัน
“ขอโทษนะ แต่เมื่อกี้เธอบอกว่าเย่โม่คือสามีของเธอ...เธอหมายถึงเย่โม่ไหน?” ฉือโถวเดินมาข้างประตูแล้วถามหนิงชิงเชวี่ยตรงๆ เขารู้ว่าฉือเว่ยเป็นพวกใจร้อนหุนหันขนาดไหน
ขณะที่หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกตื่นตระหนกจนไม่รู้จะทำยังไงดีอยู่นั้นเองก็มีคนมาถามเธอ หนิงชิงเชวี่ยคล้ายกับคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้เอาไว้ได้ ที่เธอกลัวไม่ใช่ความตาย...อาจพูดได้ว่าเธอเคยผ่านมันมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่การต้องมาแปดเปื้อนนั้นสำหรับเธอถือว่าร้ายแรงกว่าความตายเสียอีก ไม่อย่างนั้นตอนที่มีคนมารักษาเธอคงไม่กลัวเรื่องถูกคนมองร่างกายขนาดนั้น
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉือโถวถาม เธอจึงรีบตอบทันที “ฉันมาหาสามีที่ชื่อเย่โม่ ก่อนหน้านี้เขามาหลิวเฉอ...ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนจึงได้มาตามหาเขาที่นี่” แล้วหนิงชิงเชวี่ยก็อธิบายรูปร่างหน้าตาของเย่โม่ออกมาให้ฟัง
พอฟังหนิงชิงเชวี่ยพูดจบ ฉือโถวก็รู้ทันทีว่าคนที่หญิงสาวตรงหน้าพูดถึงต้องเป็นพี่ใหญ่เย่โม่แน่นอน มิน่าเล่า...มีเพียงพี่ใหญ่อย่างเย่โม่เท่านั้นที่มีภรรยาสวยขนาดนี้ได้
แต่เพราะเขารู้จักลักษณะนิสัยของ ‘เม่น’ ตัวนี้ดีจึงได้แต่หันไปพูดกับลูกน้องที่ตามเขามาด้วย “ไปรายงานพี่ฟางหนาน บอกเขาว่าภรรยาพี่เย่มา”
“นายหมายความว่ายังไง?” ฉื่อเว่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคำพูดของฉือโถวมีบางอย่างแปลกๆ...ราวกับไม่คิดจะยกผู้หญิงคนนี้ให้กับเขาอย่างนั้นแหละ
“ขอโทษด้วย…พี่ฉื่อ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนของพี่เย่ของพวกเรา จะเอาไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” ฉือโถวพูดจบก็โบกมือครั้งหนึ่ง ลูกน้องทั้ง 3 คนที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวเข้ามา
สีหน้าของฉื่อเว่ยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าต้องการต่อต้านฉัน รึฟางหนานมันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว? บอกทีสิ...ผู้หญิงคนนี้ฉันจองแล้ว ต่อให้ฟางหนานมันมาเองก็ไม่มีประโยชน์ พวกแก...พาตัวผู้หญิงคนนี้ไป!”
พอฉื่อเว่ยพูดจบ...ชายหนุ่มที่มีรอยสักทั้ง 4 คนซึ่งยืนดูอยู่ตอนแรกก็รีบตรงเข้ามาทันที
ฉือโถวหน้าเปลี่ยนสีทันที หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็โบกมือให้สัญญาณ ลูกน้องที่ตามเขามาด้วยก็เข้ามายืนขวาง...ทั้ง 2 ฝ่ายยืนประจัญหน้ากันทันที
“แค่ลูกไล่อย่างมึงกล้ามาแย่งผู้หญิงกับกูงั้นรึ! คิดจริงๆ หรือว่ากูไม่กล้าทำอะไร!? รอให้กูหักขาสุนัขของมึงก่อนเถอะ...ค่อยให้ฟางหนานมันมาคุยอีกที พวกแก! จัดการพวกมันซะ!” น้ำเสียงของฉื่อเว่ยเปลี่ยนเป็นโอหังโหดเหี้ยมในทันใด
ด้วยคำสั่งของฉื่อเว่ย ลูกน้องที่ยืนอยู่ทั้ง 2 ด้านของเขาก็ตรงเข้ามาทันที มีดดาบที่ถูกซ่อนไว้ในเสื้อก็ถูกชักออกมา ไม่นานที่โรงแรมแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยรอยเลือดแดงฉาน
หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกตื่นตระหนกจนถอยไปอยู่ข้างๆ ประตู เวลานี้เธอถึงค่อยเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งว่าความวุ่นวายของเมืองนี้อยู่ในระดับไหนกันแน่ ถึงกับชัดมีดดาบมาต่อสู้ตะลุมบอนกันแบบนี้...แต่ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ลงมาจัดการเลยสักคน
เนื่องด้วยฝ่ายฉือโถวมีคนน้อยกว่า...ผ่านไปไม่นานก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ขณะที่ฉื่อเว่ยกำลังคิดจะไปลากตัวหนิงชิงเชวี่ยมาแล้วออกไปจากที่นี่นั้น อยู่ๆ ตรงทางก็มีชายอีกกว่า 20 คนตรงเข้ามาอีกครั้ง
เสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวของฟางหนานดังเข้ามา “อัดไอ้พวกสารเลวพวกนี้ให้หมด!”
“ฟางหนาน...มึงกล้าลงมือกับกูหรอวะ!? หรือว่าไม่อยากมีชีวิตรอดอยู่ในหลิวเฉอแล้ว!?” เมื่อได้ยินคำของฟางหนาน ฉื่อเว่ยก็ทั้งโกรธทั้งกังวล เขานึกไม่ถึงว่าแค่บอสในเมืองเล็กๆ อย่างหลิวเฉอถึงกับกล้าลงมือกับเขา ต้องรู้ก่อนว่าตัวเขาเมื่ออยู่ที่เมืองชายแดนเล็กๆ นี้ก็มีฐานะคล้ายกับทูตของทางรัฐ ต่อให้เจ้าถิ่นของที่นี่อาจจะอยากล้อมจัดการเขา...แต่ก็คงไม่มาหาเรื่องเขาแค่เพราะผู้หญิงคนเดียวหรอกมั้ง?
“เฮอะ! มึงหาผลประโยชน์ในถิ่นกูเล็กๆ น้อยๆ กูก็ไม่ว่าอะไร แต่นี่มึงถึงกับกล้าลงมือกับคนของพี่เย่...หาเรื่องตายชัดๆ! อัดไอ้สารเลวนี่ซะ!” ฟางหนานรู้ว่าถ้าหาเรื่องฉื่อเว่ยแล้วผลลัพธ์จะเป็นยังไง แต่เพื่อเย่โม่ที่เขาเคารพราวกับเทพเจ้าแล้วนั้น...อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาของเย่โม่ ตัวเขาไหนเลยจะปล่อยให้คนอื่นทำอะไรเธอได้ ไม่เพียงเท่านั้น...เขายังต้องการแสดงทัศนะคติของตัวเองให้หนิงชิงเชวี่ยเห็นอีกด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับเย่โม่ยังไงดี