ตอนที่ 30 ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์สาป-ภัยพิบัติของมวลมนุษย์
ตอนที่ 30 ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์สาป-ภัยพิบัติของมวลมนุษย์
"ความตายและความไม่พอใจ เมื่อพลังหยินภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงจึงกลายเป็นวิญญาณอาฆาต"
หลังจากอ่านประโยคนี้จบมู่อี้ก็นึกถึงวิญญาณมารดาของเนี่ยนหนิวเอ้อร์และวิญญาณผีสาวที่อยู่ข้างกายของฉือกุย
วิญญาณมารดาของเนี่ยนหนิวเอ้อร์คงตายไปด้วยความไม่พอใจอย่างแน่นอนเพราะนางไม่สามารถรักษาลูกสาวของตนเองได้และกลายมาเป็นวิญญาณอาฆาต
สำหรับวิญญาณผีสาวที่อยู่ข้างกายของฉือกุยแม้ว่าเขาจะไม่ได้คุ้นเคยกับนางมากนัก แต่เมื่อดูจากพลังหยินที่อยู่ในร่างกายของหญิงชราก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่านางเป็นวิญญาณที่มีความแค้นมากมายอยู่ภายในใจแน่นอนและด้วยเหตุนี้จึงกลายมาเป็นวิญญาณอาฆาต
เนี่ยนหนิวเอ้อร์แม้ว่านางจะเป็นวิญญาณที่มีสติปัญญาและพลังของนางน่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับวิญญาณอาฆาต แต่มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ในตอนนี้ไม่อาจตัดสินด้วยทฤษฎีเช่นนี้ได้ แม้ว่านางจะจัดเป็นวิญญาณอาฆาตแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
ไม่ต้องเดาเลยว่าวิญญาณที่มีสติปัญญาและไม่มีสติปัญญานั้นคงจะมีความแตกต่างกันมาก แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณทุกๆตนจะไม่มีสติปัญญาหลงเหลืออยู่แต่มันหมายถึงวิญญาณส่วนใหญ่ในโลกใบนี้
"ไม่เกรงกลัวพลังหยาง ไม่เกรงกลัวพลังแห่งไฟ จดจ่ออยู่กับความคิดของตนเองเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ใช้อธิบายวิญญาณชั่วร้าย"
หน้าถัดไปของหนังสือก็เป็นการแนะนำเรื่องอื่นและมีการวาดภาพเหมือนด้วยน้ำหมึกเอาไว้ในหนังสือด้วยเช่นกัน ภาพของวิญญาณชั่วร้ายตนหนึ่งเหมือนจะกระโดดออกมาจากหน้าหนังสือได้เลย
วิญญาณชั่วร้ายตนนี้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์โดยปราศจากความเจ็บปวดใดๆและมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือดวงตาของวิญญาณ มีทั้งสีดำและสีขาวและยังสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับมนุษย์
นี่คือวิญญาณอย่างนั้นหรือ?
มู่อี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น รูปลักษณ์ของวิญญาณตนนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดูโหดเหี้ยมหรือชั่วร้ายเลย แต่เป็นจิตใจของมู่อี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าภาพที่ได้เห็นนี้คือวิญญาณชั่วร้ายตนหนึ่ง
บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาคิดไปเอง ไม่ใช่ว่าวิญญาณทุกตนจะมีสติปัญญา แต่ดูเหมือนว่าเมื่อวิญญาณตนหนึ่งได้กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายสติปัญญาของวิญญาณตนนั้นจะกลับคืนมาอีกครั้ง แต่เขาไม่รู้ว่าสติปัญญาของวิญญาณกับสติปัญญาของมนุษย์นั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่
แต่ไม่ต้องเดาเลยว่าการที่วิญญาณตนหนึ่งจะมาถึงระดับวิญญาณชั่วร้ายได้นั้นสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เพียง 3 คำซึ่งก็คือ ยาก ยากมาก ยากที่สุด!
เมื่อวิญญาณตนหนึ่งได้กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายพลังของมันจะเพิ่มมากขึ้นจนเหนือกว่ามนุษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันเสียอีก
ดูจากระดับของเขาในตอนนี้มู่อี้เพิ่งจะเริ่มเข้าสู่การฝึกฝนและยังอยู่ในระดับความยากของการฝึกจิตใจขั้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองสามารถรับมือกับวิญญาณอาฆาตได้ หรือว่าพลังของวิญญาณอาฆาตนั้นจะเทียบเท่ากับความยากของการฝึกจิตใจขั้นที่หนึ่ง?
แล้วถ้าหากความยากขั้นที่สองล่ะ เทียบได้กับวิญญาณชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นขั้นที่สามล่ะ?
มู่อี้คิดกับตัวเองและหันไปอ่านเนื้อหาในหนังสืออีกครั้ง
"เปลวเพลิงโหมกระหน่ำและเหล่าภูตผีวิญญาณต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว เมื่อราชันย์แห่งวิญญาณปรากฏตัวออกมานั้นไม่มีสิ่งใดจะเทียบเคียงมันได้"
เมื่อได้อ่านประโยคนี้มู่อี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ทันที โลกใบนี้มีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่มากมายก็ย่อมมีวิญญาณที่แข็งแกร่งในระดับที่เรียกว่า ราชันย์แห่งวิญญาณ อยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อมีคำว่าราชันย์อยู่ในชื่อของมันก็แสดงให้เห็นว่ามันทรงพลังมากแค่ไหน
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงภาพประกอบในหนังสือเท่านั้นแต่มู่อี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังของมัน ราชันย์แห่งวิญญาณที่อยู่ในภาพวาดนั้นมีลักษณะส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับภาพของวิญญาณชั่วร้ายก่อนหน้านี้ ถ้ามองผ่านๆคงคิดว่าเป็นภาพเดียวกันแน่นอน
แต่ในภาพวาดนี้มันดูเสมือนจริงมาก ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา มีวิญญาณมารวมตัวกันอยู่นับไม่ถ้วน และกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ภายในอากาศที่เต็มไปด้วยแสงสีดำนั้นมีร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน แม้ว่าจะไม่รู้สึกได้ถึงพลังใดๆแต่มู่อี้ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
"นี่คือราชันย์แห่งวิญญาณอย่างนั้นหรือ?" มู่อี้คิดในใจ
ราชันย์แห่งวิญญาณน่าจะมีพลังเทียบได้กับความยากขั้นที่สาม
"ข้าจะไปถึงระดับนั้นได้หรือไม่นะ" มู่อี้กําหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เพราะภาพวาดต่างๆที่เขาได้เห็นในคืนนี้เป็นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ของความแข็งแกร่งที่ถูกปลูกขึ้นมาภายในจิตใจของเขาแล้ว
วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณอาฆาต วิญญาณชั่วร้าย ราชันย์แห่งวิญญาณ!
มู่อี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่เหนือกว่าราชันย์แห่งวิญญาณอีกหรือไม่เพราะมันไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่มู่อี้ก็รู้สึกได้อย่างเลือนราง บางทีผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอาจจะเคยพบเจอกับราชันย์แห่งวิญญาณจริงๆก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีทางวาดภาพที่เสมือนจริงขนาดนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน
"พลังของราชันย์แห่งวิญญาณ!"
มู่อี้อ่านเนื้อหาในหน้าถัดไปและมันทำให้เขารู้สึกใจสั่นขึ้นมาทันที เขาอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ด้วยสมาธิที่เพิ่มมากขึ้น
"วิญญาณและจิตวิญญาณต่างก็ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไร้สติปัญญาเหมือนๆกัน แต่พวกมันสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ด้วยพลังของเทพเจ้า นี่คือพลังของราชันย์แห่งวิญญาณ"
ต่อจากนั้นหลังจากเขาได้อ่านเนื้อหามากมายในหนังสือเล่มนี้ที่ระบุรายละเอียดเรื่องการป้องกันและรับมือภูตผีในระดับต่างๆ แม้แต่มู่อี้ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาในตอนนี้
นอกจากนี้ยังมีวิธีการบ่มเพาะวิญญาณชั่วร้าย วิญญาณชั่วร้ายเป็นวิญญาณที่มีความโหดเหี้ยมอำมหิตและแข็งแกร่งมาก แต่วิธีการบ่มเพาะวิญญาณชั่วร้ายขึ้นมานั้นก็ต้องทำเรื่องชั่วร้ายเลวทรามมากมายด้วยเช่นกัน มู่อี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวิญญาณผีสาวของฉือกุยที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที
แม้ว่ามู่อี้จะรับรู้ได้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์อยู่ในระดับไหนจากหนังสือเล่มนี้ นางมีสติปัญญา มีพลังเหนือกว่าวิญญาณอาฆาต เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในระดับวิญญาณชั่วร้ายตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาราวกับว่าว่านางได้รับการอวยพรจากสวรรค์. .
แต่แม้ว่านางจะอยู่ในระดับวิญญาณชั่วร้ายและมีสติปัญญามาตั้งแต่กำเนิดแต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากที่นางจะกลายเป็นราชันย์แห่งวิญญาณได้
ท้ายที่สุดแล้วมู่อี้ก็ได้อ่านเรื่องราวของราชันย์แห่งวิญญาณ เรื่องราวของศาสตร์ลับต้องห้าม วิญญาณแม่ลูก และในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ฉือกุยต้องการนั้นคืออะไร เมื่อได้เห็นเรื่องวิญญาณแม่ลูกเขาก็คิดว่าพลังของเนี่ยนหนิวเอ้อร์มีสิทธิ์ไปถึงระดับราชันย์แห่งวิญญาณได้หลังจากที่ได้อ่านคำอธิบายต่างๆของศาสตร์ลับต้องห้ามนี้ แม้ว่าเขาไม่อาจจะยืนยันได้ว่านางจะได้กลายเป็นราชันย์แห่งวิญญาณแน่นอนแต่ความเป็นไปได้นั้นก็สูงมากกว่าวิญญาณชั่วร้ายตนอื่นๆ
แม้ว่ามู่อี้ จะเข้าใจเรื่องนี้แล้วแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากว่าเขาใช้ศาสตร์ลับต้องห้าม วิญญาณแม่ลูก กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์มันคงทำให้มู่อี้แข็งแกร่งขึ้นมากในทันทีทันใดและยังได้รับวิญญาณอันแข็งแกร่งของเนี่ยนหนิวเอ้อร์มาคอยรับใช้ นี่คือสิ่งที่ฉือกุยต้องการอย่างแน่นอน
แต่มู่อี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ทางเลือกของเขา บางครั้งเขาอาจจะโน้มน้าวหรือพูดหลอกลวงเพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ นักพรตเฒ่าสอนเขาเสมอว่า ทุกๆการกระทำของเรานั้นเราย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเอง. .
หลังจากผ่านเรื่องราวที่ชั่วร้ายเหล่านี้มามู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าจิตใจของตนเองนั้นกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น เขารู้สึกได้ว่าตนเองสามารถก้าวต่อไปตามเส้นทางเดิมที่คิดเอาไว้ได้
ต่อหน้าผลประโยชน์เช่นนี้สีหน้าของมู่อี้ไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขารู้สึกใจสั่นและหวั่นไหวมากยิ่งขึ้นคงเป็นการโกหกถ้าบอกว่าเขาไม่อยากได้ การที่ต้องนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะจิตใจในทุกๆวันนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขเลยแต่เขาก็ต้องอดทนทำต่อไป
มู่อี้รู้สึกกังวลว่าตนเองอาจจะหลงทางไปได้ในภายภาคหน้า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าศาสตร์ลับต้องห้าม วิญญาณแม่ลูก จะไม่สามารถใช้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์และมารดาของนางได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้จะไร้ประโยชน์สำหรับมู่อี้ซะทีเดียว ในทางกลับกันหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่มาเปิดประตูหัวใจของมู่อี้และภาพประกอบของวิญญาณต่างๆที่อยู่ภายในหนังสือเล่มนี้นั้นก็เป็นประโยชน์สำหรับเขามาก การสะกดวิญญาณ การปกป้องวิญญาณ และการทำลายวิญญาณ นี่คือสิ่งที่เขาต้องศึกษาต่อไปในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้นมู่อี้ไม่ใช่คนอวดรู้ เขายังเข้าใจสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ เขาไม่คิดที่จะทำร้ายหรือสังหารผู้คนแต่ถ้าหากเขาได้พบกับวิญญาณที่เหมาะสมเขาอาจจะลองจับมันดู เพราะในตอนนี้เขาได้เห็นแล้วว่าพลังของวิญญาณนั้นมีมากขนาดไหน สิ่งที่ดีที่สุดก็คือมันจะสามารถช่วยเหลือเขาได้มากมายด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเขาจำเป็นต้องซ่อมธงราชันย์แห่งวิญญาณให้กลับมาเป็นปกติเสียก่อน แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับมู่อี้และมันต้องใช้เวลานานมากแน่นอน
เมื่อมู่อี้เปิดหนังสือเต๋าเล่มนี้ไปถึงหน้าสุดท้ายเขาก็อ่านเนื้อหาในหนังสือจนหมดและกำลังจะปิดหนังสือ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นตัวอักษรเล็กๆที่เขียนเอาไว้ตรงมุมของหนังสือเล่มนี้ ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์สาป-ภัยพิบัติของมวลมนุษย์!