ตอนที่ 6 ฝันที่ยาวนาน
ตอนที่ 6 ฝันที่ยาวนาน
หลายวันต่อมาเมื่อมู่อี้เห็นตัวเองในกระจกเขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
ผมของเขายุ่งเหยิง ขอบตาดำคล้ำ และใบหน้าซีดเซียวจนดูน่ากลัว
"นี่ใช่ตัวข้าจริงๆหรอ?" มู่อี้รู้สึกปวดศีรษะราวกับถูกกระทบด้วยของแข็ง เขามองเข้าไปในกระจกด้วยดวงตาที่พล่ามัวจากนั้นภาพที่เห็นก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น
"เห้อ ช่างเป็นฝันที่ยาวนานเหลือเกิน" มู่อี้สูดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลานานเพื่อผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกเหมือนฝันไปและมีเหงื่อเย็นไหลออกมาตามร่างกาย
การฝืนตัวเองจนเกินไปทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ถ้าหากเขาไม่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้ร่างกายก็คงจะรับไม่ไหวและตายไปแล้ว
ท้ายที่สุดเขาไม่รู้ขีดจำกัดของตนเองจึงไม่รู้ว่าควรฝึกฝนหนักเบาแค่ไหน
เป็นครั้งแรกที่เขารู้ซึ้งถึงอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความงดงาม อันตรายแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่จะต้องใช้ความเข้าใจกับมันเป็นอย่างดี มันก็เหมือนกับดอกป๊อปปี้ที่มีรูปร่างภายนอกที่สวยงามและดูไม่เป็นอันตรายแต่ภายในแฝงไปด้วยพิษร้ายสามารถทำให้คนๆหนึ่งล้มทั้งยืนโดยไม่รู้ตัว
ในตอนแรกมู่อี้เข้าใจดีว่าเขาไม่สามารถรีบเร่งการฝึกฝนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการในทันที แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เพิกเฉยต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว บางทีทั้งหมดนี้อาจเกี่ยวข้องกับการทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ทำให้เขารู้สึกว่าการฝึกฝนนั้นไม่ได้หนักหนาอะไรเลย
ตอนนี้เขาตาสว่างแล้วและเข้าใจจริงๆว่าการบ่มเพาะมีความหมายว่าอย่างไร
ในคืนนั้นมู่อี้นอนหลับอย่างสงบสุขและไม่มีความฝันใดๆไปตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่อี้ฝึกวิชาหมัดที่เขาไม่ได้ฝึกมาเป็นเวลานานบนก้อนหินก้อนใหญ่หน้าวัดร้าง
วิชาหมัดนี้ถูกถ่ายทอดให้กับเขาโดยนักพรตเฒ่า มันไม่มีชื่อเรียกและมีทั้งหมด 36 กระบวนท่าและมู่อี้ก็ฝึกสำเร็จมาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว
แต่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาเขาไม่มีความรู้สึกอื่นใดเลยนอกจากความแข็งแกร่งที่มากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย เขาไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้เรียกว่ากำลังภายในเลย ท้ายที่สุดมู่อี้ได้จัดให้วิชาหมัดเป็นเคล็ดวิชาที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ลืมเลือนมันไปอาจเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
หลังจากชายชราตายจากไปเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะออกหมัดอีก เขาไม่ได้ใช้มันมาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว
ตอนนี้เขาอยากที่จะใช้มันอีกครั้งและมู่อี้รู้สึกแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย
แม้ว่าการเคลื่อนไหวทั้ง 36 กระบวนท่ามีไม่มากนักแต่มันก็ครอบคลุมทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้พลังปราณและเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
มู่อี้ใช้วิชาหมัดทั้ง 36 กระบวนท่าติดต่อกันสามครั้ง จากนั้นเขาปิดตาลงและทำจิตใจให้ว่างเปล่า
เขาไม่ได้คาดหวังการฝึกฝนในครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเกิดขึ้นภายในร่างกาย
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาลง นอกจากนี้ยังรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่เพียงไม่นานมันก็ค่อยๆแผ่วเบาลงและจางหายไปในความมืด
ในตอนนี้มู่อี้รู้สึกเวียนหัวและตื่นขึ้นมา
"ข้าแค่ ... "
หลังจากตื่นขึ้นมามู่อี้รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเพื่อหวนระลึกถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ ความมืดนั้นดูเหมือนจะสามารถกลืนทุกอย่างได้แต่โชคดีที่เขาตื่นขึ้นได้ทันเวลาก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวิกฤติ ไม่งั้นเขาก็คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
"มีการกล่าวกันว่าวิชาหมัดจะทำให้สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ แม้ว่าวิชาหมัดลัทธิเต๋าที่เก่าแก่ค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังแต่หลังจากมู่อี้ฝึกมาเป็นเวลากว่าแปดปีก็ไม่มีร่องรอยของกำลังภายในปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย มู่อี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความมืดที่ได้เผชิญขึ้นมาอีกครั้ง"
"หรือมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในร่างกายของข้า?" มู่อี้ครุ่นคิด ท้ายที่สุดเขาทำจิตใจให้ว่างเปล่าและรับรู้ถึงพลังบางอย่างที่ไหลเวียนในร่างกาย ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดไปมันจะต้องเป็นกำลังภายในอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่เขาจะได้ดูดซับมันก็เลือนหายไปในความมืดเสียก่อน
"ลืมมันไปซะ ข้าต้องปล่อยวางและทำจิตใจให้สงบ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สามารถแก้ไขในชั่วข้ามคืนได้ เมื่อจิตใจของข้าพร้อม ข้าอาจล่วงรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกาย"
แม้ว่าในตอนนี้มู่อี้จะไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างแต่หลังจากที่เขาฝึกวิชาหมัดมาเป็นเวลา 8 ปี เขาไม่ค่อยล้มป่วยและเป็นไข้หวัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทันใดนั้นมู่อี้ก็นึกถึงปัญหาที่เขากำลังเผชิญในตอนนี้อย่างรวดเร็ว ปัญหาในตอนนี้คือเขาเหลืออาหารอีกไม่มากนัก
แม้ว่าเขาและนักพรตเฒ่าจะใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลสาบมาหลายปี แต่เขาก็พอมีเง็นเก็บอยู่บ้างเช่นกัน แต่แล้วชายชราก็ล้มป่วยเขาจึงต้องนำเงินไปซื้อยาและการซื้อโลงศพหลังชายชราตายจากไปก็เป็นเงินก้อนใหญ่ทำให้เงินเก็บที่มีถูกจ่ายไปจนเกือบหมด
แม้ว่าอาหารที่กักตุนไว้ภายในวัดร้างสามารถประทังชีวิตของเขาได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่เขาก็ต้องเตรียมอาหารเผื่อไว้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามา เมื่อถึงตอนนั้นหิมะจะตกลงมาอย่างหนักและปิดเส้นทางสัญจรบนภูเขาทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีเงินก็ไม่อาจเดินทางไปยังหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารได้ ก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนเขาต้องกักตุนอาหารให้ได้มากที่สุด
"สะกดดวงวิญญาณ? ทำนายดวงชะตา? ประกอบพิธีกรรม?"
ความคิดค่อยๆโผล่ขึ้นมาในสมองของเขา แต่ความคิดเหล่านั้นก็ถูกมู่อี้ปัดทิ้งจนหมด
ท้ายที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเดินทางข้ามแม่น้ำและทะเลสาบเพื่อหาเงินเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งไปกว่านั้นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆไม่ค่อยมีเหตุการณ์โดนวิญญาณหลอกหลอนเพราะในแต่ละปีมีคนตายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีอะไรที่ข้าพอจะทำได้บ้าง
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาที่ไม่มีหนวดเคราอยู่บนริมฝีปากและด้วยวัยที่ยังเด็กเกินไปทำให้ภาพลักษณ์ไม่มีความน่าเชื่อถือเหมือนกับนักพรตเฒ่า
"ลืมมันไปซะ ในตอนนี้ข้าทำได้เพียงล่าสัตว์ ขนสัตว์สามารถขายได้ราคางามและเนื้อของมันยังสามารถนำไปตากแห้งเพื่อเพื่อถนอมอาหารไว้สำหรับกินในฤดูหนาวได้อีกด้วย"
มู่อี้นึกถึงตอนที่เขากำลังตัดต้นไม้ก่อนหน้านี้ เขาเห็นรอยเท้าของสัตว์มากมายอยู่ตามทางที่เขาเดินผ่าน จากความแข็งแกร่งของเขาตราบใดที่เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับเสือโคร่งและเสือดาวก็ไม่มีอันตรายใดๆ. .
เมื่อเขาคิดเช่นนั้น มู่อี้ก็ลับขวานให้คมขึ้นติดตั้งด้ามใหม่ให้มีความยาวกว่าครึ่งเมตร และสุดท้ายเขาเปลี่ยนเสื้อคลุมของเขาเป็นผ้าลินินเรียบง่ายและเดินเข้าไปในภูเขาด้วยความมั่นใจ
บนเนินเขาด้านหลังภูเขาฟูเนียวปกคลุมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่มากมาย แต่โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ของต้นไม้มากมายได้ร่วงโรยลงสู่พื้นหมดแล้ว ทำให้มู่อี้มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเพิ่มมากขึ้น
ไก่ฟ้าที่มีขนสวยงาม หัวสีทองแดง และลำคอลายสีดำปนสีขาวพุ่งตัวออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ มันใช้จะงอยปากแหลมจิกคุ้ยเขี่ยระหว่างใบไม้เพื่อหาอาหารเป็นครั้งคราวในขณะที่ดวงตายังคงเคลื่อนไหวไปมาอย่างเห็นได้ชัด มันคอยระมัดระวังตัวตลอดเวลาในขณะที่หาอาหาร
ทันใดนั้นก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก็พุ่งเข้าหามันพร้อมกับเสียงลม
ไก่ฟ้ารู้สึกตัวในทันที มันกระพือปีกและหลบหนีอย่างรวดเร็ว
"ปึก!"
หินกระแทกพื้นห่างจากไก่ฟ้าประมาณครึ่งเมตรทำให้ใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นรอบๆปลิวกระจัดกระจาย
ไก่ฟ้าหนีไปอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความเร็วที่มากที่สุดในชีวิตของมัน
จากนั้นร่างๆหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นหลังพุ่มไม้ ในตอนนี้มู่อี้ถือขวานด้วยมือซ้าย มีใบไม้อยู่บนหัวของเขาสองสามใบและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยฉีกขาด
ในเวลาเพียงครึ่งวัน มู่อี้ที่มีความมั่นใจเปี่ยมล้นก็ยอมรับว่าเขาไม่มีความสามารถในการล่าสัตว์จริงๆ ในกระเป๋าของเขามีไม่มีสัตว์ป่าที่ล่าได้เลยมีเพียงก้อนหินเท่านั้นที่ใส่เอาไว้
เขารู้ว่าทั้งกระต่ายและไก่ฟ้าไม่สามารถเดินเข้าไปใกล้เพื่อจับมันได้ ดังนั้นมู่อี้จึงเลือกใช้ก้อนหินแต่ความแม่นยำของเขาไม่ค่อยดีนัก
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งวันมู่อี้ก็เริ่มรู้สึกหิว แต่เขาก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้แม้แต่ตัวเดียว
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีอะไรตกถึงท้องแน่ๆ แล้วเขาจะเอาแรงที่ไหนไปล่าสัตว์ในวันต่อๆไป
"ปั้ง!"
เมื่อมู่อี้กำลังถอนตัวกลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากระยะไกล