ตอนที่ 7 ข้อตกลง
ตอนที่ 7 ข้อตกลง
"ปั้ง!"
"เสียงปืน?"
เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันทำให้มู่อี้รู้สึกตกใจอย่างมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็ตั้งสติได้และคาดเดาว่ามันคือเสียงของปืน
มู่อี้ติดตามนักพรตเฒ่าเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆมากมายแม้กระทั่งเคยเข้าไปทำพิธีกรรมในบ้านขุนนางชั้นสูง แต่เขาไม่เคยเห็นเลยว่าปืนมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ตามที่เขาทราบมาอาวุธปืนนั้นมีเพียงกองทัพของราชวงศ์ชิงที่มีอาวุธชนิดนี้ไว้ในครอบครอง
"ทำไมถึงมีเสียงปืนดังขึ้นในป่าแห่งนี้?" มู่อี้รู้สึกสงสัย
หลังจากที่เขาตั้งรกรากอยู่ที่ภูเขาแห่งนี้ เขาคิดว่าบนภูเขาลูกนี้จะมีเขาอาศัยอยู่เพียงแค่คนเดียว แต่ในตอนนี้เหมือนมีแขกที่อันตรายมาเยือน มู่อี้ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป
ในที่สุดมู่อี้ก็ตัดสินใจที่จะเดินตรงไปยังจุดที่เสียงปืนดังขึ้น เขาค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆด้วยความระมัดระวัง
"เจ้าคิดเห็นอย่างไร? มันดีกว่าใช่ไหมล่ะ? ของสิ่งนี้มีอานุภาพมากกว่าอาวุธที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นมาเสียอีก" เมื่อมู่อี้เข้ามาใกล้เขาก็ได้ยินเสียงบทสนทนาที่ชัดขึ้น
"เจิ้งสือซงเจ้าลองพูดเช่นนั้นต่อหน้าท่านพ่อดูสิ" เสียงของชายอีกคนหนึ่งดังขึ้น
จากบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนทำให้มู่อี้รู้ว่าพวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ไม่สนิทสนมกันมากนัก
"เฮ้ ข้ายอมรับว่าข้าเป็นคนไม่เอาไหน แต่วันนี้เจ้าแพ้แล้วอย่าลืมเดิมพันของพวกเราล่ะ" เจิ้งสือซงยิ้มและพูดอย่างภาคภูมิใจ
"หืม! ตะวันยังไม่ตกดินก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะหรอก" อีกเสียงตะโกนออกมาเสียงดัง
"ดี มาตัดสินกันว่าใครจะสามารถล่าพังพอนตัวสีเหลืองได้ก่อนกัน" เจิ้งสือซงกล่าวในทันที
มู่อี้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นงูที่เลื้อยอยู่ใต้ใบไม้ทำให้เขาขยับตัวหนีโดยสัญชาติญาณ
การเคลื่อนไหวของเขาทำให้เกิดเสียงดังขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ผู้ที่เดินทางเข้ามาในป่าและภูเขามักตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับรู้อันตรายรอบข้าง การขยับตัวของเขาทำให้เจิ้งสือซงและชายอีกคนรู้ตัวในทันที นอกจากนี้อีกฝ่ายมาเพื่อล่าสัตว์ พวกเขาอาจยิงไปยังจุดที่เกิดเสียงขึ้นเพราะคิดว่าเป็นสัตว์ป่าก็เป็นได้
ดังนั้นมู่อี้จึงหลบไปด้านข้างพร้อมกับทำเสียงครวญครางออกมา
"นั่นใคร?"
พอได้ยินเสียงของมู่อี้อีกฝ่ายก็ถามเสียงดังทันที
"มีงู มีงูอยู่ที่นี่" มู่อี้ตะโกนและยืนขึ้นอย่างช้าๆเพื่อแสดงตัวให้อีกฝ่ายมองเห็นเขา
หลังจากยืนขึ้นมู่อี้ก็รู้สึกดีใจที่ตนเองตัดสินใจเช่นนี้
ไม่ไกลจากจุดที่เขาซ่อนตัว ไม่ได้มีเพียงคนเพียง 3 คนเท่านั้นแต่มีกันทั้งหมด 5 คน มีลูกชายของขุนนาง 2 คน หญิงสาวที่ปลอมตัวมา ชายร่างสูงใหญ่ซึ่งดูเหมือนเป็นองครักษ์ และเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
ในตอนนี้ลูกชายขุนนางขึ้นลำปืนและอีกคนหนึ่งง้างคันธนูเล็งไปที่ร่างของมู่อี้ แม้แต่ชายร่างใหญ่ก็ดึงดาบที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมา ถ้าหากมู่อี้ไม่ได้แสดงตัวออกมาผลที่ตามมาอาจเป็นหายนะของเขา
"เจ้าเป็นใคร?"
เมื่อเห็นมู่อี้แสดงตัวออกมาพวกเขาต่างก็รู้สึกโล่งใจ มีเพียงชายร่างใหญ่ที่รีบวิ่งมาหามู่อี้อย่างเร่งรีบและชี้ปลายดาบแหลมไปที่เขา
"ข้าอาศัยอยู่ในหุบเขาฟูเนียวแห่งนี้ วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อล่าสัตว์และบังเอิญเดินผ่านมาทางที่พวกท่านอยู่พอดี" ในขณะที่มู่อี้พูดเขาก็หยิบขวานที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาแล้วโยนลงไปบนพื้น เขาต้องการพิสูจน์ว่าตนเองมาที่นี่เพื่อล่าสัตว์จริงๆและไม่ได้มีพิษภัยต่อพวกเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อี้และเห็นเขาทิ้งขวาน ชายร่างใหญ่ก็พยักหน้าเล็กน้อยและมีสีหน้าที่ดูผ่อนคลายขึ้น
สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือทรงผมและอายุของมู่อี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหากคนธรรมดาไม่โกนผมพวกเขาจะถูกตัดหัว แต่นักบวชลัทธิเต๋าได้รับการยกเว้น เมื่อพวกเขาเห็นทรงผมของมู่อี้จึงรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นนักพรตเต๋า
นอกจากนี้มู่อี้อายุยังน้อยทำให้ดูไม่มีพิษภัยสำหรับพวกเขา
มู่อี้เดินตามชายผู้ถือดาบไปที่ฝูงชนด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง
"ฮ่าฮ่า นักพรตลัทธิเต๋าออกล่าสัตว์อย่างนั้นหรือ? นี่เป็นเรื่องที่ตลกสุดเท่าที่ข้าได้ยินในปีนี้" เจิ้งสือซงหัวเราะขบขัน
เจิ้งสือซงเป็นชายในวัยยี่สิบปี เขามีใบหน้าอ่อนหวานคล้ายผู้หญิงและกำลังถือปืนอยู่ในมือ เขาสวมเครื่องแต่งกายแบบชาวตะวันตกและไว้ผมเปีย แม้ว่าเขากำลังแสดงออกถึงอารมณ์ขันซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ในสายตาของมู่อี้กลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้นและพูดออกมาเบาๆว่า "นักพรตลัทธิเต๋าก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกท่านที่ต้องกินเพื่ออยู่รอด ข้าไม่ได้ขโมยหรือทำให้ใครเดือดร้อนจึงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขันตรงไหน"
"พูดได้ดี การพึ่งพาตัวเองไม่งอมืองอเท้าไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายและดีกว่าคนบางคนเสียอีก" ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะไม่ลงรอยกันกับเจิ้งสือซงตะโกนออกมาเสียงดัง
"จินหลุน ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่นักพรตเต๋าพูดจะเป็นความจริงทั้งหมด เขาอาจจะซ่อนตัวและแอบฟังการสนทนาของเราอยู่ก็ได้ ข้าว่าควรให้ซ่งเหว่ยจับตัวเขาเอาไว้เพื่อซักถามจะดีกว่า" สีหน้าของเจิ้งสือซงดูย่ำแย่และมีจิตสังหารในแววตาของเขา
ในสายตาของเขามู่อี้ไม่แตกต่างไปจากขอทานริมถนน ขอทานที่กล้าโต้เถียงและทำให้เขาเสียหน้ามันก็เท่ากับรนหาที่ตาย นอกจากนี้ในป่าเขาเช่นนี้การฆ่าใครบางคนเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดาย หากเขาไม่กังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องเขาคงทำไปแล้ว
"เจิ้งสือซงเจ้าพูดเกินไปแล้ว เขาเป็นแค่นักพรตเต๋าอายุน้อยคนหนึ่ง" ซูจินหลุนขมวดคิ้วในขณะที่พูด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รับรู้ถึงจิตสังหารในสายตาของเจิ้งสือซงเลย เขาเพียงแค่คิดว่าเจิ้งสือซงต้องการสั่งสอนมู่อี้เท่านั้น
"ถ้าลูกพี่ลูกน้องของข้าพูดเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก เร็วเข้าพวกเรามาตัดสินกันต่อก่อนที่ตะวันจะตกดิน" เจิ้งสือซงยิ้มเล็กน้อยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามมู่อี้คอยสังเกตท่าทีของเขาอยู่ตลอดเวลาและรับรู้ถึงจิตใจที่คับแคบของอีกฝ่าย มู่อี้รู้ดีว่าเพียงคำพูดไม่กี่คำของคนอื่นไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจอย่างแน่นอนและมู่อี้เห็นแววตาที่อาฆาตแค้นของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
แม้ว่ามู่อี้จะยังไม่สามารถทำจิตใจให้สงบ แต่กระแสจิตของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนอื่นมีจิตมุ่งร้ายต่อเขา ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจดีหรือเป็นอันตรายก็สามารถแยกแยะได้ชัดเจน
เมื่อได้ยินเจิ้งสือซงพูดเช่นนั้นออกมา ซูจินหลุนเห็นก็รู้สึกโล่งอกเพราะเขาไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อีก
"ช้าก่อน"
ขณะที่ซูจินหลุนกำลังจะหันหลังกลับก็มีเสียงดังขึ้นข้างๆเขา มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่ปลอมตัวมาซึ่งเธอยืนเงียบมาโดยตลอดและแต่งตัวเป็นผู้ชาย
"เสี่ยวหยิงเกิดอะไรขึ้น?" ซูจินหลุนมองน้องสาวของเขาอย่างงุนงง
ผู้หญิงที่ปลอมตัวมาไม่สนใจเขา มองไปที่มู่อี้โดยตรงและถามว่า "นักพรตเต๋าน้อยท่านอาศัยอยู่บนภูเขาฟูเนียวแห่งนี้ใช่หรือไม่?"
"ใช่ขอรับ" มู่อี้พยักหน้า
"ถ้างั้นท่านก็สามารถสะกดวิญญาณได้สินะ?" ผู้หญิงที่ปลอมตัวมาถาม
"ข้าเคยสะกดวิญญาณมาหนึ่งหรือสองครั้ง" มูอี้ตอบหลังจากหยุดคิดครู่หนึ่ง ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขาถ้าพบวิญญาณทั่วๆไปก็สามารถจัดการได้ แต่เขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสะกดวิญญาณที่ทรงพลัง
แม้ชายชราเคยสอนเขาว่า เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่หยิ่งยโสและจองหอง และมู่อี้เองก็ไม่ได้ต้องการยุ่งเกี่ยวกับพวกเขามากนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้คือการมีชีวิตอยู่ เดิมเขาคิดว่าตนเองสามารถล่าสัตว์เพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดได้ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดและสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือโอกาสในการหาเงิน
"อย่าปล่อยให้มันหลอกสิ ดูมันสิ คิดว่ามันจะสะกดวิญญาณได้อย่างไรกัน? นอกจากนี้วิญญาณก็ไม่มีอยู่จริง มันก็เป็นแค่นักต้มตุ๋นเท่านั้นแหละ" เจิ้งสือซงพูดพร้อมกับหัวเราะ
"นักพรตเต๋าน้อยท่านต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าท่านโกหกข้าก็จะไม่สามารถอยู่บนภูเขาฟูเนียวได้อีกต่อไป" ผู้หญิงที่ปลอมตัวมาไม่สนใจคำพูดของเจิ้งสือซง เธอเริ่มพูดกับมูอี้ต่อไป
สิ่งนี้ทำให้ความเกลียดชังของเจิ้งสือซงที่มีต่อมู่อี้รุนแรงขึ้น
"ทุกท่านไม่ต้องกังวลไป ให้ข้าได้ลองดูก่อน" มู่อี้ตอบกลับอย่างระมัดระวัง
"เอาล่ะ หลังจากนี้สามวันให้ท่านลงมาจากภูเขาและไปพบข้าที่บ้านตระกูลซูและชื่อของข้าคือ ซูหยิงหยิง" เธอบอกกับเขาก่อนที่จะเดินจากเขาไป
"ท่านนักพรตเต๋า เห็นแก่หน้าหยิงหยิงข้าจะปล่อยท่านไป หลังจากนี้สามวันข้าอยากจะเห็นจริงๆว่าสีหน้าของท่านจะเป็นอย่างไร"
มูอี้มองดูพวกเขากำลังแยกเดินจากไป
สามวันสินะ ท่านซูหยิงหยิง…