ตอนที่ 10 เยือนบ้านตระกูลซู
ตอนที่ 10 เยือนบ้านตระกูลซู
เมืองฟุเนียวนั้นตั้งชื่อตามภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง แม้ว่าเมืองทั้งเมืองจะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็เป็นสถานที่ที่งดงามและมีความโดดเด่นอย่างมาก
ตลอดร้อยปีที่ผ่านมานั้นที่นี่มีประชากรเพียงหลักร้อยแต่ก็ยังสามารถผลิตขุนนางขึ้นมาได้ถึง 2 คน
ตระกูลซูเป็นตระกูลนักปราชญ์และ 1 ใน 2 ผู้ที่ได้เป็นขุนนางนั้นก็มาจากตระกูลซู แม้ว่าเขาจะล่วงลับไปแล้วหลายปีแต่ชื่อเสียงและเกียรติยศก็เพียงพอที่จะปกป้องตระกูลซูมากว่าสองหรือสามชั่วอายุคน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบรรยากาศภายในตระกูลซูไม่ค่อยสู้ดีนัก สาเหตุหลักคือหญิงชราในตระกูลซูป่วยด้วยโรคแปลกประหลาด
หมอชื่อดังทุกๆคนที่อยู่ในเมืองใกล้เคียงต่างถูกเรียกตัวมาเพื่อตรวจดูอาการและรักษาหญิงชรา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนกระทั่งมีคนบอกว่าหญิงชราอาจถูกสิ่งชั่วร้ายเข้าครอบงำ ทำให้ตระกูลซูเชิญนักบวชนิกายต่างๆและนักพรตลัทธิเต๋ามาปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ในตอนที่เข้ามาพวกเขาต่างก็ตรวจดูอาการของหญิงชราด้วยความมั่นใจและคิดว่าสามารถรักษาหญิงชราได้ แต่หลังจากนั้นทุกๆคนก็หมดสิ้นความหวังที่จะรักษาหญิงชราและจากไปทันทีในวันรุ่งขึ้น
ซูจินหลุนเป็นหลานชายคนโตของตระกูลซู เดิมทีเขาศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่เมืองฟูเฉิงแต่ต้องกลับมาอย่างกระทันหันเพราะอาการป่วยของหญิงชรา สำหรับเจิ้งสือซงเขาเป็นลูกชายของป้าซูจินหลุนและมีศักดิ์เป็นหลานชายของหญิงชราด้วยเช่นกัน
มันเป็นเรื่องบังเอิญที่มู่อี้ได้พบกับพวกเขาเมื่อสามวันก่อน จุดประสงค์หลักของพวกเขาในการขึ้นภูเขาคือเพื่อตามล่าพังพอนตัวสีเหลืองเพื่อนำมาปรุงยา
จริงๆแล้วทั้งซูจินหลุนและเจิ้งสือซงไม่เชื่อว่ามู่อี้จะสามารถรักษาหญิงชราได้ ไม่มีใครเชื่อว่านักพรตเต๋าที่ยังอายุน้อยจะมีความสามารถและทักษะต่างๆที่แกร่งกล้า แม้ว่าซูหยิงหยิงเป็นผู้หญิงแต่นางก็ฉลาดและมีจิตใจที่ดีงามมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เหตุผลที่ทำให้นางสนใจในตัวมู่อี้เป็นเพราะท่าทางที่ดูสงบเยือกเย็นทั้งๆที่อายุยังน้อย
ในที่สุดมูอี้ก็มาถึงหมู่บ้าน เขาสอบถามชาวบ้านว่าบ้านตระกูลซูนั้นไปทางไหนและได้รับคำตอบที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่มู่อี้กำลังเดินทางไปที่บ้านตระกูลซูเขาก็พบกับงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวคู่หนึ่ง แต่สิ่งที่แปลกก็คือฝ่ายหญิงไม่ได้แต่งเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านฝ่ายชาย แต่ฝ่ายชายที่เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านฝ่ายหญิงแทน (หมายเหตุ: ในครอบครัวชาวจีนเมื่อแต่งงานกันฝ่ายหญิงมักจะอยู่บ้านฝ่ายชายเสมอ)
สิ่งที่มู่อี้เห็นก็คือผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเกี้ยวและถูกพาเข้าไปในบ้านของฝ่ายหญิง
มู่อี้ไม่ได้สนใจความแปลกใหม่นี้ แต่สิ่งที่ทำให้มู่อี้อยากรู้อยากเห็นก็คือเมื่อเกี้ยวเคลื่อนที่ผ่านเขาไป เขารู้สึกถึงพลังพิเศษที่อยู่ภายในนั้น แต่ก่อนที่เขาจะตอบสนองได้ทันท่วงทีเกี้ยวก็หายไปแล้ว
มู่อี้ทำได้เพียงส่ายหัวและคิดว่าเขามีความรู้สึกที่ไวจนเกินไป
เมื่อเขาเดินทางมาถึงบ้านตระกูลซูและได้รายงานออกไปว่าซูหยิงหยิงนัดหมายให้มาพบในวันนี้ ยามทั้งสองคนจ้องมองเขาด้วยความเหยียดหยาม แต่มู่อี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาคิดไว้แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้น
คนแรกที่ออกมาต้อนรับเขาไม่ใช่ซูหยิงหยิง แต่กลับเป็นเจิ้งสือซงที่ยืนวางท่าอยู่บริเวณหน้าประตูและมองลงมาที่มู่อี้
"นักพรตเต๋าที่น่ารังเกียจ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้ามาเหยียบที่นี่ แม้ว่าเจ้าจะหลอกซูหยิงหยิงได้แต่เจ้าหลอกลวงข้าไม่ได้หรอก"
"ที่ข้ามาที่นี่เพราะความเชื่อมั่นของผู้ที่ศรัทธา ส่วนข้าจะเป็นนักต้มตุ๋นหรือไม่ท่านผู้อาวุโสเจิ้งจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เอง" มู่อี้ตอบอย่างแผ่วเบา เมื่อมู่อี้ได้ก้าวผ่านประตูแห่งการฝึกฝนขั้นแรกจิตใจของเขาก็สงบเยือกเย็นมากขึ้น
"นี่เจ้า ไม่มีใครกล้าพูดถึงท่านพ่อของข้าแบบนี้มาก่อน วันพรุ่งนี้เจ้าจะต้องถูกขับไล่ออกจากบ้านตระกูลซูอย่างแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะตอบแทนเจ้าอย่างสาสม" เจิ้งสือซงมีสีหน้าที่โกรธแค้นและสายตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เมื่อได้ยินสิ่งที่เจิ้งสือซงพูดมู่อี้ก็เกือบจะทนไม่ไหวและรู้สึกอยากจะใช้ยันต์ปราบปีศาจเพื่อฆ่าเขาจากนั้นก็หนีไปจากที่นี่
แต่มู่อี้ไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น ตราบใดที่เขาสามารถสะกดดวงวิญญาณได้สำเร็จก็จะกลายเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลซูทันทีและเจิ้งสือซงก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีก
ตอนที่เขาถามเส้นทางจากชาวบ้านก็ได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลซูมาบ้าง เขานึกถึงการสะกดดวงวิญญาณที่ตนเองเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและรู้มั่นใจอย่างมาก
"ท่านพี่ ข้าเชิญนักพรตเต๋ามาที่นี่เพื่อรักษาท่านย่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาท่านคิดว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตระกูลซูของพวกเรากัน?" ซูหยิงหยิงเดินออกมาจากข้างในบ้านและพูดกับลูกพี่ลูกน้องของนางด้วยท่าทีที่เยือกเย็น
ตอนนี้นางอยู่ในบ้านตระกูลซูจึงสวมใส่เสื้อผ้าของผู้หญิง นางสวมชุดเดรสสีฟ้าครามยาวลากพื้นเผยให้เห็นเอวคอดบางที่คาดเอาไว้ด้วยเข็มขัดลูกไม้ ทรงคิ้วที่สวยงามและดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากแดงและฟันขาว ใบหน้าเนียนใสไม่มีสิวฝ้า ผมสลวยดำเงางามถูกประดับด้วยปิ่นปักผมสีเขียวเหมาะสมสำหรับใบหน้ารูปไข่ของนาง นางดูงดงามและมีเสน่ห์อย่างยิ่งในตอนนี้
แม้ว่ามู่อี้จะมาที่นี่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการสะกดดวงวิญญาณ แต่เมื่อเห็นความงดงามของซูหยิงหยิงเขาก็รู้สึกตกตะลึงในใจทันทีและแม้แต่แววตาของเจิ้งสือซงที่ยืนอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้ก็ไม่อาจเก็บซ่อนความต้องการของตนเองเอาไว้ได้
ซูหยิงหยิงจับชายกระโปรงยาวของนางด้วยมือทั้งสองเพื่อคำนับเล็กน้อย แม้ว่านางจะมีอายุมากกว่ามู่อี้นางก็ยังให้ความเคารพนับถือ นอกจากนี้นางไม่อยากให้มู่อี้รู้สึกอึดอัดมากเกินไป
เหตุผลที่นางนัดเวลากับมู่อี้เป็นเวลาสามวันให้หลังก็เพราะถ้าหญิงชราอาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาก่อนหน้านี้ก็สามารถให้มู่อี้ลองรักษาต่อ แต่ถ้าอาการของนางดีขึ้นการที่เรียกมู่อี้มาก็เท่ากับเรียกเขามาเป็นตัวสำรอง
มู่อี้ได้คาดเดาความคิดของนางอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจเพราะนี่เป็นความหวังเดียวในการหาเงินของเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องหางานอย่างอื่นทำ
"เอาล่ะ ใช้ความสามารถที่มีของเจ้าช่วยพวกเราซะ” เจิ้งสือซงพูดในขณะที่ยิ้มราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
"ขอบคุณท่านซูหยิงหยิง" มู่อี้เพิกเฉยต่อคำพูดของเจิ้งสือซง เขาไม่ได้ไร้เดียงสาและรู้ดีว่าที่เขาพูดเช่นนั้นเป็นเพราะต้องการเอาใจซูหยิงหยิง
จากนั้นซูหยิงหยิงก็นำทางมู่อี้เข้าไปในบ้าน บ้านตระกูลซูมีขนาดใหญ่มากและมีประตูเข้าออกถึงสามทาง คนรับใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างดูรีบร้อนและเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดคงเป็นเพราะอาการป่วยของหญิงชรา
ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังห้องโถง ใบหน้าของเขาช่างน่าเกรงขามและมีชาย 2 คนยืนอยู่ข้างเขา คนที่อายุน้อยกว่าคือซูจินหลุนและคนที่ดูมีอายุมากกว่าน่าจะเป็นพ่อของเขา
หลังจากมู่อี้ติดตามซูหยิงหยิงเข้าไปในบ้านดวงตาของคนหลายคนก็จับจ้องมาที่เขา
"เสี่ยวหยิง นี่คือนักพรตเต๋าที่เจ้าเชิญมางั้นหรือ?" ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆถามออกมาทันทีโดยไม่รอให้ชายชราพูด เมื่อมองดวงตาของเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ไว้ใจมู่อี้ เป็นเพราะมู่อี้ดูเด็กเกินไป
"ท่านพ่อ!"
ซูหยิงหยิงมองชายวัยกลางคนและไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
"เอาล่ะ เสี่ยวหยิง เจ้าพานักพรตเต๋าท่านนี้ไปดูอาการของท่านย่าเถอะ" ผู้นำตระกูลซูไม่เปิดโอกาสให้ชายวัยกลางคนพูดต่อและตัดสินใจในทันที
"ค่ะ ท่านปู่" ซูหยิงหยิงตอบชายชรา จากนั้นนางก็ยิ้มขอโทษมู่อี้และพาเขาไปยังห้องนอนของหญิงชราที่อยู่ห้องถัดไป
หญิงชราที่มีผมขาวนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน ใบหน้าของนางเป็นสีดำคล้ำ ร่างกายซูบผอม และดูเหมือนว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงที่มีใบหน้าอันงดงามและมีอายุประมาณ 30 ปียืนอยู่ข้างเตียง นางมีนามว่าเหมยหยู่เจียนซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับซูหยิงหยิงอย่างมาก
"ท่านแม่ ท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง?" ซูหยิงหยิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ก็เหมือนเดิมแหละลูก" หญิงสาวที่สง่างามเหลือบมองมู่อี้และพูดอย่างเศร้าใจ
มู่อี้เดินไปที่เตียงเพื่อดูอาการหญิงชรา
อาจเป็นเพราะจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่มู่อี้เข้ามาใกล้ร่างของหญิงชรา เขาก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่หนาวเหน็บและยิ่งเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไรความเย็นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น สีดำบนใบหน้าของหญิงชราเป็นเหมือนหนอนสีดำคืบคลานไปมาอย่างน่าสยดสยองในดวงตาของมู่อี้ในเวลานี้
เมื่อเห็นเช่นนี้มู่อี้ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ