ตอนที่ 39 ไม่ชอบมาพากล
ตอนที่ 39 ไม่ชอบมาพากล
ชื่อที่แท้จริงของโกวเอ้อร์คือเซี่ยเหมี่ยว ที่เขาได้รับฉายาว่าโกวเอ้อร์เป็นเพราะจมูกของเขามีความสามารถในการดมกลิ่นที่ดียิ่งกว่าสุนัข
ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆเซี่ยเหมี่ยวมีนามว่าเซี่ยเจิ้ง ซึ่งเซี่ยเหมี่ยวมักเรียกเขาว่าลุงสามเซี่ย ในบ้านการสืบคดีนั้นหากเซี่ยเจิ้งบอกว่าเขาอยู่ในอันดับสองก็คงไม่มีใครที่กล้าเรียกตนเองว่าเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเซี่ยเจิ้งให้ความสำคัญกับหลานชายของเขาเป็นอย่างยิ่งและคิดว่าวันหนึ่งหลานชายจะต้องเก่งกว่าตนเองอย่างแน่นอนไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของเซี่ยเหมี่ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังมีเรื่องบุคลิกของหลานชายเขาที่เกี่ยวข้องด้วย
เซี่ยเหมี่ยวดูเป็นคนที่มีนิสัยเรียบง่ายและเชื่องช้า แต่จริงๆแล้วเขามีมันสมองที่ชาญฉลาดและมีความคิดที่รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้จมูกของเขามีความไวยิ่งกว่าสุนัขเปรียบได้กับพยัคฆ์
และเมื่อเซี่ยเหมี่ยวเติบโตขึ้นความสามารถในการสืบคดีของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเซี่ยเจิ้งเลย สิ่งที่เขาขาดไปคือประสบการณ์ที่เพียงพอ
ที่จริงแล้วเซี่ยเจิ้งไม่ได้สืบคดีด้วยตัวเองอีกต่อไป เขาปล่อยให้เซี่ยเหมี่ยวทำทุกอย่างแล้วคอยให้คำแนะนำเท่านั้นและเซี่ยเหมี่ยวไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
ในมุมมองของเซี่ยเหมี่ยวฆาตกรนั้นเป็นคนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง เขาแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เลย แม้ว่าจะมีร่องรอยที่น่าสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเบาะแสในการตามหาตัวฆาตกรได้ นอกจากนี้เซี่ยเหมี่ยวไม่ได้กลิ่นของฆาตกรภายในห้องนี้เลยราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน
เซี่ยเหมี่ยวปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเขามีความมั่นใจในจมูกของตนเองอย่างมาก และตอนนี้ในใจของเซี่ยเหมี่ยวก็เต็มไปด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นมากมาย
แต่เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฒ่าแก่เผิง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ออกมา แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เชื่องช้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนโง่
ตอนนี้มู่อี้อยู่ที่นี่แล้วถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่อี้เป็นใครแต่เมื่อเห็นเถ้าแก่เผิงแสดงความเคารพต่อมู่อี้ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแน่นอน แต่เพราะรูปลักษณ์ของมู่อี้ที่ดูอายุน้อยทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอีกฝ่ายเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะทดสอบความสามารถของมู่อี้และคิดว่าการบอกทุกสิ่งที่เขารู้ให้กับมู่อี้เพื่อให้รับช่วงต่อในการหาเบาะแสเป็นสิ่งที่ดีกว่า
สำหรับเขานั้นตราบใดที่สามารถค้นหาความจริงได้ก็เพียงพอแล้ว เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนหรือชื่อเสียงเกียรติยศหรือไม่ การคลี่คลายคดีเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาให้ความสำคัญและดูเหมือนว่าเขาจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
ดังนั้นหลังจากได้ยินคำถามจากมู่อี้เขาก็รู้ว่าโอกาสในการคลี่คลายคดีของเขามาถึงแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยเหมี่ยวเปลี่ยนไปอย่างมาก มู่อี้ก็มองเขาด้วยความประหลาดใจและรู้สึกสนใจในตัวเขา
เขาไม่คิดว่าเถ้าแก่เผิงจะสามารถรวบรวมบุคคลที่ไม่ธรรมดาทั้งสามได้ แม้ว่าตัวตนของพวกเขาจะไม่ได้สูงส่งเมื่อเทียบกับเผิงซ่งหลายและเจ้าเมืองต่างๆ แต่สำหรับมู่อี้พวกเขาถือเป็นคนที่มีความสามารถมาก
เขาได้ผ่านผ่านประสบการณ์มามากมายตั้งแต่อายุน้อย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความสำคัญของผู้คนเป็นอย่างดีและไม่เคยดูถูกอาชีพเหล่านี้ว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย
"หลังจากที่ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่า ห้องนี้ตั้งอยู่บนชั้นสอง บริเวณหน้าต่างมีชายคาขนาดเล็กยื่นออกมาซึ่งอยู่เหนือจากพื้นดินสามฟุต พื้นดินอ่อนนุ่มไม่ปรากฏรอยเท้าและไม่มีร่องรอยใดๆบนขอบหน้าต่าง ข้าสอบถามมาอย่างรอบคอบและรู้มาว่าหน้าต่างมีการลงกลอนจากด้านในและไม่สามารถเปิดจากฝั่งด้านนอกได้หากไม่ทำลายมัน" ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าฆาตกรไม่ได้เข้ามาทางหน้าต่าง ดวงตาของเซี่ยเหมี่ยวดูจริงจังและเต็มไปด้วยความสงบราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
มู่อี้ตั้งใจฟังอยู่เสมอแม้ว่าเขาจะรู้ว่าฆาตกรเป็นมนุษย์ แต่ก็อยากรู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย แม้ตอนนี้มู่อี้จะมาถึงก้าวที่ 3 ของระดับความยากขั้นที่ 1 ของการฝึกจิตใจแล้วก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนี้
และปริศนาที่มู่อี้สงสัยอย่างมาก็คือ อีกฝ่ายสามารถลอกผิวหนังออกไปทั่วร่างกายได้อย่างไร?
"แน่นอนว่าประตูและหน้าต่างชั้นล่างเองก็ไม่มีร่องรอยใดๆเหมือนกัน" เซี่ยเหมี่ยวพูดขณะที่เซี่ยเจิ้งเหลือบมองมา เขารู้นิสัยของหลานชายตนเองเป็นอย่างดี แต่เขาไม่ต้องการให้หลานชายแสดงการกระทำที่ล่วงเกินมู่อี้
"ประตูและหน้าต่างชั้นล่างเหมือนไม่มีร่องรอยของความเสียหาย ประตูและหน้าต่างถูกปิดจากด้านใน ข้าลองพยายามเปิดจากด้านนอกแล้วและมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากก็คือในบ้านหลังนี้ไม่มีทางลับ จึงสามารถตัดข้อสงสัยที่ว่าฆาตกรจะเข้ามาจากข้างนอกภายในคืนนั้นได้เลย" เซี่ยเหมี่ยวพูดอย่างมั่นใจ
"ท่านหมายความว่าฆาตกรลอบเข้ามาที่บ้านหลังนี้ในตอนกลางวันและซ่อนตัวรอจนกระทั่งตกดึก เมื่อถึงเวลาที่รอคอย เขาก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อลอกหนังและฆ่า จากนั้นก็หนีไป?" มู่อี้มองเซี่ยเหมี่ยวและถาม
"ไม่ใช่ ฆาตกรเจ้าเล่ห์มากถ้าเขาจากไปหลังจากฆ่าคนแล้วคงต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างแน่นอนและมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลงกลอนประตูจากข้างนอก ดังนั้นข้าจึงสรุปได้ว่าฆาตกรไม่ได้ออกไปจากบ้านหลังนี้หลังจากลงมือฆ่า แต่รอจนถึงรุ่งเช้า หลังจากมีคนพบศพและเกิดความวุ่นวายก็ใช้โอกาสนี้หนีไป" เซี่ยเหมี่ยวพูด
"เป็นอย่างที่ท่านพูดมาจริงๆ ฆาตกรเจ้าเล่ห์มาก แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์จริงๆข้าคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่แม้ว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นก็ตาม และท่านบอกว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ท่านคิดว่าเขาซ่อนตัวอยู่ตรงไหนกัน?" มู่อี้ถามด้วยความสนใจ
เซี่ยเหมี่ยวขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคำถามของมู่อี้ เพราะทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาสันนิษฐานขึ้นมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะมีเหตุผลหรือความเป็นไปได้มากแค่ไหน แต่ตราบใดที่ไม่พบตำแหน่งที่ฆาตกรซ่อนตัว สิ่งที่เขาพูดมาก็ไม่มีความหมาย
การที่คนๆหนึ่งซ่อนตัวในบ้านหลังเล็กๆนี้โดยไม่ถูกพบเจอ จะต้องซ่อนที่ใดที่หนึ่งเกือบตลอดทั้งคืนซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย เว้นแต่อีกฝ่ายจะเป็นเพียงแค่อากาศเท่านั้น
เดิมทีเซี่ยเหมี่ยวต้องการพูดในสิ่งที่รู้เพื่อให้มู่อี้ชี้นำไปในทิศทางที่เขาต้องการ แต่เขาไม่ได้ต้องการให้มู่อี้ชี้จุดบกพร่องของการสันนิษฐานของเขา ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกลังเลใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เซี่ยเจิ้งจ้องมองหลานชายของเขาด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"ข้ารู้สึกสับสนและสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน หากฆาตกรไม่ได้ซ่อนอยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือฆาตกรอยู่ในบ้านหลังนี้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัว แต่พวกเราทุกคนล้วนไม่ได้ให้ความสนใจและไม่คิดว่าจะเป็นคนๆนี้" เซี่ยเหมี่ยวค่อยๆพูดช้าๆ ในตอนท้ายเขาเพิ่มน้ำเสียงของเขาขึ้นและเขาเชื่อว่ามู่อี้จะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไร
"นี่คือภาพเหมือนที่ข้าพบในห้อง" ซูจินหลุนพูดขัดจังหวะและเปิดภาพตรงหน้ามู่อี้
ในภาพเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีผิวพรรณที่ดี ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลายจะตกหลุมรักเขา ไม่คิดเลยว่าโศกนาฏกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นภายในสองเดือนหลังจากการแต่งงานของทั้งคู่
มู่อี้หันหน้าออกจากเซี่ยเหมี่ยวและมองไปที่รูปภาพ เซี่ยเหมี่ยวรู้สึกอายและไม่ได้พูดอะไรออกมา
"แค่ก แค่ก!"