ตอนที่ 12 เรื่องเล่าของชายชรา
ตอนที่ 12 เรื่องเล่าของชายชรา
"ได้ผลหรอ!"
สำหรับซูจงซานแล้วคำพูดของมู่อี้เป็นเหมือนเสียงจากสวรรค์ แม้แต่ซูหยิงหยิงและหญิงวัยกลางคนผู้งดงามที่อยู่ข้างๆนางก็มีสีหน้าที่ดูประหลาดใจ
"ท่านย่า" ซูหยิงหยิงรีบวิ่งไปที่เตียงนอนพร้อมกับหญิงวัยกลางคนผู้งดงามทันที
ซูจงซานโค้งคำนับมู่อี้อีกครั้งหนึ่ง
"ท่านผู้อาวุโสสุภาพเกินไปแล้วขอรับ" มู่อี้โค้งคำนับชายชรากลับไปแต่ในใจของเขากลับคิดว่า "ข้าได้กระทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้ให้สำเร็จได้ หวังว่าท่านจะตอบแทนข้าอย่างเหมาะสมนะ"
"ท่านนักพรต แล้วเมื่อไหร่ท่านย่าของข้าจะตื่นขึ้นมา?" ซูหยิงหยิงพูดออกมาด้วยความเคารพในตอนนี้ตัวตนของมู่อี้ในใจของนางสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ว่ายังไงมู่อี้ก็ถือว่าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาย่อมรู้สึกดีต่อหญิงสาวผู้งดงามอย่างซูหยิงหยิงอยู่แล้ว
"การรักษาของข้าก่อนหน้านี้เพียงแค่ทำให้วิญญาณร้ายออกไปจากร่างกายของนางเท่านั้นไม่ใช่การรักษาทั้งหมด ร่างกายของท่านหญิงชรายังถือว่าอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอและต้องให้ท่านหมอท่านอื่นๆบำรุงร่างกายของนาง แต่อาการเจ็บป่วยของนางในตอนนี้ก็ถือว่าหายไปครึ่งนึงแล้ว" มู่อี้บอกไปตรงๆ
"ครึ่งหนึ่งงั้นหรือ? เช่นนั้นท่านแนะนำข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าข้าควรทำเช่นไรต่อไปดี" ซูจงซานถามกลับไปตรงๆ เพราะตระกูลซูสามารถหาท่านหมอที่มีชื่อเสียงมารักษาหญิงชราได้อย่างแน่นอน
"วิญญาณชั่วร้ายในร่างกายของท่านหญิงชราเป็นเหมือนคำสาปที่ฝังลึกไปถึงกระดูก หากท่านต้องการให้ท่านหญิงชรากลับมาเป็นปกติท่านก็ต้องสังหารวิญญาณชั่วร้ายตัวนี้ให้สิ้นซากเสียก่อนขอรับ" มู่อี้ตอบกลับมา
"วิญญาณชั่วร้ายอยู่ภายในร่างของนางนั้นหรือ?" สีหน้าของซูจงซานเปลี่ยนไปทันทีราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
มู่อี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่รอเงียบๆเท่านั้น แต่ในใจของเขารู้ดีว่าวิญญาณตัวนี้ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิดซะแล้ว
"ท่านนักพรต โปรดตามข้ามา" ซูจงซานหันไปมองภรรยาของเขาที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งหนึ่งและในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ทันที
มู่อี้เดินตามซูจงซานไปที่อีกห้องหนึ่ง และในตอนนี้ก็มีเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคนที่อยู่ในห้องนี้เท่านั้น
"ท่านนักพรต ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องนี้ เดิมทีข้าไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางหรือวิญญาณอะไรเลย แต่ในวันนี้หากข้าไม่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว ข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟัง" ซูจงซานพูดออกมาช้าๆ
"เมื่อ 18 ปีก่อนมีเด็กสาวคนหนึ่งนามว่า ซูจุนหรู นางได้ถูกยกย่องให้เป็นไข่มุกแห่งวงศ์ตระกูล แต่เมื่อนางเติบโตขึ้นมาก็เริ่มหลงระเริงเพราะการตามใจที่มากจนเกินไปจนเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่ง แต่ไม่ว่ายังไงนางก็ถูกเลือกให้เป็นความหวังของวงศ์ตระกูลพวกเราถึงปล่อยให้นางตายหรือหนีไปไหนไม่ได้ นางถูกขังเอาไว้ในบ้านและรอวันแต่งงานเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่าเด็กสาวผู้นี้ได้หนีไปกับชายที่เป็นคนรักของนาง หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไรส่งกลับมาอีกเลยจนแม่ของนางเองก็เริ่มล้มป่วย"
" 5 ปีต่อมา เด็กสาวคนนั้นกลับมาที่นี่พร้อมกับลูกของนางและขอร้องให้พวกเราช่วยเลี้ยงดูลูกของนาง ในตอนนั้นลูกของนางก็เป็นผู้หญิงและมีอายุประมาณ 3 ขวบแล้ว ลูกของนางเหมือนกับนางในตอนเด็กทุกประการ"
"แม้ว่าปัญหาในใจนั้นยากที่จะลบเลือนให้หายไปได้ แต่อย่างน้อยเด็กหญิงน้อยคนนั้นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเราและถือเป็นเหลนของพวกเรา พวกเราจะทิ้งขว้างไม่ดูแลนางได้เช่นไร แต่ดูเหมือนว่าเด็กน้อยคนนั้นจะป่วยเป็นโรคที่แปลกประหลาดและแม้ว่าพวกเราจะตามหมอที่มีชื่อเสียงมารักษาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยจนกระทั่งในที่สุดเด็กน้อยคนนั้นก็เสียชีวิตไป"
"หลังจากเด็กน้อยคนนั้นได้ตายไป หญิงสาวที่เป็นแม่ของนางก็ใจสลายและสภาพจิตใจของนางก็เริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นไปเรื่อยๆ นางฝังลูกของนางเอาไว้ที่สวนหลังบ้านของนางและพูดคนเดียวอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่านางพูดอะไรอยู่ หลังจากวันนั้นประมาณครึ่งปีดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนั้นจะทนต่อความสูญเสียไม่ได้ นางจึงฆ่าตัวตายและทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ในห้องของนาง"
"หลังจากหญิงสาวได้ตายไป พวกเราก็ได้ปิดตายสวนหลังบ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของนางเอาไว้และสั่งห้ามไม่ให้ทุกๆคนเข้าไปในนั้น เรื่องนี้ผ่านมากว่า 13 ปีแล้วแต่อยู่มาวันหนึ่งจู้จิงก็ได้เข้าไปในสวนหลังบ้านแห่งนี้และนั่งอยู่กลางสวนในตอนบ่าย ตกดึกคืนนั้นจู้จิงฝันร้ายและนางบอกว่านางฝันถึงเหลนที่ตายไปอยู่บ่อยครั้ง และหลังจากวันนั้นร่างกายของนางก็เริ่มย่ำแย่มากขึ้นทุกๆวัน"
"หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาพวกเราจึงได้เชิญหมอที่มีชื่อเสียงมากมายมาทำการรักษาแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลอะไรเลย เราได้เชิญคนมาขับไล่สะกดวิญญาณด้วยเหมือนกัน มีทั้งนักบวช และพระสงฆ์ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้และหลังจากกลับไปจากที่นี่พวกเขาต่างก็โดนวิญญาณรบกวนจนไม่สามารถนอนหลับได้ จนถึงวันนี้แม้ว่าจะเดินสวนกันบนถนนพวกเขาก็ยังไม่กล้าสบตากับพวกเราเลยด้วยซ้ำ"
ซูจงซานพูดทุกอย่างออกมาทั้งหมดสีหน้าของเขายากที่จะปิดบังความเจ็บปวดในใจเอาไว้ได้ เขารู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มาตลอด 18 ปีและไม่อาจยกโทษให้กับตัวเองได้
ดังนั้นเมื่อบอกว่ามู่อี้สามารถขับไล่สะกดวิญญาณออกไปได้ เขาย่อมรู้สึกยินดีเป็นธรรมดา
ปัญหาเรื่องนี้มู่อี้ไม่อาจตัดสินได้ว่าใครผิดหรือใครถูกแต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาต้องกำจัดวิญญาณร้ายตนนี้ออกไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วหญิงชราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง และครั้งหน้าเขาก็กลัวว่าตนเองจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรหญิงชราได้อีกแล้ว
"ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสวางแผนอะไรไว้อยู่บ้างขอรับ?" มู่อี้ถามกลับไปตรงๆ
"ท่านนักพรต ถือว่านี่เป็นการร้องขอจากชายชราคนนี้ก็แล้วกัน" ซูจงซานมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่ดูอับอาย
"โปรดพูดมาได้เลยขอรับ" มู่อี้มองไปที่เขาเช่นเดียวกัน
"ถ้าหากวิญญาณร้ายตัวนี้ยอมจำนน ข้าขอให้ท่านนักพรตไม่ต้องฆ่ามันได้หรือไม่? ถ้าหากท่านสามารถส่งนางกลับไปเกิดใหม่ได้ย่อมประเสริฐที่สุด" ซูจงซานตอบกลับมาไม่ว่าวิญญาณร้ายตัวนี้จะเคยทำอะไรไว้บ้างแต่นางก็เป็นหลานสาวของเขา แม้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะจงใจฆ่าตัวตายแต่ซูจงซานก็ไม่อยากให้นางต้องมีความผิดบาปมากขึ้นไปอีก
มู่อี้ทำสมาธิอีกครั้งก่อนที่จะตอบกลับมาว่า "นั่นก็จริง ตามที่ท่านผู้อาวุโสบอกมาวิญญาณร้ายตนนี้ก็ไม่ได้สร้างความชั่วร้ายอะไรมากนัก แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถกำจัดนางได้หรือไม่ สำหรับเรื่องการส่งนางกลับไปเกิดข้าไม่ขอรับปากนะขอรับ พวกเราออกไปกันเถอะ"
"นี่มัน ..." ซูจงซานไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดีเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมู่อี้
"ตอนนี้มีทางเดียวคือต้องลองดูแล้ว ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ข้าเชื่อว่าวิญญาณร้ายจะต้องอยู่ที่สวนหลังบ้านในคืนนี้อย่างแน่นอน" มู่อี้ตอบกลับมา เขามียันต์เพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้นนั่นคือยันต์สะกดวิญญาณและยันต์ปราบปีศาจ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้น่าจะไม่กระทบกับชีวิตของเขาและเขาเองก็อยากจะเห็นว่าวิญญาณหน้าตาเป็นยังไง
ในอดีตตอนที่เขาเดินทางกับท่านปู่นั้น ถ้าหากต้องเจอกับการสะกดวิญญาณจริงๆมู่อี้จะอยู่ข้างนอกและท่านปู่ของเขาจะเป็นผู้ที่เผชิญหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ในตอนนี้มู่อี้ต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง
"ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือล้มเหลว ข้าก็ต้องขอบคุณท่านนักพรต และพวกเราจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน" ซูจงซานตอบกลับมาทันที
"แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูจะเลวร้ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้และข้าเหลือเพียงยันต์ปราบปีศาจเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้น สำหรับคืนนี้ข้ายังต้องเตรียมการอีกมาก จึงอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่ขอรับ" มู่อี้หันกลับมาพูดทันที
"ได้สิ ท่านนักพรตต้องการสิ่งใดบ้างโปรดบอกมาได้เลย" ซูจงซานตอบกลับมาตรงๆ
"กระดาษสีเหลืองอย่างดีหลายๆแผ่น ชาดที่ดีที่สุด พู่กันที่พวกบัณฑิตหรือนักปราชญ์ใช้ ถ้าหากว่าท่านมีไม้บรรทัดข้าก็ขอด้วย (ไม้บรรทัดในสมัยโบราณนั้นทำมาจากแท่งไม้ แท่งหยก หรืออาจจะเป็นแท่งโลหะ มีความกว้างและความยาวใกล้เคียงกับไม้บรรทัดในปัจจุบัน แต่มีความหนามากกว่า ใช้ในการขีดเส้น ตีตาราง สำหรับเขียนอักษร หรืออาจใช้ประกอบพิธีกรรมอื่นๆ บนไม้บรรทัดมักมีการเกะสลักลวดลายที่งดงามเอาไว้) ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ตระกูลซูของท่านได้เข้าไปในภูเขาและได้รับหนังพังพอนสีเหลืองมาใช่หรือไม่? หางของสัตว์ตัวนั้นยังคงอยู่อีกหรือไม่ข้าต้องการใช้มันเป็นพู่กัน และกระบี่ที่เคยใช้ในสนามรบมันต้องเคยดื่มเลือดมนุษย์มาก่อน สุดท้ายคือโสมร้อยปีที่ท่านหญิงชราใช้ก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าแจ้งไปโปรดจัดเตรียมให้ด้วยขอรับ"
มู่อี้รีบพูดสิ่งที่เขาต้องการออกมาทันที เขาย่อมไม่พลาดโอกาสดีๆที่จะฉกฉวยสิ่งต่างๆดังเช่นตอนนี้ แน่นอนว่านี่ไม่ถือเป็นการฉ้อฉลหลอกลวงแต่อย่างใด