ตอนที่ 8 เตรียมตัว
ตอนที่ 8 เตรียมตัว
มู่อี้เดินกลับไปที่วัดร้างด้วยความหิวโหยและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างมาก
เขาไม่สนใจคำพูดของคนที่ไม่เชื่อในตัวเขาและเรียกเขาว่าเป็นนักต้มตุ๋น เขาคุ้นเคยกับการดูถูกเป็นอย่างดีและไม่ได้สนใจคำดูถูกของเจิ้งสือซงที่มองเขาเป็นมดปลวกแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาให้ความสนใจมีเพียงสัจธรรมของชีวิต ซึ่งก็คือความเป็นและความตายที่ไม่สามารถควบคุมได้
เมื่อมองย้อนไปในอดีต เขามีนักพรตเฒ่าคอยอยู่เคียงข้างจึงไม่ต้องเป็นกังวลอะไรมากนัก
แต่ในตอนนี้เขาอยู่คนเดียวตามลำพังทำให้เขาเข้าใจว่า หากไม่มีความแข็งแกร่งแม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ไม่สามารถปกป้องได้
ความคิดนี้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของมู่อี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่รู้สึกต้องการพลังและอยากแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
ถ้าข้าแข็งแกร่งก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้และจะไม่มีใครสามารถตัดสินความเป็นและความตายของข้าได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเขาอ่อนแอและไร้พลังก็จะถูกผู้ที่มีอำนาจเอาชีวิตไปอย่างง่ายดายเพียงแค่ใช้ลมปากออกคำสั่งเท่านั้น
แม้ว่ามู่อี้จะยังเด็กแต่เขาก็เป็นคนละเอียดรอบคอบ เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับพลังมาอย่างง่ายดาย ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพยายามและการฝึกฝนอย่างหนัก ความแข็งแกร่งที่มากขึ้นมักมาพร้อมกับอำนาจที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องการบ่มเพาะมากนัก แต่ชายชราเคยกล่าวเอาไว้ว่าตราบใดที่มีความตั้งใจและมีจิตใจที่แน่วแน่ สักวันหนึ่งเขาก็จะฝึกฝนบ่มเพาะได้สำเร็จ
เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนที่จะต้องไปพบซูหยิงหยิง ถ้านับตามความเป็นจริงก็เหลือเพียงสองวันครึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกการทำจิตใจให้สงบนิ่งและฝึกความอดทนในเวลาที่เหลืออยู่เพียงสองวันครึ่ง เขาคิดตามความเป็นจริง
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือนเขายังไม่สามารถฝึกควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งขั้นที่สองได้สำเร็จ แทบไม่ต้องพูดถึงการฝึกความอดทนเลย
เนื่องจากอีกฝ่ายถามอย่างเจาะจงว่าเขาสามารถสะกดวิญญาณได้หรือเปล่า วัตถุประสงค์ก็ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
การสะกดวิญญาณไม่ใช่เรื่องยากหากเป็นวิญญาณธรรมดาทั่วไป แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถปราบมันได้ตราบใดที่ทำถูกวิธี
ท้ายที่สุดมู่อี้ติดตามนักพรตเฒ่าหลายปีแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นวิญญาณตัวเป็นๆมาก่อน แต่เขาได้จดจำวิธีที่จะสะกดวิญญาณไว้หมดแล้ว
นอกจากนี้เขายังมีของทำพิธีทั้งหมดที่เขาเคยใช้สู้กับผีดิบก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าผีดิบในร่างของท่านปู่ของเขานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่มู่อี้จะจัดการได้ในตอนนั้น
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นภูติผีทั่วๆไปมู่อี้ก็มั่นใจว่าเขาสามารถปราบมันได้ ตราบใดที่เขาสามารถช่วยซูหยิงหยิงปราบหรือขับไล่วิญญาณได้เขาเชื่อว่าครอบครัวของอีกฝ่ายจะไม่ปฏิบัติต่อเขาในทางที่ไม่ดีและเขาก็จะได้ค่าตอบแทนอย่างงดงาม
มีเพียงเงินเท่านั้นที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอดและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้
เมื่อครุ่นคิดสิ่งต่างๆอยู่ภายในใจ มู่อี้ก็เข้าสู่สมาธิโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน มู่อี้ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาและรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิท เขาไม่รู้สึกตัวเลยตั้งแต่ยามบ่ายจนถึงตอนนี้
นี่เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของเขา หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจิตใจว้าวุ่นและหลุดออกจากสมาธิไปนานแล้ว ในตอนนี้เขารู้สึกสดชื่นและสมองปลอดโปร่งอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แต่แล้วความหิวในท้องของเขาก็ทำให้เขากลับมาสู่สภาวะเดิมอีกครั้ง ในตอนนี้เขารู้สึกทรมานจากความหิวโหยเนื่องจากเขาไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลากว่าสามวันแล้ว
มือของมู่อี้สั่นในขณะที่เขากำลังหุงข้าวสารให้อ่อนนุ่ม เขากินข้าวไปกว่า 5 ชามราวกับผีที่หิวโหยได้กลับชาติมาเกิดอีกครั้ง
มู่อี้ยังไม่ได้ล้มตัวลงนอนเลยตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาจาก 'ฝันอันแสนยาวนาน' ก่อนหน้านี้
หากมีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นจะต้องมีที่มาที่ไปอยู่เสมอ มู่อี้คิดไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาก่อนหน้านี้
มู่อี้ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เขาจึงพยายามคิดว่าตนเองได้ทำอะไรที่แปลกไปในตอนบ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่สมาธิ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนถึงแม้ผลลัพธ์ของมันจะไม่น่าพอใจมากนัก แต่มู่อี้ก็รู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น
หลังจากตื่นขึ้นมามู่อี้รู้สึกว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่เพียงมีจิตใจที่สงบเท่านั้น แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ถูกลืมเลือนไปก่อนหน้ากลับปรากฏชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
การเข้าสู่สมาธิเป็นเวลานานทำให้เขาใช้พลังงานไปจำนวนมาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขารู้สึกหิวหลังจากตื่นขึ้นมา และครึ่งเดือนที่ผ่านมามู่อี้รู้สึกว่าร่างกายของเขาอ่อนแอลง หากมีข้าวเพียงอย่างเดียวที่ตกถึงท้องโดยไม่มีเนื้อสัตว์หรือโสมบำรุง ร่างกายของเขาจะต้องแย่แน่ๆ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องรับงานสะกดวิญญาณเพื่อหาเงิน
การสะกดวิญญาณเป็นสิ่งที่มู่อี้พอมีวิชาติดตัวอยู่บ้างและค่าตอบแทนก็ถือว่าไม่เลวเลย
มู่อี้นึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากนักพรตเฒ่าและเขาก็ได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฝึกบ่มเพาะขั้นที่ 1 ได้สำเร็จแต่อีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็จะทำได้แล้ว บางทีการฝึกฝนอีกหนึ่งหรือสองครั้งเขาก็จะสามารถไปถึงขั้นที่ 2 ได้
การที่ดอกไม้ที่ปลูกแล้วไม่เบ่งบานอาจเป็นเพราะมีร่มเงาบางอย่างคอยบดบังแสงแดดเอาไว้
ในชั่วพริบตา วันที่มู่อี้ตกลงกันไว้กับซูหยิงหยิงก็มาถึง
หลังจากตื่นขึ้นมาในยามเช้า มู่อี้ฝึกวิชาหมัดไร้นามบนก้อนหินหน้าวัดร้างอยู่หลายครั้งและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายอย่างเงียบๆ จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมู่อี้
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา มู่อี้ไม่ได้ฝึกการบ่มเพาะอย่างจริงจัง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าตนเองใกล้จะก้าวสู่ขั้นที่ 2 แล้ว เขารู้สึกว่าตราบใดที่ฝึกฝนอย่างถูกต้องหรือมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในจิตใจเขาก็จะสามารถก้าวสู่ขั้นที่ 2 ได้อย่างง่ายดาย
3 วันที่ผ่านมาการฝึกบ่มเพาะของเขามีความก้าวหน้าอย่างมาก
หลังจากมู่อี้รู้ตัวว่าเขาไม่ได้เป็นนักล่าที่ดีนักจึงได้ทำกับดักบางอย่างขึ้นมาและเอาไปวางไว้ตามจุดต่างๆที่มีรอยเท้าสัตว์ เขาโชคดีมากที่มีกระต่ายป่าตัวอวบอ้วน 2 ตัวมาติดกับซึ่งพวกมันช่วยเติมเต็มกระเพาะที่ว่างเปล่าของเขา. .
เมื่อมีเวลาว่างมู่อี้มักจะมองดูนกที่บินผ่านไปมารอบๆตัวเขา มันทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้นอย่างมาก
หลังจากทำกิจกรรมยามเช้าเสร็จสิ้น มู่อี้ก็เดินกลับไปยังห้องที่เขาได้เตรียมสิ่งของต่างๆในการสะกดวิญญาณเอาไว้ เขาหยิบพู่กันและแผ่นกระดาษสีเหลืองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
ในถ้วยที่แตกหักมีชาดจากครั้งที่แล้วหลงเหลืออยู่ แต่เลือดสุนัขสีดำถูกใช้ไปจนหมดแล้ว มู่อี้ไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างใด เขาเอื้อมมือไปหยิบมีดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ กัดฟันแน่นและกรีดมีดลงบนข้อมือของเขา จากนั้นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลก็ค่อยๆไหลลงไปในถ้วยแตกหักที่บรรจุชาดเอาไว้
หากไม่มีการให้ก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆกลับมา การสะกดวิญญาณในครั้งนี้มู่อี้จึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้เลือดของเขา
เหตุผลที่มู่อี้ตัดสินใจเขียนยันต์ขึ้นมาเป็นเพราะการเผชิญหน้ากับผีดิบก่อนหน้านี้ แม้ว่ายันต์ที่เขาเขียนขึ้นมากว่า 90% จะไร้ประโยชน์ แต่สิ่งที่มีประโยชน์เพียงชิ้นเดียวก็ช่วยชีวิตเขาได้ บางทียันต์ที่เขาเขียนขึ้นมาอาจมีประโยชน์ในการสะกดวิญญาณครั้งนี้
และเหตุผลที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือเขาไม่มีเงินที่จะซื้ออะไรอีกแล้ว แม้แต่กระบี่ที่ทำมาจากไม้ลูกพีชก็ได้สูญเสียไปตอนที่ต่อสู้กับผีดิบ
แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถวาดอักขระยันต์สายฟ้าได้สำเร็จ แต่หลังจากได้ฝึกฝนช่วงสามวันที่ผ่านมานี้มู่อี้ก็รู้สึกว่าจิตใจแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก ดังนั้นเขาจึงอยากลองวาดดู
ยันต์ที่มู่อี้สามารถวาดได้มี 5 แบบครึ่งนั่นก็คือ โชคชะตา คุ้มภัย สะกดวิญญาณ ปกป้องที่อยู่อาศัย ปราบปีศาจ และอีกครึ่งแบบคือสายฟ้า
จุดมุ่งหมายในครั้งนี้ของเขาคือการสะกดวิญญาณ ดังนั้นมู่อี้จึงคิดว่ายันต์โชคชะตาและยันต์ปกป้องที่อยู่อาศัยไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ในสถานการณ์นี้
ส่วนยันต์คุ้มภัยสามารถปกป้องเขาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น การสะกดวิญญาณครั้งนี้เขาคงต้องใช้ยันต์สะกดวิญญาณและยันต์ปราบปีศาจเป็นหลัก
ยันต์สะกดวิญญาณใช้สำหรับสะกดวิญญาณที่ชั่วร้ายและบ้าคลั่ง แม้ว่าการสะกดวิญญาณในบ้านตระกูลซูในครั้งนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ แต่มู่อี้รู้สึกว่ามีติดตัวไว้ก็ไม่เสียหาย
สำหรับยันต์ปราบปีศาจ แม้ว่าจะมีคำว่าปีศาจแต่สิ่งที่ยันต์นี้สร้างความเสียหายได้ไม่ได้มีแค่ปีศาจเท่านั้น จริงๆแล้วยันต์ปราบปีศาจเปรียบเสมือนยันต์ประเภทโจมตี แม้แต่มนุษย์และวิญญาณก็สามารถได้รับความเสียหายได้ แต่ยันต์ปราบปีศาจสามารถสร้างความเสียหายต่อวิญญาณได้น้อยที่สุด แต่ตัวมู่อี้เองนั้นไม่มีทางเลือก
เว้นแต่เขาจะสามารถวาดยันต์สายฟ้าได้สำเร็จ เขารู้ดีว่ายันต์สายฟ้าใช้ได้ผลดีกับพวกวิญญาณมากที่สุด เหล่าวิญญาณจะถูกปราบในทันทีที่ใช้ยันต์ แต่น่าเสียดายที่มู่อี้สามารถวาดมันได้แค่ครึ่งเดียว ไม่ใช่เพราะนักพรตเฒ่าไม่สอนเขาแต่เขาไม่มีความสามารถมากพอที่จะวาดอีกครึ่งนึงได้