ตอนที่แล้วตอนที่ 14 เขียนยันต์อีกครั้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 16 กอไผ่ที่โดดเดี่ยว

ตอนที่ 15 การไล่ล่าวิญญาณในยามค่ำคืน


ตอนที่ 15 การไล่ล่าวิญญาณในยามค่ำคืน

หลังจากมู่อี้ทานอาหารเสร็จสิ้น ซูจงซานและคนอื่นๆก็เข้ามาที่นี่อีกครั้งพวกเขาจ้องมองไปที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความคาดหวัง

"ท่านซูขอรับ ข้าขอให้ท่านนำยันต์แผ่นนี้ไปติดเอาไว้ที่หน้าประตูห้องนอนของท่านหญิงชราและสั่งห้ามไม่ให้ทุกๆคนเข้าไปในห้องนั้น ถ้าหากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวยามกลางดึกของคืนนี้โปรดอย่ากังวล" มู่อี้นำยันต์ปกป้องที่อยู่อาศัยมอบให้กับซูจงซานและออกคำสั่งทันที

"ท่านนักพรตเต๋าโปรดวางใจได้เลย ข้าจะแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนปฏิบัติตามแน่นอน" ซูจงซานจ้องมองแผ่นยันต์ที่อยู่ในมือของมู่อี้ด้วยสายตาที่จริงจัง

"ขอบคุณขอรับ" มู่อี้พยักหน้าจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูจุนและพูดว่า "คืนนี้ข้าต้องขอให้ท่านคอยดูแลท่านผู้อาวุโสซูด้วยนะขอรับ คงจะดีหากท่านผู้อาวุโสมีผู้ที่แข็งแกร่งคอยปกป้อง"

"ได้อยู่แล้ว" ซูจุนพยักหน้า

"สำหรับพวกท่านทั้งสองคนรวมถึงท่านหยิงหยิง โปรดตามข้ามาในคืนนี้" สุดท้ายแล้วมู่อี้ก็หันมาพูดกับซูจินหลุน เจิ้งสือซง และซูหยิงหยิง

"ท่านนักพรต หยิงหยิงต้องอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?" ซูจุนรีบพูดแย้งขึ้นมาทันทีเพราะก่อนหน้านี้มู่อี้สั่งให้หญิงสาวทุกๆคนออกห่างจากบ้านหลังนี้ในคืนนี้ ในตอนนี้ทั่วทั้งบ้านหลังนี้นอกจากหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงก็มีเพียงซูหยิงหยิงเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง หญิงสาวคนอื่นๆในตระกูลไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่เป็นภรรยาหรือลูกหลานต่างก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้บ้านหลังนี้

"ขอรับ ท่านหยิงหยิงอาจจะช่วยอะไรข้าได้ถ้าหากว่านางอยู่ที่นี่ด้วย" มู่อี้ตอบกลับไปตรงๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ถ้าหากว่าท่านซูหยิงหยิงพกยันต์ติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลานางย่อมไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

ในเมื่อมู่อี้พูดออกมาแบบนี้ซูจุนก็หยุดโต้แย้งทันที

"ท่านนักพรต ท่านให้สือซงอยู่ช่วยเหลือท่านปู่ได้ไหมขอรับ? ก่อนหน้านี้ข้าเสียเลือดมากและข้ากลัวว่าความอ่อนเพลียของข้าอาจจะทำให้พิธีกรรมของท่านนักพรตต้องเสียหาย" เจิ้งสือซงมองไปที่มู่อี้ด้วยความลังเลใจจากนั้นเขาก็พูดอธิบายออกมา

ความจริงแล้วแม้ว่าร่างกายของเจิ้งสือซงจะอ่อนแอกว่าซูจินหลุนแต่เขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้นที่จะรู้สึกอ่อนเพลียเมื่อเสียเลือดเพียงเล็กน้อย แต่เขารู้ว่าถ้าหากติดตามมู่อี้ไปในคืนนี้เขาจะต้องเจอกับเรื่องอันตรายอย่างแน่นอน

"ท่านนักพรตเต๋า ร่างกายของสือซงถือว่าอ่อนแอกว่าคนอื่นๆ ให้เขาอยู่คอยช่วยเหลือข้าจะดีกว่าและเปลี่ยนให้คนอื่นๆไปช่วยเหลือท่านนักพรตแทนจะได้ไหม?" ซูจงซานมองไปที่สีหน้าที่ดูย่ำแย่ของเจิ้งสือซงและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากช่วยเหลือเขาทันที

"ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ให้เขาอยู่ดูแลท่านผู้อาวุโสก็ได้ขอรับ สำหรับคนอื่นที่จะมาแทนที่เขาไม่ต้องก็ได้ขอรับ" มู่อี้ไม่ได้ทำให้เจิ้งสือซงลำบากใจอีกต่อไปและพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อได้ยินแบบนี้ความหนักใจของเจิ้งสือซงก็หายไปทันที

แต่เจิ้งสือซงก็ไม่รู้ว่าทำไมสายตาของมู่อี้ถึงเป็นประกายขึ้นมาหลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ ส่วนซูหยิงหยิงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็มีสีหน้าที่ดูจริงจัง

นางอยากจะเตือนให้เจิ้งสือซงระวังตัวด้วยแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

หลังจากที่ซูจงซานเดินนำทั้งสองคนออกไปแล้ว มู่อี้ก็ยื่นกระบี่เล่มหนึ่งให้กับซูจินหลุน กระบี่เล่มนี้ไม่รู้ว่าตระกูลซูนำมาจากไหน ตัวกระบี่นั้นยังคงสะท้อนแสงเป็นประกายแต่ที่บริเวณคมกระบี่นั้นมีสิ่งที่คล้ายกับรอยเลือดจางๆเปื้อนอยู่มันให้ความรู้สึกได้ว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ไม่ธรรมดาแน่นอน

"กระบี่เล่มนี้คือสิ่งที่ท่านจะใช้ป้องกันตัว พยายามอย่าออกห่างจากข้าไปไหน" มู่อี้พูดกับซูจินหลุน

"ขอรับ ท่านนักพรต" ซูจินหลุนรับกระบี่มาถือเอาไว้ในมือและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

จากนั้นมู่อี้ก็ยื่นไม้บรรทัดให้กับซูหยิงหยิง "ข้าอยากให้ท่านถือสิ่งนี้เอาไว้เผื่อว่าข้าต้องการใช้มัน"

ซูหยิงหยิงพยักหน้าหลังจากนั้นเธอก็ยื่นมือไปรับไม้บรรทัดทันที

มู่อี้ไม่ได้ถือสิ่งใดอยู่ในมือตอนนี้ เขาใช้แขนเสื้อปกปิดมือของตนเองเอาไว้จากนั้นก็เดินนำทั้งสองคนไปที่สวนหลังบ้านที่เงียบสนิท

สวนหลังบ้านแห่งนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของบ้านตระกูลซู หลังจากผ่านซุ้มประตูออกมาสิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือกระท่อมหลังเล็กที่ดูโทรมๆซึ่งถูกปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งอยู่กลางสวนหลังบ้านแห่งนี้

ด้านข้างของสวนหลังบ้านแห่งนี้มีคบเพลิงถูกจุดเอาไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อรวมกับตะเกียงที่อยู่ในมือของซูหยิงหยิงและซูจินหลุนทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ตรงหน้านั้นได้อย่างชัดเจน

เมื่อมู่อี้ออกคำสั่ง ซูจินหลุนก็นำกุญแจไปปลดกลอนประตูบ้านหลังนั้นทันที แม้ว่าฉากที่ได้เห็นในตอนนี้จะไม่ได้ดูน่ากลัวมากนักแต่มันก็สามารถทำให้ซูจินหลุนรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

มู่อี้ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและเดินนำเข้าไปเป็นคนแรกในตอนนี้

แม้ว่าซูจินหลุนจะรู้สึกหวาดกลัวแต่เขาก็ให้ซูหยิงหยิงเดินไปตรงกลางระหว่างทั้งสองคนส่วนเขาจะเป็นคนเดินปิดท้ายเองและถือกระบี่เอาไว้ในมืออยู่เสมอเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น

สวนหลังบ้านแห่งนี้มีเพียงคน 3 คนเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ นอกจากเสียงเผาไหม้ของคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นมาแล้วก็มีเพียงเสียงเท้าของทั้ง 3 คนที่เดินเป็นจังหวะเท่านั้น

สวนหลังบ้านแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก มันมีพื้นที่เพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นและมีต้นไผ่กอใหญ่ปลูกเอาไว้ที่กำแพงทางทิศตะวันตก ไม่รู้ว่าเพราะฮวงจุ้ยดีหรือเปล่าแต่ต้นไผ่กอนี้มีลำต้นขนาดใหญ่และดูเขียวชะอุ่มงดงามเป็นอย่างมาก

ข้างๆกอไผ่นั้นมีสระน้ำเล็กๆแห่งหนึ่งแต่น้ำที่อยู่ภายในนั้นแห้งเหือดไปหมดแล้วและเหลือเพียงพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยดินโคลนเท่านั้น

ตรงกลางของสวนแห่งนี้มีโต๊ะหินตั้งอยู่ตัวหนึ่งรอบๆโต๊ะหินมีเก้าอี้หิน 4 ตัว ซึ่งเต็มไปด้วยใบไผ่ที่ร่วงหล่นลงมาทับถมอยู่บนโต๊ะและเก้าอี้

แม้ว่าประตูของสวนแห่งนี้จะถูกปิดตายเอาไว้แต่ก็น่าจะมีใครเข้ามาทำความสะอาดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากผ่านมานานหลายปีพวกวัชพืชและเถาวัลย์ต่างๆจะต้องขึ้นสูงอย่างแน่นอน

"พวกท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมท่านหญิงชราถึงเข้ามาที่นี่อย่างกะทันหันก่อนหน้านี้?" มู่อี้จ้องมองไปที่โต๊ะหินที่อยู่ตรงกลางสวนอยู่นานจากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมา

"ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นเช่นไร แต่ข้าเองก็ได้ยินจากท่านแม่บอกว่าท่านย่าตื่นขึ้นมาในวันนั้นและสั่งให้คนเปิดประตูของสวนแห่งนี้ จากนั้นท่านย่าก็เข้ามานั่งอยู่ที่นี่ในตอนบ่าย 2 วันแรกดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่พอเข้าวันที่ 3 อาการป่วยของท่านย่าก็เริ่มแสดงออกมา" ซูหยิงหยิงกล่าว

ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่แต่หลังจากที่หญิงสาวพูดจบก็มีสายลมกรรโชกพัดเข้ามาจนทำให้กอไผ่สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด เสียงของลมปะทะกับกอไผ่นั้นดังขึ้นมาอย่างไม่จบสิ้นและคบเพลิงที่อยู่รอบๆสวนแห่งนี้ก็ถูกสายลมพัดจนติดๆดับๆ

เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นซูหยิงหยิงและซูจินหลุนก็รู้สึกตกตะลึงทันที ทั้งสองคนรีบเข้าไปใกล้มู่อี้ตามสัญชาตญาณของตนเอง

มู่อี้สามารถได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างกายของซูหยิงหยิงเมื่อนางเข้ามาใกล้

"ไปดูชั้น 2 ของบ้านกันเถอะ" มู่อี้เดินนำทางไปทันทีโดยไม่ถามอะไรอีก

กระท่อมหลังเล็กๆแห่งนี้มี 2 ชั้นที่ชั้นล่างนั้นเป็นห้องรับแขกซึ่งมีห้องแยกออกมาอีกทั้งสองฝั่งแม้ว่าจะถูกทิ้งร้างเอาไว้แต่มันก็ยังดูสะอาดและมีเพียงแค่ฝุ่นเล็กน้อยที่อยู่บนพื้นเท่านั้น

เมื่อขึ้นบันไดไปชั้น 2 เสียงบันไดไม้เก่าก็ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ซูหยิงหยิงรีบตามมาติดๆและไม่กล้าเงยหน้ามองสิ่งใดเลย ซูจินหลุนก็ด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าที่ใดก็ตามเมื่อถูกทิ้งร้างเอาไว้มักจะให้ความรู้สึกที่น่ากลัวอยู่เสมอ พื้นที่ในตระกูลของพวกเขาก็ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนรีบตามหลังมู่อี้มาติดๆ ที่นี่ให้ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มันเป็นความรู้สึกของอะไรบางอย่างซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน

เสียงของบันไดไม้เก่าบวกกับเสียงลมกรรโชกที่พัดเข้ามาทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูจินหลุนที่เดินอยู่หลังสุด ตะเกียงที่อยู่ในมือของเขาสามารถส่องสว่างได้เพียงพื้นที่ตรงหน้าเขาเท่านั้นด้านหลังของเขามีเพียงความมืดมิดซึ่งมันให้ความรู้สึกราวกับว่าความมืดมิดที่ตามหลังมานั้นพร้อมที่จะกลืนกินเขาเข้าไปตลอดเวลา

ยิ่งเดินต่อไปมากเท่าไหร่ซูจินหลุนก็รู้สึกว่าขาของเขาหนักมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาก็พยายามเหยียบลงบนบันไดให้เบาที่สุด

ในตอนนี้สภาพจิตใจของซูจินหลุนไม่ได้ต่างอะไรจากซูหยิงหยิงเลย ใบหน้าของซูหยิงหยิงในตอนนี้ดูซีดเซียวมากและมือเล็กๆของนางจับที่ชายเสื้อของมู่อี้เอาไว้แน่นจนชายเสื้อแทบจะขาดออกมา

"ตึก ตึก!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด