ตอนที่ 5 ความยากทั้ง 4 ข้อ
ตอนที่ 5 ความยากทั้ง 4 ข้อ
หลังจากตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่งเจ้าของร้านขายเงินกระดาษก็ส่งจี้หยกกลับมาให้เขา "ข้าจะบอกท่านในเรื่องนี้เอง ตามข้ามาเถอะ"
หลังจากพูดจบเจ้าของร้านขายเงินกระดาษก็ไม่ได้สนใจเสียงก่นด่าของทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ เขาเดินนำมู่อี้เข้าไปในร้านขายเงินกระดาษที่อยู่ตรงข้ามและปิดประตูทันที
"หลี่เฉียจื่อหนีมาจากเซียงซี เขาถูกไล่ล่ามาและหนีมาหลบซ่อนตัวที่นี่เมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อ 2 ปีก่อนเมืองที่เขาหนีมานั้นมีคนตายไป 5 คนและมีเด็กหายตัวไป 2 คน ข้าเห็นว่าท่านเข้าไปที่ร้านขายโลงศพแห่งนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ก่อนจะออกไปพร้อมกับโลงศพที่ทำขึ้นมาจากไม้หลิวแดง ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาคงต้องการอะไรบางอย่างจากท่าน แต่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆที่ท่านยังไม่ตาย "เจ้าของร้านขายเงินกระดาษมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดและสายตาของเขาดูสงสัยเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของร้านขายเงินกระดาษมู่อี้ก็รู้ว่าหลี่เฉียจื่อยอมเป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่งแน่นอน เขาเองก็รู้สึกสงสัยด้วยเหมือนกันว่าทำไมตนเองยังไม่ถูกฆ่า
ดูจากเรื่องที่เล่ามาแล้วถ้าหากว่าเขาตายไปเจ้าของร้านขายโลงศพก็คงไม่ต้องหนีไปจากที่นี่ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาหมดสติไป?
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้เลยในตอนนี้และเขาก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเจ้าของร้านขายเงินกระดาษถึงไม่เตือนเขาตั้งแต่แรก สิ่งที่เขาต้องทำอย่างด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือตามหาตัวหลี่เฉียจื่อและนำศพของท่านปู่กลับมาเพื่อให้คนตายได้จากไปอย่างสงบสุข
"ท่านกำลังหาวิธีแก้แค้นหลี่เฉียจื่ออยู่งั้นหรอ?" เจ้าของร้านขายเงินกระดาษพูดพร้อมกับจ้องมองมาที่มู่อี้
"โปรดแนะนำข้าด้วย ท่านผู้อาวุโส" มู่อี้มองกลับไปที่ชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคารพ แม้ว่าภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายจะไม่ได้ดีมากนักแต่ความสามารถของเขาย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
"หากท่านทำเช่นนั้นท่านต้องพบกับความตายแน่นอน ไม่รู้ว่าทำไมหลี่เฉียจื่อถึงยังไม่ฆ่าท่านก่อนหน้านี้แต่ด้วยพลังของหลี่เฉียจื่อ การที่เขาจะฆ่าท่านก็ไม่ต่างอะไรจากการบดขยี้มดปลวกเลย ข้าแนะนำให้ท่านปล่อยวางในเรื่องนี้ แต่ถ้าหากว่าท่านอยากจะตายจริงๆข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้" เจ้าของร้านขายเงินกระดาษพูดออกมาเบาๆ
แม้ว่าเจ้าของร้านขายเงินกระดาษจะพูดมาแบบนี้แต่มู่อี้ก็รู้ว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดมานั้นเป็นความจริง เขาไม่ใช่คนที่กล้าหาญเลยแต่เป็นเพียงแค่คนโง่คนหนึ่งเท่านั้น
"ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน แม้ว่าข้าจะทำอะไรเขาไม่ได้ในตอนนี้ แต่ชีวิตนี้ข้าต้องฆ่าเขาให้ได้แน่นอน ข้าอยากจะถามท่านผู้อาวุโสในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาให้มากยิ่งขึ้น ข้าอยากจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรหากถ้าต้องการแก้แค้นในภายภาคหน้า" มู่อี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เจ้าของร้านขายเงินกระดาษมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจเล็กน้อย เขามองนักพรตเต๋าน้อยคนนี้ไม่ออกจริงๆและในตอนนี้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นในใจของเขา สิ่งที่มู่อี้กล่าวออกมาในวันนี้จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ในอนาคต. .
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มนึกถึงหลี่เฉียจื่อในช่วงเวลาชีวิตที่ผ่านมาและรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาทันที เขาเองก็ถูกหลี่เฉียจื่อทำให้ชีวิตต้องกลายเป็นแบบนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อาจอภัยให้กับเรื่องนี้ได้ หลี่เฉียจื่อเหลือไว้เพียงแค่เส้นทางสู่ความตายให้กับเขาเท่านั้น
แต่ไม่ว่ายังไงเจ้าของร้านขายเงินกระดาษก็ยังส่ายศีรษะ เรื่องนี้เขาช่วยอะไรไม่ได้แน่นอนและความโกรธไม่ใช่วิธีการเอาชนะได้
"ถ้าอย่างนั้นก็เรียกข้าว่าเจี่ยเหรินถอะ แต่ข้าเองก็ช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าคงทำได้เพียงบอกเรื่องทุกอย่างที่ข้ารู้ให้กับท่าน" เจี่ยเหรินพูดออกมาตรงๆ ชื่อเจี่ยเหรินนั้นเป็นเพียงนามแฝงของเขาเท่านั้น
"ขอบคุณขอรับ ท่านผู้อาวุโส" มู่อี้ตอบกลับมา
หลี่เฉียจื่อมีขาที่พิการ ชื่อจริงๆของเขาแม้แต่เจี่ยเหรินก็ไม่ทราบแน่ชัดแต่สิ่งที่เจี่ยเหรินสามารถบอกได้ก็คือ ร่างกายของเขามีกลิ่นเหมือนศพซึ่งโชยออกมาจนสามารถได้กลิ่นจากระยะไกลๆ
เจี่ยเหรินยืนยันได้ว่าหลี่เฉียจื่อออกจากที่นี่ไปแล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่อย่างสันโดษแต่ที่นี่ก็ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงผีดิบ สิ่งที่เขาตามหาคงเป็นพื้นที่ที่ร่มรื่นและเต็มไปด้วยหญ้าขึ้นสูงซึ่งเหมาะสำหรับฝังศพหรือสนามรบในสมัยโบราณ แต่เรื่องที่หลี่เฉียจื่อจะไปที่ไหนนั้นมู่อี้ต้องค้นหาเรื่องนี้ด้วยตนเอง
แต่เจี่ยเหรินก็ได้บอกเรื่องหนึ่งกับมู่อี้ด้วยเหมือนกัน เรื่องศัตรูของหลี่เฉียจื่อ ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่หลี่เฉียจื่อสามารถเลี้ยงผีดิบที่ทรงพลังมากที่สุดขึ้นมาได้แล้ว เขาจะนำผีดิบตนนั้นกลับไปแก้แค้น เรื่องนี้ถือเป็นเบาะแสที่สำคัญสำหรับมู่อี้ มันจะทำให้เขาสามารถหาตัวอีกฝ่ายเจอได้ง่ายมากขึ้น
ศัตรูคู่แค้นของหลี่เฉียจื่อเป็นเจ้าของชวี่ยี่จวงและเป็นผู้ปกครองแม่น้ำและทะเลสาบที่มีชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงที่เขามีนั้นไม่ค่อยดีนัก คำว่าชวี่ยี่จวงงั้นมาจาก ชวี่ ซึ่งเป็นชื่อตระกูลและ ยี่จวง ซึ่งหมายถึงสุสาน
หลังจากได้รู้เรื่องราวทั้งหมดมู่อี้ก็ออกไปจากที่นี่
แม้ว่าหลุมฝังศพของท่านปู่ในตอนนี้จะเป็นเพียงหลุมที่ว่างเปล่าแต่มู่อี้ก็ยังคงคุกเข่าด้านหน้าหลุมฝังศพอยู่เป็นเวลานาน
เวลาค่ำคืนได้มาถึงและตะเกียงน้ำมันได้ถูกจุดขึ้นในห้องของเขา ทำให้ทั่วทั้งห้องถูกย้อมไปด้วยแสงไฟสีเหลือง
มู่อี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงก่อนที่เขาจะหลับไป
ความจริงแล้วมู่อี้กำลังนึกถึงสิ่งต่างๆที่นักพรตเฒ่าได้บอกเล่าให้เขาฟังก่อนจากไป 2 วันก่อนที่เขาจะจากไปนั้นนักพรตเฒ่าได้พูดเรื่องต่างๆมากมายแต่มันฟังดูซับซ้อนอย่างยิ่ง มู่อี้พยายามนึกถึงความทรงจำในตอนนั้นแต่ดูเหมือนว่าความทรงจำของเขาจะแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
สิ่งที่มู่อี้จำเป็นต้องทำในตอนนี้ก็คือเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา และสิ่งที่ชายชราพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้ว่าอะไรคือการฝึกฝนในด้านจิตวิญญาณ
ในสมัยโบราณนั้นผู้คนได้ฝึกฝนร่างกายของพวกเขาให้แข็งแกร่งมาช้านานเพื่อเอาชีวิตรอดจากความตาย
หลักของลัทธิเต๋ามีเรื่อง "การบ่มเพาะ" อยู่ด้วยเช่นเดียวกันเพราะหลักของเต๋าคือความเป็นธรรมชาติ การก่อกำเนิดของสรรพสิ่ง และการศึกษาการบ่มเพาะ ผู้ที่เข้าสู่ลัทธิเต๋าไปแล้วย่อมไม่อาจออกจากลัทธิเต๋าได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ‘การบ่มเพาะ’ ถึงเรียกว่า ‘การบ่มเพาะ’!
ดังนั้นก่อนจะฝึกฝนอะไรสิ่งแรกที่จะทำก็คือต้องฝึกเรื่องจิตใจก่อน
ตามที่นักพรตเฒ่าได้บอกไว้ความยากในการฝึกจิตทั้ง 4 ข้อ ข้อแรกนั้นคือยากที่จะควบคุมจิตใจของตนเองได้
ก้าวแรกของการฝึกควบคุมจิตใจนั่นก็คือการทำให้ไม่มีสิ่งใดอยู่ในจิตใจเลยหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการทำจิตใจให้ว่างเปล่า มันเหมือนกับการจ้องมองดอกไม้ที่อยู่ในสวนแต่สิ่งที่สัมผัสในใจได้นั้นคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
เดิมทีมู่อี้รู้สึกว่ามันยากมากเพราะด้วยอายุที่ยังน้อยของเขาและจิตใจของเขาที่ยังไม่สงบ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว เมื่อมู่อี้ลองพยายามทำดูมันกลับง่ายกว่าที่เขาคิดเอาไว้
มู่อี้คิดหาเหตุผลในเรื่องนี้และคิดว่ามันต้องเป็นเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้ง 8 ปีของเขา
หลังจากที่จิตใจของเขาว่างเปล่าแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปนั่นก็คือการอดทน
บางครั้งมันง่ายดายที่จะทำเรื่องต่างๆมากมายแต่มันยากที่จะอดทน การทำจิตใจให้ว่างเปล่าก็ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเขาจะสามารถอดทนทำแบบนี้ต่อไปได้แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดและสับสน
เพื่อที่จะทำให้จิตใจว่างเปล่าต่อไปได้จำเป็นต้องฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น นี่คือหนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
ปกติแล้วคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจะทำจิตใจให้ว่างเปล่าได้ยากยิ่งขึ้นไปแต่มู่อี้ไม่ใช่คนที่ฉลาดมากนักจึงไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับเขาเท่าไหร่
ในกลางดึกของคืนนั้นมู่อี้พยายามควบคุมจิตใจของเขาให้ว่างเปล่าอยู่เสมอ แต่เมื่อถึงตอนกลางดึกเขาก็เริ่มรู้สึกโกรธและกระวนกระวายใจขึ้นมา มันยากมากที่เขาจะอดทนต่อไปได้ ความคิดมากมายปรากฏออกมาพร้อมๆกันจนทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดออกมา
โชคดีที่มู่อี้ไม่ได้ฝืนตัวเองมากนัก เพราะท่านปู่ของเขาเคยบอกเอาไว้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจยังคงเต้นอยู่แต่นี่ก็คือเรื่องที่อันตรายด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยการที่หัวใจของมนุษย์จะเต้นได้นั้นต้องใช้พลังของจิตใจเป็นจำนวนมาก
1 สัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่มู่อี้เริ่มฝึกฝน ในตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มู่อี้ได้ทำสมาธิอยู่ในห้องของเขาแทนการพักผ่อนอยู่ตลอดเวลายกเว้นช่วงเวลาที่ทำอาหารและทานอาหารเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถจับหลักอะไรได้เลย ร่างกายของเขาเริ่มผอมลงอย่างเห็นได้ชัดและดวงตาของเขาก็เริ่มลึกโบ๋มากยิ่งขึ้น
นี่คือผลของการใช้พลังของจิตใจมากเกินไป แต่ตัวมู่อี้เองก็ไม่สนใจมัน เขาทุ่มเทให้กับการฝึกฝนจิตใจอยู่เสมอจนบางครั้งก็ลืมทานอาหารไปบ้าง