ตอนที่ 13 ต้องการใช้เลือด
ตอนที่ 13 ต้องการใช้เลือด
ของต่างๆที่มู่อี้ต้องการมาถึงในเวลาไม่นาน ความจริงแล้วด้วยอำนาจของตระกูลซูพวกเขาสามารถตามหาของที่สั่งไปมาให้ได้อย่างง่ายดายและคุณภาพของสิ่งของต่างๆก็เกินกว่าที่มู่อี้คิดเอาไว้มาก
เมื่อเห็นแบบนี้ในใจของมู่อี้ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นมู่อี้ก็บอกให้ซูจงซานสั่งให้ทุกๆคนในบ้านมารวมตัวกัน แต่ความจริงแล้วก็มีเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นนั่นคือซูจงซาน ซูจุนที่เป็นบุตรชายของเขา ซูหยิงหยิง ซูจินหลุน และเจิ้งสือซง
หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้นในตอนนี้ท่าทีของซูจุน ซูจินหลุน หรือเจิ้งสือซงที่มีต่อมู่อี้ต่างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในตอนนี้ความเป็นความตายของหญิงชราขึ้นอยู่กับเขาแล้ว แม้ว่านางจะยังไม่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้แต่อาการป่วยของนางก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ท่านหมอที่มีชื่อเสียงที่พวกเขาเชิญมารักษาก็ต้องประหลาดใจด้วยเช่นกัน
และทั้งหมดนี้เป็นเพราะมู่อี้ แม้แต่ซูหยิงหยิงก็ไม่อาจเก็บซ่อนความประหลาดใจของนางเอาไว้ได้
ซูจุนไม่ได้มีท่าทีดูถูกเพราะมู่อี้มีอายุน้อยอีกต่อไป ซูจินหลุนก็มีสีหน้าที่ดูเคารพ แต่สีหน้าของเจิ้งสือซงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ มันดูซับซ้อนมาก บางทีเขาอาจจะรู้สึกงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
"แม้ว่าสถานการณ์ของท่านหญิงชราในตอนนี้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ถ้าต้องการให้อาการเจ็บป่วยของท่านหญิงหายขาด ข้าต้องการความช่วยเหลือของพวกท่านขอรับ" หลังจากอยู่ที่นี่มาประมาณ 1 สัปดาห์มู่อี้ก็กล้ามองหน้าเจิ้งสือซงตรงๆ
"ไม่ว่าท่านนักพรตต้องการสิ่งใดโปรดสั่งมาได้เลย ตราบใดที่มันทำให้ท่านแม่ของข้าตื่นขึ้นมาได้ ไม่ว่าท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็จะทำให้ดีที่สุด" ซูจุนรีบพูดขึ้นมาทันที ดูเหมือนเขาพยายามชดเชยต่อการที่เขาดูถูกชายหนุ่มก่อนหน้านี้
"ใช่แล้ว ท่านนักพรตโปรดบอกมาได้เลย" ซูจงซานพยักหน้า
"ตอนนี้หยินและหยางของท่านหญิงชราถูกแยกออกจากกันแต่ระบบโลหิตของท่านหญิงยังเชื่อมต่อกันทั้งกาย ดังนั้นข้าจึงต้องการใช้เลือดของผู้สืบสายเลือดของนางมาใช้เป็นยารักษา" มู่อี้ตอบกลับมาตรงๆ
"ท่านนักพรต ท่านใช้เลือดของข้าได้เลย" ซูจุนรีบพูดขึ้นมาทันที เขาเป็นลูกชายของนางสายเลือดของเขาจึงใกล้ชิดกับนางมากที่สุด
"ท่านนักพรต หยิงหยิงก็พร้อมที่จะช่วยท่านเสมอ" ซูหยิงหยิงพูดออกมาเบาๆ
"ท่านนักพรตหากยังไม่พอก็ใช้ของข้าได้" ซูจินหลุนพูดออกมาหลังสุด
"ทุกๆคนไม่ต้องเถียงกัน ข้า สือซง จะตอบแทนบุญคุณของท่านย่าเอง" เมื่อเห็นว่าทุกๆคนที่พูดออกมาก่อนหน้านี้เจิ้งสือซงก็พูดออกมาด้วยเช่นกัน ไม่ว่ายังไงเขาก็ถือเป็นหลานชายคนหนึ่ง ความคิดนี้มันวนเวียนอยู่ในใจของเขาแม้ว่าการรักษาครั้งนี้จะต้องการเลือดของผู้สืบสายเลือดจริงๆ แต่ก็มีผู้สืบสายเลือดจำนวนมากที่อยู่ที่นี่บางทีเขาอาจจะไม่ต้องแสดงความกตัญญูออกมาด้วยซ้ำ
มู่อี้จ้องมองมาที่เจิ้งสือซงทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัยทันที เจิ้งสือซงรู้สึกแปลกๆในใจขึ้นมาและคำพูดของเขาที่กำลังจะพูดออกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปทันที
"ท่านซูไม่ต้องลำบากหรอกขอรับ แม้ว่าท่านจะเป็นบุตรชายของท่านหญิงชรา แต่ท่านก็มีอายุมากแล้วดังนั้นเลือดของท่านจึงไม่เหมาะ มันไม่มีประโยชน์มากพอสำหรับร่างกายของท่านหญิงชราในตอนนี้ สำหรับท่านหยิงหยิงท่านเป็นหญิงสาวจึงไม่เหมาะสมเช่นเดียวกัน" มู่อี้พูดบอกทีละคนหลังจากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ซูจินหลุนและเจิ้งสือซง
"ในเมื่อท่านบุตรชายของตระกูลซูและท่านบุตรชายของตระกูลเจิ้งเกิดมาในปีเดียวกัน พวกท่านทั้งสองจึงมีพลังสายเลือดที่ทรงพลังมากที่สุดและพวกท่านทั้งสองก็สืบสายเลือดมาจากท่านหญิงชราโดยตรง หากพวกท่านยินยอมพวกท่านก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ขอรับ"
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อี้ ซูจินหลุนย่อมรู้สึกยินดี ในขณะที่เจิ้งสือซงก็ตัวสั่นขึ้นมาทันทีและรอยยิ้มที่แข็งทื่อก็ค้างอยู่บนใบหน้าของเขา
ในตอนนี้ซูจงซานก็มองไปที่พวกเขาทั้งสองคนและพูดออกมาว่า "เช่นนั้นก็ให้จินหลุนและสือซงเป็นผู้เสียสละเถอะ"
"นี่คือสิ่งที่หลานควรทำอยู่แล้วขอรับท่านปู่" ซูจินหลุนตอบกลับมาทันที
"ตราบใดที่ข้าสามารถช่วยท่านย่าได้ แม้จะต้องเสียสละชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่" เจิ้งสือซงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
มู่อี้ก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีกต่อไปเขาเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนพร้อมกับชาม 2 ใบที่อยู่ในมือของเขาและจากนั้นเขาก็ม้วนแขนเสื้อของตนเองขึ้นมาทันที "ข้าต้องการเลือดจากร่างกายของพวกท่านทั้งสอง แต่ข้าคงไม่กล้าทำร้ายพวกท่านทั้งสองอย่างแน่นอนขอรับ"
เมื่อมู่อี้พูดออกมาแบบนี้ สีหน้าของซูจงซานและซูจุนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สำหรับซูจินหลุนเขาไม่พูดอะไรมากและรับชามจากมือของมู่อี้พร้อมกับเดินออกไปทันที
เจิ้งสือซงจ้องมองมาที่มือของมู่อี้อยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าชามใบนี้มีคราบเลือดติดอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ของปลอม ความคิดต่อต้านในใจของเขาหายไปช้าๆ เมื่อรู้ว่ามู่อี้ไม่ได้จงใจทำให้เขาอายเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที . .
"ท่านนักพรตเต๋า ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เยาว์ข้าย่อมเสียสละได้เสมอ" เจิ้งสือซงก็รับชามอีกใบหนึ่งไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนรับชามไปแล้วซูจงซานก็มองไปที่มู่อี้และถามว่า "ท่านนักพรตเต๋าต้องการอะไรอีกหรือไม่? ชายชราผู้นี้จะได้สั่งคนให้เตรียมการ"
"ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้วขอรับ แต่หากเป็นไปได้ข้าอยากจะให้สมาชิกในตระกูลทุกๆคนอยู่ห่างจากบ้านหลังนี้ให้มากที่สุดในคืนนี้ ทางที่ดีควรเพิ่มคบเพลิงในสวนหลังบ้านด้วยขอรับ นอกจากนี้ข้าจะทำยันต์พิเศษและวางเอาไว้บนเตียงนอนของท่านหญิงชรา แม้ว่าการรักษาครั้งนี้ยังมีโอกาสล้มเหลวแต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของพระเจ้าแล้วขอรับ" มู่อี้พูดออกมาช้าๆหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ท่านนักพรตโปรดมั่นใจได้เลย ข้าจะสั่งให้ทุกๆคนทำตามสิ่งที่ท่านนักพรตบอกมาทั้งหมด" ซูจงซานกล่าวกับมู่อี้ด้วยความเคารพ
"ข้าขอฝากให้ท่านช่วยดูแลท่านแม่ของข้าด้วย" ซูจุนก็พูดออกมาเช่นเดียวกัน
ซูจินหลุนและเจิ้งสือซงต่างก็นำชามที่มีเลือดอยู่ครึ่งหนึ่งกลับมา ใบหน้าของพวกเขาดูซีดเซียวลงไปอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะเจิ้งสือซงที่ร่างกายมีอาการสั่นให้เห็นอย่างชัดเจน และในสายตาของเขาก็มีความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ในการเสียสละเลือดครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเลย
ซูจินหลุนดูเหมือนจะสามารถอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
หลังจากที่ทุกๆคนออกไปทั้งหมดแล้วมู่อี้ก็นำชามที่ใส่เลือดของเจิ้งสือซงเทลงในกระถางดอกไม้ที่อยู่ภายในบ้าน มุมปากของเขาก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเผยให้เห็นความพอใจ
เขาต้องการเลือดจริงๆแต่ไม่ใช่เลือดของเจิ้งสือซง แต่เป็นซูจินหลุนที่เป็นหลานผู้สืบสายเลือดโดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้นมู่อี้ยังรู้มานานแล้วว่าซูจินหลุนเป็นผู้ฝึกยุทธซึ่งทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าร่างกายของคนธรรมดา เขายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์และเต็มไปด้วยพลัง
ต่อจากนั้นมู่อี้ก็เทน้ำหมึกลงไปผสมกับเลือดของซูจินหลุนและตามด้วยชาดที่เตรียมเอาไว้ หลังจากที่ผสมกันจนเสร็จสิ้นสิ่งที่ออกมาคือของเหลวที่มีสีแปลกประหลาด
ตระกูลซูได้เตรียมกระดาษเหลืองอย่างดีไว้ให้เขาแล้ว มันให้ความรู้สึกที่เรียบลื่นแต่ไม่ได้นุ่มมากนัก ผิวสัมผัสคล้ายกับผิวหนังของหญิงสาว ซึ่งดูแล้วมีคุณภาพดีกว่าที่มู่อี้ซื้อมาเองหลายเท่า
พู่กันที่เขาได้รับก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพู่กันที่มีอายุไม่มากนัก เนื้อไม้ด้ามพู่กันยังคงแน่นและมีการแกะสลักลวดลายเล็กน้อย ด้ามพู่กันนี้น่าจะทำมาจากไม้จันทน์สีแดง
แม้ว่านี่จะไม่ใช่พู่กันที่นักปราชญ์ใช้แต่มันก็มีคุณภาพดีกว่าที่เขาต้องการ
ไม้บรรทัดก็ถูกใส่มาในกระบอกใส่พู่กันเช่นเดียวกัน มันมีรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนแต่สามารถพับเก็บได้เหมือนกับมีดพับบนตัวไม้บรรทัดมีลวดลายของภูเขาและแม่น้ำถูกเขียนเอาไว้ มู่อี้จ้องมองด้วยความสนใจตรงมุมของไม้บรรทัดดูเหมือนจะมีลายเซ็นของผู้ที่วาดภาพลงบนไม้บรรทัดอันนี้ ลายเซ็นของเขาคือ กู่
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วมู่อี้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มือของเขาจับพู่กันเอาไว้แน่น เขาจินตนาการถึงความรู้สึกในตอนเช้าและสะบัดพู่กันในมือออกไปเบาๆ
"ฟึบ!"
เสียงของพู่กันกระทบกับกระดาษดังขึ้นมาในห้องที่เงียบสงบแห่งนี้ เสียงนี้ฟังดูแล้วให้ความเพลิดเพลินอย่างแปลกประหลาด ใครที่ได้เห็นในตอนนี้คงไม่คิดว่ามู่อี้จะมีอายุเพียงแค่ 14 ปีอย่างแน่นอน