ตอนที่แล้วตอนที่ 35 วันแห่งการฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 37 ฉากฆาตกรรม

ตอนที่ 36 ถูกลอกหนังทั้งเป็น


ตอนที่ 36 ถูกลอกหนังทั้งเป็น

"พี่ซู ท่านมีเวลาว่างจนสามารถขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ได้อย่างไรกัน?" มู่อี้ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่และรอคอยให้ ซูจินหลุนได้พักหายใจก่อนจะถามขึ้นมา

"มันช่างน่าละอายจริงๆ แต่ข้าได้รับคำสั่งจากท่านปู่ให้มาเชิญท่านนักพรตเต๋ากลับไปที่ตระกูล" ซูจินหลุนดูเหมือนจะรู้สึกอายอยู่เล็กน้อย เพราะเส้นทางบนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในตอนนี้เดินทางได้อย่างยากลำบากมากจริงๆ แม้ว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายมานานหลายปีแต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะขึ้นมาที่นี่ โชคดีที่เขารู้สึกคุ้นชินกับเส้นทางบนภูเขาลูกนี้จึงไม่ได้เกิดอันตรายใดๆ

"มีอะไรเกิดขึ้นหรือขอรับ? หรือว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นในบ้านของท่านอีก?" มู่อี้ขมวดคิ้วและถามกลับไปตรงๆ

ถ้าหากมีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นในตระกูลซูจริงๆอย่างนั้นเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือแน่นอน เพราะหลังจากที่เขาได้กลายเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลซูแล้วเขาย่อมถือว่ามีความสัมพันธ์กับตระกูลซูด้วยเช่นกัน. .

"นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแต่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นภายในเมืองและมันได้รบกวนผู้คนมากมาย ผู้คนจำนวนมากต่างก็เข้ามาถามเรื่องนี้กับท่านปู่ และท่านปู่ก็สิ้นปัญญาที่จะตอบเรื่องนี้ได้จริงๆ นอกจากนี้ปัญหาเรื่องนี้ยังยากที่จะแก้ไขได้ดังนั้นท่านปู่จึงอยากจะเชิญท่านนักพรตเต๋าให้กลับไปหาอีกครั้ง แต่ท่านปู่ก็บอกนะขอรับว่าถ้าหากท่านนักพรตเต๋าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร" ซูจินหลุนตอบกลับมา

"มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นภายในเมืองหรือขอรับ?" มู่อี้ถามขึ้นมาทันที เขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลและแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับตระกูลซูเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ตระกูลซูก็ตั้งอยู่ภายในเมืองนี้มาเป็นเวลานานจึงยากที่จะบอกว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับเมืองนี้และซูจงซานยังเป็นผู้เผยปากร้องขอความช่วยเหลือเรื่องนี้ ดังนั้นมู่อี้ต้องไว้หน้าช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน

เขาอยู่บนภูเขาแห่งนี้มานานกว่า 2 เดือนแล้วและการลงเขาไปครั้งนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำเช่นกัน

"เรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูกเขยของตระกูลหนึ่งที่อยู่ภายในเมือง เขาถูกพบกลายเป็นศพภายอยู่ในบ้านตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือเลือดของเขากระจัดกระจายไปทั่วและผิวหนังของเขาก็ถูกลอกออกไปทั่วทั้งร่างกาย" ซูจินหลุนสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมาทันที

"ท่านว่ายังไงนะขอรับ? ผิวหนังถูกลอกออกไป?" มู่อี้ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาด้วยเช่นกัน การฆ่าคนตายนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่นี่มันเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมผู้คนภายในเมืองจึงรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้

แต่ทำไมซูจงซานจึงต้องมาเชิญเขา? หรือว่าชายชราผู้นี้คิดว่าสิ่งที่ทำเรื่องแบบนี้นั้นไม่ใช่มนุษย์?

"ใช่แล้วขอรับ ข้าได้เห็นกับตาของตัวเองเลย มันช่างน่ากลัวมากจริงๆ หญิงสาวภายในตระกูลนั้นตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าสามีของนางที่กำลังนอนอยู่ข้างๆถูกลอกผิวหนังออกไปทั้งร่างกายก็ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวจนแทบเสียสติ" ซูจินหลุนพูดด้วยความรู้สึกโกรธ "และยังมีบางคนพบว่ากล้ามเนื้อศพของชายคนนั้นมีการบิดเบี้ยวซึ่งนั่นหมายความว่าในตอนที่เขาถูกลอกผิวหนังนั้นเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะถูกลอกผิวหนังออกไปทั้งร่างกายแล้วเขาก็ยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ถูกฆ่าตายไปในที่สุด"

"ท่านหมายความว่าชายคนนั้นถูกลอกผิวหนังออกไปในตอนกลางคืนโดยที่ภรรยาของเขาไม่ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้ว่านางจะนอนอยู่ข้างๆเขาก็ตาม และกว่าจะรู้เรื่องนี้ก็เป็นตอนที่นางตื่นขึ้นมาในตอนเช้า?" มู่อี้ขมวดคิ้ว ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าซูจงซานถึงมาเชิญเขาที่นี่

เพราะปัญหาเรื่องนี้เกินกว่าคนธรรมดาจะรับมือได้ มู่อี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉือกุยขึ้นมาทันที แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่าฉือกุยเป็นผู้ที่ลงมือทำเรื่องนี้ เขาเคยอ่านจากหนังสือว่าถ้าหากมีคนอยากได้วิญญาณอาฆาตสักดวง ก็จะต้องใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมเพื่อให้แน่ใจว่ามนุษย์ที่เขาหมายตานั้นจะตายไปด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัว หรือว่ามันจะเป็นเรื่องนี้?

แต่ไม่ว่ายังไงมู่อี้ก็ตัดสินใจตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก่อน

ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมานั้นเขาศึกษาหนังสือลัทธิเต๋ามาโดยตลอด และเคล็ดวิชาของราชันย์แห่งวิญญาณเขาก็จำได้เป็นอย่างดีแต่เขาก็ไม่เคยฝึกฝนมันเลย เพราะในตอนนี้ยังไม่มีวิญญาณที่เหมาะสมให้เขาทำแบบนั้น สำหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์นางเป็นเหมือนญาติพี่น้องคนนึงของเขา. .

แต่มู่อี้ก็ยังได้รับประโยชน์อยู่บ้างอย่างน้อยที่สุดธงราชันย์แห่งวิญญาณก็ค่อยๆยอมรับกระแสจิตของเขา บางทีอีกไม่นานหลังจากนี้เขาอาจจะสามารถซ่อมแซมธงราชันย์แห่งวิญญาณได้และพลังของมันก็จะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง. .

เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าหากมู่อี้ออกเดินทางอีกครั้งในอนาคต เขาจะมีอาวุธอีกชิ้นหนึ่งที่ไว้ป้องกันตัวได้

"ใช่แล้วขอรับ ทั้งหมดคือสิ่งที่หญิงสาวคนนั้นพูดมา" ซูจินหลุนพยักหน้า ถ้าหากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆเขาก็ไม่อยากมารบกวนมู่อี้หรอกเพราะมู่อี้ก็ถือเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลซู

"ได้เลยขอรับ ข้าจะลงจากภูเขาไปพร้อมกับท่าน" มู่อี้ตอบกลับมาทันที เมื่อตัดสินใจได้แล้วมู่อี้ก็ไม่รีรออีกต่อไปและบอกให้ซูจินหลุนรอคอยอยู่ที่วัดร้างบนภูเขาก่อน เขาเองต้องเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมเพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเขาจะได้กลับขึ้นมาบนภูเขาในคืนนี้

แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์อยากจะตามเขาไปด้วย แต่ถ้าหากเขาย้ายต้นไผ่ของนางบ่อยๆมันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางแน่นอน สำหรับธงราชันย์แห่งวิญญาณนั้นทิ้งเอาไว้ที่นี่คงดีที่สุดแต่มู่อี้ก็นำมันติดตัวไปด้วยเพราะเขาอยากตรวจสอบมันอย่างละเอียด มู่อี้อยากจะซ่อมธงให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนหลังจากนั้นค่อยให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์เข้าไปอยู่ข้างใน

ดังนั้นในตอนนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ทำได้เพียงต้องอยู่ที่นี่เท่านั้นแต่มู่อี้ก็สัญญาว่าเขาจะรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด

หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จสิ้นมู่อี้ก็ลงจากภูเขาไปพร้อมกับซูจินหลุนทันที

แม้ว่าหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจะปกคลุมไปทั่วถนนแต่การเดินทางของเขากับซูจินหลุนก็ไม่ได้ลำบากมากนัก หลังจากขี่ม้าลงมาถึงด้านล่างของภูเขามู่อี้ก็ไปพบกับตระกูลที่ได้ประสบพบเจอกับเรื่องนี้ทันที

เมื่อผ่านประตูบ้านเข้าไปมู่อี้ก็จ้องมองไปที่ทั้ง 2 ด้านของประตูและถามขึ้นมาว่า "สามีภรรยาคู่นี้ยังแต่งงานกันได้ไม่นานใช่ไหมขอรับ?"

"ใช่แล้วขอรับผ้าแดงยังผูกเอาไว้ที่หน้าประตูอยู่เลย วันแต่งงาน อืม ... เขาน่าจะมาที่บ้านของข้าด้วยในวันนั้น?" ซูจินหลุนอธิบายและเขาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะวันนั้นแหละขอรับ" มู่อี้พยักหน้าและคิดในใจ ในตอนนี้เขาอดคิดไม่ได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในวันที่เขาเข้าไปที่ตระกูลซูครั้งแรกนั้นเขาจำได้ว่าภายในเมืองนี้ก็กำลังมีขบวนสินสอดของเจ้าบ่าวอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านวันนั้นมาแค่ 2 เดือนเจ้าบ่าวของงานแต่งงานครั้งนั้นจะถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมและยังถูกลอกผิวหนังออกไปทั่วร่างกาย หรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกผิดปกติที่เขารู้สึกได้ในตอนนั้น?

มู่อี้ไม่แน่ใจอย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในบ้านหลังนี้เลย

เมื่อมู่อี้ผ่านประตูเข้าไปก็มีคนมาต้อนรับเขาทันที คนแรกคือซูจงซาน เพราะเขาเป็นคนที่เชิญมู่อี้ลงมาจากภูเขา ถ้าหากเขาไม่มาต้อนรับคงเป็นการเสียมารยาทต่อมู่อี้อย่างมาก ซูจงซานย่อมไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน

ข้างๆเขามีชายชราอีกคนหนึ่ง ชายชราคนนี้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยแต่สีหน้าของเขามีเพียงแค่ความโศกเศร้าเท่านั้น

"ท่านนักพรตเต๋า ข้าต้องขอโทษจริงๆที่รบกวนท่านในวันที่อากาศย่ำแย่เช่นนี้ โปรดอภัยให้ข้าด้วย" ซูจงซานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพในขณะที่เขายืนขึ้นมา

"ท่านผู้อาวุโสสุภาพเกินไปแล้วขอรับ" มู่อี้ตอบกลับมาทันที ไม่แปลกเลยที่ซูจงซานจะสุภาพกับเขาขนาดนี้

"ท่านนักพรตเต๋า นี่คือเถ้าแก่เผิง" ซูจงซานแนะนำชายชราที่อยู่ข้างๆเขาให้กับมู่อี้ทันที

ความจริงแล้วซูจินหลุนก็ได้บอกเล่ารายละเอียดต่างๆของตระกูลนี้ให้กับมู่อี้ตั้งแต่ระหว่างทางแล้ว ชายที่ดูร่ำรวยตรงหน้าของเขาในตอนนี้มีชื่อว่าเผิงซ่งหลายและตระกูลของเขามีกิจการมากมายภายในเมืองแห่งนี้ เขามีลูกสาวที่งดงามถึง 2 คน ลูกสาวคนโตของเขาแต่งออกไปบ้านขุนนางคนหนึ่ง ลูกสาวคนเล็กของเขาก็แต่งงานแล้วด้วยเช่นกันแต่เป็นการแต่งเข้าบ้านและคอยดูแลกิจการที่อยู่ภายในเมืองนี้ เขายังเข้ากันได้ดีกับลูกเขยทั้งสองคนอีกด้วย

แต่ใครจะคิดกันว่าจะต้องจัดงานศพหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขมาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องนี้มันส่งผลกระทบไปถึงชื่อเสียงของลูกสาวคนเล็กของเขา โชคดีที่ลูกสาวคนเล็กของเขาตั้งครรภ์แล้วในตอนนี้ มิฉะนั้นแล้วตระกูลเผิงคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแน่นอน

ในตอนนี้เถ้าแก่เผิงไม่เพียงแค่รู้สึกโกรธฆาตกรเท่านั้นแต่ลึกๆในใจเขาก็รู้สึกกลัวด้วยเช่นกัน

ความจริงแล้วเมื่อวานเขายังได้ส่งจดหมายไปบอกเรื่องนี้แก่ลูกเขยคนโตและลูกเขยคนโตก็ได้ส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่ตรวจสอบเท่านั้นเขายังส่งคนมาชันสูตรศพด้วย ลูกเขยของเขาถูกฆ่าตายและถูกลอกผิวหนังออกไปทั่วร่างกายนี่ไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน

แต่คนที่ลูกเขยของเขาส่งมาตรวจสอบเรื่องนี้นั้นไม่ว่าจะหาเงื่อนงำมากเพียงใดก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย

ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่เผิงจึงขอความช่วยเหลือจากซูจงซาน เพราะปัญหาของตระกูลซูก่อนหน้านี้เป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งเมืองแล้วและแทบไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลย

เห็นได้ชัดว่าที่ซูจงซานช่วยเหลือเถ้าแก่เผิงไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของทุกๆคนในเมืองนี้แต่เป็นเพราะว่าลูกเขยของเถ้าแก่เผิงที่เป็นขุนนาง

"ชายชราเผิงซ่งหลายผู้นี้ขอแสดงความเคารพต่อท่านนักพรตเต๋า!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด