ตอนที่ 16 กอไผ่ที่โดดเดี่ยว
ตอนที่ 16 กอไผ่ที่โดดเดี่ยว
"ตึก ตึก!"
เมื่อมู่อี้ขึ้นมาบนชั้น 2 เขาก็ไม่ได้หันหลังกลับมามองทั้งสองคนที่เดินตามหลังมาติดๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังเขาก็รีบหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็วและเห็นซูจินหลุนกำลังคุกเข่าข้างหนึ่ง ใช้กระบี่ขนาดใหญ่ปักลงบนพื้นเพื่อค้ำยันร่างกายของตนเองราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
"เกิดอะไรขึ้นขอรับ?" มู่อี้ถามทันที แต่เขาไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ใกล้เคียง
แม้ว่าเขาจะปิดตาลงในขณะนี้และการฝึกฝนจิตวิญญาณยังคงอยู่ในขั้นที่ 2 แต่จิตใจของเขาแกร่งกล้ากว่าคนทั่วไปและสามารถรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถรู้สึกได้ แต่ในเวลานี้เขาไม่พบอะไรเลย
ดังนั้นเขาจึงมองซูจินหลุนด้วยความงุนงง
“ไม่มีอะไร ขาของข้าอ่อนแรงไปหน่อย” เมื่อเห็นมู่อี้และน้องสาวของเขาหันหลังกลับมามอง ซูจินหลุนก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อคนๆหนึ่งตกอยู่ในความกลัวสีหน้าและท่าทางของเขาก็จะเปลี่ยนไปอย่างมาก
"ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" มู่อี้พยักหน้าและเดินสำรวจห้องต่อไป ซูหยิงหยิงถอดฝาครอบตะเกียงออกมาและใช้มันจุดเทียนที่เหลืออยู่ภายในห้อง หลังจากนั้นครู่หนึ่งห้องนี้ก็สว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซูจินหลุนวางตะเกียงลง เขาจับกระบี่ขนาดใหญ่ไว้ในมือทั้งสองข้าง ท่าทางของเขาดูตื่นตระหนกอย่างยิ่งราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างอยู่
มู่อี้เช็ดทำความสะอาดม้านั่ง จากนั้นย้ายมันไปที่ขอบหน้าต่างและนั่งลง ในตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นกอไผ่ที่บริเวณริมกำแพงได้อย่างชัดเจน
"ท่านซู ท่านพอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับป้าของท่านบ้างไหมขอรับ?" มู่อี้ถาม
"ตามที่ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟัง เมื่อข้าอายุได้สองขวบท่านป้าก็จากที่นี่ไป ดังนั้นข้าจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านป้าผู้นั้นเลย สำหรับการกลับมาของท่านป้าในอีก 5 ปีต่อมาเป็นเพราะท่านพ่อกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเมืองฟูเฉิงที่ข้ากำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ทำให้ข้าได้พบกับท่านป้าเป็นครั้งแรก แต่ข้าก็ไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านป้ามากนักเช่นกัน" ซูจินหลุนขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ท่านย่าชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านป้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ นางเป็นคนที่งดงามอย่างยิ่งก่อนชีวิตของนางจะเปลี่ยนไปเพราะชายคนหนึ่ง ท่านย่าบอกว่ามันเป็นโชคชะตาของนางและถอนหายใจออกมาด้วยความโศกเศร้า หลังจากนางตายจากไปท่านย่าก็เสียใจมากและร้องไห้เกือบทุกวัน การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของท่านป้าทำให้ท่านปู่และท่านย่ารักหยิงหยิงมาตั้งแต่เด็กและเติบโตขึ้นมาราวกับพวกท่านเป็นพ่อแม่คนที่สอง" ซูหยิงหยิงพูดอย่างอ่อนโยน
“แล้วงานอดิเรกของนาง ท่านพอรู้บ้างไหม? ตัวอย่างเช่นชอบปลูกต้นไผ่หรืออะไรแบบนั้น?” มู่อี้ยังคงถามต่อไป
"ใช่ ท่านป้าของข้าชื่นชอบต้นไผ่อย่างมากดังนั้นท่านปู่ของข้าจึงสั่งให้คนนำต้นไผ่มาปลูกเอาไว้ที่นี่ เรื่องที่ข้าจะเล่าให้ท่านฟังต่อไปนี้อาจฟังดูแปลกไปหน่อย แม้ว่าต้นไผ่เหล่านี้ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานหลายปีแต่พวกมันไม่ได้ล้มตายไปเลยแม้แต่ต้นเดียว" ซูหยิงหยิงพูดทันที
หลังจากพูดจบซูหยิงหยิงก็เงียบไปชั่วครู่และพูดขึ้นมาว่า "ท่านนักพรตคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับต้นไผ่พวกนี้ไหม?"
"ข้าก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับต้นไผ่เหล่านี้หรือไม่ แต่ ... " มู่อี้หยุดพูดเพียงแค่นี้
"แต่ อะไร?" ซูหยิงหยิงถามทันที
“แต่ข้าเกรงว่าพวกเราจะต้องค้างคืนที่นี่” มู่อี้พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
"ค้างคืนที่นี่หรือ?" ซูหยิงหยิงและซูจินหลุดพูดเกือบจะพร้อมเพรียงกัน
"ใช่ ค้างคืนที่นี่ แต่ถ้าพวกเราโชคดีก็อาจไม่ต้องค้าง" มูยี่พูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง
เมื่อคิดถึงการค้างคืนที่นี่ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดแต่มันก็แค่เดือนละครั้งเท่านั้น ทั้งสองคนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัวหนาวเย็นขึ้นมาทันที
ซูจินหลุนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่างกายของตนเองและซูหยิงหยิงก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน มีเพียงมู่อี้เท่านั้นที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองออกไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้ว่ามู่อี้จะอายุยังน้อย แต่ความกล้าหาญนั้นมีมากกว่าทั้งสองคนแน่นอน ตอนที่เขาติดตามนักพรตชราเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเขาเคยนอนในสุสานเพื่อหลอกลวงผู้คน เปิดหลุมศพเพื่อทำพิธีกลางดึก และบ่อยครั้งที่ต้องอยู่กับร่างไร้วิญญาณของคนตาย
ทั้งหมดนี้ทำให้มู่อี้สามารถฝึกฝนจิตวิญญาณได้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้การฝึกฝนเมื่อเร็วๆนี้ก็ทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้นมากและความกล้าหาญก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ในตอนนี้เขาหวังว่าจะได้พบกับวิญญาณตัวเป็นๆเพื่อจะได้ทดสอบว่ายันต์ที่เขาเขียนขึ้นมามีอานุภาพแค่ไหน
ท้ายที่สุดแม้ว่ายันต์จะช่วยชีวิตเขาในคืนนั้น แต่เขาได้สลบไปก่อนและไม่รู้ว่ามันมีประสิทธิภาพเพียงใด
คราวนี้มู่อี้เชื่อว่ายันต์ที่เขาพกติดตัวจะทำให้เขาประหลาดใจอย่างแน่นอน เขาเชื่อมั่นในยันต์ที่วาดขึ้นในครั้งนี้อย่างมาก
"พวกท่านทั้งสองจะยืนให้เมื่อยทำไมขอรับ หาที่นั่งเพื่อพักผ่อนกันก่อนเถอะ ค่ำคืนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น" มู่อี้มองไปที่พวกเขาทั้งสองและพูดออกมา
เมื่อได้ยินที่มู่อี้พูด ซูจินหลุนและน้องสาวของเขาก็หันมามองหน้ากัน เขาขยับเก้าอี้มาและนั่งลงข้างๆมู่อี้ส่วนซูหยิงหยิงนางก็ขยับเก้าอี้ไปนั่งอีกข้างโดยธรรมชาติ
มู่อี้มองซูจินหลุนและหยิบยันต์ออกมามอบให้เขา "เก็บมันเอาไว้กับตัวท่าน มันสามารถช่วยชีวิตของท่านในยามคับขันได้"
หากมีสิ่งชั่วร้ายโจมตีท่านยันต์แผ่นนี้จะช่วยปกป้องคุ้มภัย แน่นอนยันต์ประเภทนี้ไม่ได้เป็นยันต์ที่สามารถปกป้องคุ้มภัยได้ครอบจักรวาล ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมู่อี้ยันต์ปกป้องคุ้มภัยที่เขาเขียนขึ้นมาสามารถปกป้องผู้ถือครองจากวิญญาณและสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น หากซูจินหลุนถูกโจมตีด้วยคมมีดหรือลูกธนูก็ยังคงได้รับบาดเจ็บ มีเลือดออด และเป็นอันตรายถึงชีวิตอยู่ดี
ยันต์ที่มู่อี้สามารถวาดออกมาได้ยังมียันต์ปกป้องที่อยู่อาศัยที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยตัวมันเองได้ สำหรับยันต์ปราบปีศาจ สะกดวิญญาณ และสายฟ้าล้วนเป็นยันต์ที่เขาต้องใช้ด้วยตัวเอง เมื่อยันต์เหล่านี้อยู่ในมือของคนธรรมดาทั่วไปก็เป็นแค่เศษกระดาษแผ่นหนึ่ง เหตุผลที่ทำให้มู่อี้สามารถใช้มันได้เพราะเขามีจิตใจที่ทรงพลังซึ่งสามารถสัมผัสได้กับพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในยันต์
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มู่อี้เลือกที่จะมอบยันต์คุ้มภัยให้ซูจินหลุน
แม้ว่าซูจินหลุนจะไม่เคยเห็นพลังของยันต์มาก่อน แต่ปู่และน้องสาวของเขารู้ดีถึงความมหัศจรรย์ของมัน ก่อนหน้านี้อาการป่วยของย่าของเขาทรุดหนักมากแม้แต่หมอผู้มีชื่อเสียงก็ไม่สามารถรักษาได้ แต่มู่อี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยันต์เพียงแผ่นเดียวเท่านั้น แม้แต่หมอที่มีชื่อเสียงต่างก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็น
ดังนั้นซูจินหลุนจึงคิดว่ายันต์แผ่นนี้จะต้องมีพลังที่มหัศจรรย์เช่นเดียวกัน นอกจากนี้มู่อี้ยังบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาได้ หลังจากคิดเช่นนั้นซูจินหลุนก็รีบยื่นมือไปรับทันทีและเอ่ยปากขอบคุณ
"ท่านนักพรตเต๋าน้อย หยิงหยิงขอถามอะไรท่านหน่อยได้ไหม?" ซูหยิงหยิงรู้สึกลังเลมานานและในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูด
ซูจินหลุนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาคิดว่าซูหยิงหยิงคงอยากจะขอยันต์คุ้มภัยแผ่นนี้ด้วย เขาที่เพิ่งรับยันต์คุ้มภัยมาจากมู่อี้จึงพูดออกมาว่า "หยิงหยิง เจ้าอย่าหยาบคาย"
"ท่านพี่ ยันต์แผ่นนี้ท่านนักพรตเต๋าได้มอบให้ข้าแล้ว" ซูหยิงหยิงส่ายหัวเล็กน้อยและหันไปมองมู่อี้อีกครั้ง
เป็นเพราะซูหยิงหยิงได้ใกล้ชิดและพูดคุยกับมู่อี้เป็นระยะเวลาหลายวัน นางจึงรู้สึกว่ามู่อี้ไม่ใช่คนที่ชั่วร้ายหรือแล้งน้ำใจแต่อย่างใด ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่พูดเรื่องนี้
“ท่านมีอะไรจะถามข้าหรอขอรับ?” มู่อี้มองซูหยิงหยิงและถามนางโดยตรง