ตอนที่ 35 วันแห่งการฝึกฝน
ตอนที่ 35 วันแห่งการฝึกฝน
สองสามวันต่อมาดูเหมือนว่าวัดร้างที่อยู่บนภูเขาฟุเนียวจะเปลี่ยนไปทั้งภายในและภายนอก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วก็แทบจะจำไม่ได้เลยว่าเป็นวัดเดียวกัน ถ้ามู่อี้ไม่ห้ามเอาไว้ก่อนซูจงซานคงบูรณะซ่อมแซมวัดร้างแห่งนี้จนกลับมาเหมือนใหม่อย่างแน่นอน
สำหรับมู่อี้การทำแบบนั้นมันมากเกินไปและก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายอะไรมากนักเพราะที่นี่เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยเท่านั้นไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เขาไม่ใช่คนที่ต้องการความสะดวกสบาย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ การได้อาศัยอยู่ในวัดร้างที่ทรุดโทรมก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพอดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอะไรอีก
อย่างไรก็ตามมู่อี้ก็ทราบดีถึงความต้องการของซูจงซาน สิ่งที่ชายชราทำไปทั้งหมดก็เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ในสมัยก่อนตระกูลที่ร่ำรวยมักจะเลือกที่จะสนับสนุนและช่วยเหลือเหล่านักพรตหรือชายชราผู้ทรงศีลทั้งหลายแต่นั่นไม่ใช่เพื่อทำความดี พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่านักพรตที่ยอมรับการช่วยเหลือของตระกูลใหญ่ย่อมทุ่มเทและอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือในยามที่ตระกูลใหญ่เผชิญกับความยากลำบาก
ที่ผ่านมาตระกูลซูไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณและเทพเจ้าเลยเพราะพวกเขาเป็นตระกูลนักปราชญ์ ไม่มีผู้ใดศรัทธาในศาสนาพุทธหรือลัทธิเต๋าเลย อย่างมากที่สุดคือเข้าไปที่วัดเพื่อเผาเครื่องหอมบูชาตามประเพณีสำคัญๆเท่านั้น แต่ในตอนนี้ซูจงซานและแม้แต่ตระกูลซูทั้งตระกูลก็มีความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
มู่อี้เข้าใจความคิดของซูจงซานและเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของชายชรา นอกจากนี้การดูแลเนี่ยนหนิวเอ้อร์ทำให้เขามีต้องมีความสัมพันธ์กับตระกูลซูไปอีกยาวนาน เหตุผลที่เขายอมเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลซูก็เพราะว่าเขาต้องการความช่วยเหลือในด้านเงินทองและทรัพยากรต่างๆจากตระกูลซูด้วยเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินทั้งวันจะทำให้การฝึกฝนของเขาต้องล่าช้าและคงจะผิดจากแผนการที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมด
แต่ถ้าไม่มีเงินการฝึกฝนก็จะยากลำบากเช่นกัน ดังนั้นเงินจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ในตอนนี้นอกเหนือจากคู่ครอง มู่อี้ก็มีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นครบแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยอมรับข้อเสนอของตระกูลซูโดยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ อย่างน้อยในอนาคตหากตระกูลซูกำลังเดือดร้อนเขาก็จะเข้าไปช่วยเหลือในทันที แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าตระกูลซูนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่คิดและยังรู้ว่าอีกฝ่ายยังคงซ่อนเร้นพลังอำนาจเอาไว้อีกมาก ดูเหมือนว่าหลังจากนี้สิ่งที่เขาจะต้องต่อสู้ด้วยคงจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับพวกคนที่ร่ำรวย
แต่ตราบใดที่ไม่ได้ละเมิดความตั้งใจดั้งเดิมของเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือและพลังอำนาจของตระกูลซูนั้นก็เป็นผลดีสำหรับเขามาก
มู่อี้มองตำราทางวิญญาณต่างๆที่จัดเก็บอยู่ในห้องและอาหารที่เพียงพอสำหรับเขาครึ่งเดือน จะเห็นได้ว่าอาหารจำนวนมากที่เขาได้รับมาไม่สามารถจัดเก็บได้นานเกินไป ในตอนแรกซูจงซานต้องการให้คนรับใช้ของเขาส่งอาหารไปให้ทุกวัน แต่เขาถูกปฏิเสธโดยมู่อี้เพราะมู่อี้ต้องการที่จะฝึกฝนไม่ใช่ชีวิตอย่างสุขสบาย
ดังนั้นซูจงซานจึงยอมถอยกลับไปครึ่งก้าวและให้คนของเขาส่งอาหารมาให้มู่อี้ในทุกๆครึ่งเดือนแทน สำหรับสิ่งที่มู่อี้จำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝนในอนาคต ตระกูลซูย่อมเต็มใจจะมอบมันให้อย่างแน่นอน
หลังจากย้ายป่าไผ่ขึ้นมาที่นี่มู่อี้ได้ปลูกต้นไผ่ของเนี่ยนหนิวเอ้อร์อีกครั้งและในคืนเดียวป่าไผ่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติประมาณ 7-8 ใน 10 ส่วนแล้ว
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ชอบที่นี่เช่นกัน ในตอนกลางคืนนางสามารถเดินเล่นไปทั่วเนินเขาโดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการถูกคนอื่นๆพบเจอเลย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชื่นชอบของเนี่ยนหนิวเอ้อร์คือการเฝ้าดูการฝึกฝนของมู่อี้ ทุกครั้งที่มู่อี้เข้าสู่สมาธิเนี่ยนหนิวเอ้อร์มักจะรีบเข้ามาในบ้านเพราะนางชอบความรู้สึกนี้มาก
ในตอนกลางวันนางจะกลับไปที่ป่าไผ่และนอนอยู่ใต้ต้นไผ่ที่ล้ำค่าของนาง
นางไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเพียงแค่ต้องนอนใต้ต้นไผ่ต้นนี้เท่านั้นนางก็สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วซึ่งทำให้มู่อี้รู้สึกอิจฉาอย่างมาก
แต่มันเป็นเพียงความอิจฉา มู่อี้มีหนทางของตนเองและเขาก็มั่นคงในเส้นทางนี้มาก
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามู่อี้ก็เข้าสู่สมาธิและในที่สุดก็ก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งเข้าสู่กำแพงในจิตใจได้สำเร็จ
สิ่งต่อไปที่เขาต้องทำคือการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องอย่างและสะสมพลังให้มากพอ วันหนึ่งเขาก็จะสามารถเอาชนะความยากของการฝึกจิตใจขั้นที่ 2 ได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและในพริบตาวันแรกของฤดูหนาวก็มาเยือน เมื่อถึงกลางคืนหิมะก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าและทั่วทั้งภูเขาฟุเนียวก็ปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะบางๆ
มู่อี้กำลังนั่งอยู่ในศาลา บนโต๊ะมีอาหารจานเล็กๆสองและไหสุราที่เขากำลังดื่มอยู่
มู่อี้ไม่ชอบดื่ม แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะดื่มสักสองสามจอกเมื่อเขาอารมณ์ดี แม้ว่าภายนอกนั้นจะหนาวเย็น แต่ร่างกายของมู่อี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมสีขาวบวกกับสุราที่เขาดื่มทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรเลยและแน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อมู่อี้ฝึกวิชาหมัดไร้นามในทุกๆวันเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนขึ้นเรื่อยๆและเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในเช่นเดียวกับการตีเหล็กซึ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างสม่ำเสมอและพลังในร่างกายของเขาก็เพิ่มมากยขึ้นเรื่อยๆ
เพราะไม่จำเป็นต้องลงจากเขา มู่อี้จึงไม่จำเป็นต้องสวมหมวกนักพรตเต๋าแต่ใช้เชือกมัดผมไว้ด้านหลังแทน ตอนนี้เขาสวมเสื้อคลุมตัวใหม่ที่มีราคาแพงซึ่งตระกูลซูเป็นผู้มอบให้
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาซูจงซานทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้และไม่ได้ส่งคนขึ้นไปบนภูเขา มีเพียงตอนส่งอาหารให้มู่อี้ในทุกๆครึ่งเดือนเท่านั้น ครั้งแรกเป็นคนรับใช้ที่นำอาหารมามอบให้ แต่หลังจากนั้นหน้าที่นี้ก็ถูกแทนที่ด้วยซูจินหลุนและซูหยิงหยิงก็ได้ตามซูจินหลุนมาที่นี่ถึง 2 ครั้ง
สำหรับซูจินหลุนมู่อี้ไม่ใช่คนพิเศษ ในทางตรงกันข้ามมู่อี้ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันและชอบที่จะพูดคุยกับซูจินหลุนอยู่เสมอ
จุดประสงค์ของซูจงซานที่ให้ซูจินหลุนขึ้นไปส่งอาหารบนภูเขานั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่อี้ ท้ายที่สุดแล้วในฐานะผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของตระกูลซู ซูจงซานก็ไม่ได้พยายามฝึกฝนซูจินหลุนมากนัก
มู่อี้รู้ความคิดของซูจงซานแต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะต่างฝ่ายต่างรู้ความคิดของกันและกัน
"ฮ่า ฮ่า"
ทันใดนั้นเสียงที่ชัดเจนเหมือนระฆังเงินก็ดังมาจากบนยอดเขา จากนั้นมีร่างที่ลอยลงมาจากกลางอากาศและทันใดนั้นก็มาที่หลังของมู่อี้จับและคว้าลำคอของเขาด้วยมือทั้งสองและใบหน้าของนางดูมีความสุขอย่างมาก
"พี่ชายมาเล่นกันเถอะ" เนี่ยนหนิวเอ้อร์พูดเบาๆด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ตั้งแต่ขึ้นมาอาศัยบนภูเขาบุคลิกของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ค่อยๆปลดปล่อยออกมาและมู่อี้ก็มักจะทำตามสิ่งที่นางต้องการเสมอ โชคดีที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์มีความประพฤติดีและนางไม่เคยร้องขออะไรที่ทำให้มู่อี้เดือดร้อน แต่นางกลับดูเหมือนผู้ใหญ่ที่คอยใส่ใจมู่อี้อยู่เสมอ
การปรากฏตัวของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ทำให้หัวใจของมู่อี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที มันทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปและเหมือนได้อยู่กับคนที่ใกล้ชิดอีกครั้ง
"ได้เลย!"
มู่อี้วางจอกสุราในมือลงและออกจากศาลาไปพร้อมกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ จากนั้นเสียงที่ร่าเริงก็ดังก้องไปทั่วภูเขา ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บที่มีสายลมที่รุนแรงเสียงหัวเราะของทั้งสองคนล่องลอยออกไปไกล
• ········
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในขณะที่มู่อี้กำลังฝึกวิชาหมัดไร้นามก็เหลือบไปเห็นซูจินหลุนที่กำลังเดินขึ้นทางลาดชันด้วยความรีบร้อน คิ้วของเขาขมวดขึ้นทันทีเพราะซูจินหลุนเพิ่งมาที่นี่ก่อนหิมะตก