ตอนที่ 1: ท่องโลกกว้างและเติบโต
ตอนที่ 1 ท่องโลกกว้างและเติบโต
ในยุคที่วิกฤตที่สุดของมนุษย์มีเพียงคนที่ร่ำรวยเท่านั้นที่จะหาที่พื้นดินฝังศพให้กับตัวเองได้ ในขณะที่ศพของเหล่าคนธรรมดาจะต้องถูกทิ้งไว้ตามทาง
ในตอนนั้นเองมู่อี้กำลังนอนอยู่หน้าสุสานนิรนามแห่งหนึ่ง เขาถูกนักพรตเต๋าชราคนหนึ่งที่เดินผ่านมาเก็บไปเลี้ยง
นักพรตเฒ่าตั้งชื่อนี้ให้กับเขาเพราะว่าสุสานที่เขานอนอยู่นั้นเป็นสุสานของตระกูลมู่ และชื่อ อี้ ก็เป็นชื่อที่หลายๆคนใช้กันอย่างแพร่หลาย
ในปีคศ.1894 ราชวงศ์ชิงได้ล่มสลายไป และในปีนี้มู่อี้มีอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น
……………..
"ท่านปู่ ท่านอย่าห่วงเลยนะขอรับ ข้าจะทำตามความปรารถนาของท่านและแต่งงานในอนาคต"
มู่อี้กำลังเศร้าโศกเสียใจเพราะการจากไปของท่านปู่ แต่เขาปล่อยให้เวลาแห่งความเศร้าโศกเสียใจอยู่กับเขาในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นหลังจากเวลาผ่านไป 2 วันเขาก็ไม่มีน้ำตาให้เห็นอีกต่อไป ชีวิตของเขาต้องเดินหน้าต่อ มู่อี้และนักพรตเต๋าใช้เวลาร่วมกัน 8 ปีในการเดินทางไปด้วยกันทุกๆที่ในโลกใบนี้จนกระทั่งชายชราเสียชีวิตไป 8 ปีที่ผ่านมาเขาได้รับประสบการณ์มากมายจนไม่อาจอธิบายได้เลย
ในช่วง 8 ปีที่พวกเขาใช้เวลาร่วมกันทั้งสองคนต่างก็อาศัยการต้มตุ๋นหลอกลวงคนมากมายเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ในตอนแรกมู่อี้เชื่อว่านักพรตเฒ่ามีพลังเหนือธรรมชาติจริงๆ มู่อี้เชื่อว่าท่านปู่ของตนเองมีพลังในการเยียวยารักษา พลังแห่งการพยากรณ์ ต่อสู้กับภูตผี รวมถึงการขับไล่ปีศาจที่ชั่วร้าย เขาเชื่อว่านักพรตเฒ่าสามารถทำได้จริงๆแต่แท้ที่จริงแล้วนะนักพรตเฒ่าทำไปเพื่อต้มตุ๋นหลอกลวงคนอื่นๆเท่านั้น
มู่อี้และนักพรตเฒ่าต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ ถูกทุบตีมาก็นับไม่ถ้วน แต่มู่อี้ก็ไม่เคยบ่นเพราะถ้าไม่มีนักพรตเฒ่าเขาคงจะต้องอยู่อย่างหิวโหยและตายจากไปนานแล้ว ต้องขอบคุณนักพรตเฒ่าที่ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดในโลกที่โหดร้ายแห่งนี้ได้
หลังจากที่เสี่ยงชีวิตต่อสู้เป็นตายกับศัตรู นักพรตเฒ่าเคยบอกกับเขาตอนบาดเจ็บว่า ชีวิตของตนเองนั้นได้รับขวัญจากสวรรค์และสามารถมีชีวิตนานเท่าไหร่ก็ได้ตราบที่ต้องการ
สำหรับมู่อี้แล้วนี่ก็เป็นเพียงเรื่องขี้โม้อีกเรื่องหนึ่งที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาเท่านั้น ครั้งแรกที่ได้ฟังมู่อี้รู้สึกตื่นเต้นและเชื่อสนิทใจ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาก็คิดได้ว่านั่นเป็นคงแค่เรื่องโกหกอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
6 เดือนสุดท้ายที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน นักพรตเฒ่ารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเขากำลังจะตาย ร่างกายของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวตามที่ต้องการได้อีกแล้ว มู่อี้ขอร้องให้เขาหยุดการเดินทางต่อและซื้อที่ดินเพื่อเป็นสุสานให้กับชายชรา แต่นักพรตเฒ่าพูดอยู่เสมอว่าชีวิตของเขาทั้งหมดขออุทิศไปกับการเดินทางและเขาเองก็อยากจะตายในระหว่างการเดินทาง ในตอนนั้นมู่อี้ไม่เข้าใจความรู้สึกของนักพรตเฒ่าเลย
นักพรตเฒ่าบอกว่าชีวิตของเขาข้ามแม่น้ำและทะเลสาบมาตลอดชีวิตถ้าจะตายก็ขอตายในแม่น้ำและทะเลสาบแห่งนี้ มู่อี้ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่านักพรตเฒ่ากำลังพูดถึงอะไร
บนภูเขาฟูเนียว วัดร้างบนภูเขาแห่งนี้คือตำแหน่งสุดท้ายที่ทั้งสองคนจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน
วัดแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี มู่อี้ทำความสะอาดบริเวณวัดเพื่อจะอาศัยที่นี่เป็นที่หลับพักผ่อน ชีวิตของเขาและนักพรตเฒ่าต้องเดินทางอยู่ตลอด พวกเขาไม่เคยผูกมัดกับสถานที่ใดและไม่เคยเรียกที่ไหนว่าบ้านได้เลยแม้แต่ที่เดียว ในช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของชายชราเขาคงอยากที่จะตั้งหลักปักฐานให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้านของเขา
เมื่อมาถึงวัดร้างแห่งนี้ ชายชราได้สิ้นใจลงที่นี่ เขาจึงพยายามทำให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้านของตนเองเพราะไม่อยากให้ศพของชายชราต้องถูกฝังเอาไว้ในป่า
หลังจากที่นักพรตเฒ่าตายไป มู่อี้ยังคงทำตามขนบธรรมเนียม เขาไว้ทุกข์นักพรตเฒ่าเป็นเวลา 3 วัน ก่อนที่จะฝังศพของชายชราที่เขานับถือเสมือนปู่ของตนเองในทุ่งหญ้าด้านหลังวัดร้างแห่งนี้
ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี มู่อี้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมาจากนักพรตเฒ่า เรื่องหนึ่งที่เขาถือว่ามีพรสวรรค์ในการเรียนรู้นั่นคือเรื่อง ฮวงจุ้ย
มู่อี้วางร่างของชายชราเอาไว้ในโลงศพที่ทำมาจากต้นหลิวแดง ฝังศพไว้ในจุดที่ฮวงจุ้ยดีที่สุด เผื่อว่าชาติหน้าที่ชายชรากลับมาเกิดอีกครั้งจะได้เกิดมามีชีวิตที่ดีขึ้น
ในปีนี้มู่อี้มีอายุเพียง 14 ขวบเท่านั้น เขาทั้งเป็นเด็กที่ไม่สูงเท่าไรนักและค่อนข้างเตี้ยเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงมากนักและหน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลา คนทั่วไปคงมองเขาว่าเป็นคนที่มีบุคลิกสะอาดสะอ้านคนหนึ่งและมีสายตาที่ดูบริสุทธิ์
ทุกครั้งที่มู่อี้พูดออกมาคนฟังจะรู้สึกได้ว่าเขาไร้เดียงสา นี่คือสิ่งที่ๆมีประโยชน์ต่อเขามากยามที่เขาต้องเดินทางเข้าไปในที่ใหม่ๆ เจอกับผู้คนใหม่ๆ เพราะจะทำให้คนอื่นๆรู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนและเป็นคนดีคนหนึ่ง
ในวันที่เขาต้องฝังศพของนักพรตเฒ่า วันนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรอีกเลย เขานั่งมองหลุมศพของนักพรตเฒ่าทั้งวันจนกระทั่งแสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ร่วงหล่นลงมาบนร่างกายของเขาแต่จิตใจเขากลับไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป มู่อี้ก็เตรียมอาหารง่ายๆสำหรับตนเองก่อนจะพักผ่อนในห้องของเขา
ห้องของเขามีเพียงโต๊ะธรรมดาที่ชำรุดผุพังจนขาโต๊ะหายไปข้างหนึ่ง บนโต๊ะมีเพียงตะเกียงน้ำมันธรรมดาๆที่มีดวงไฟสีส้มส่องสว่างมาจากข้างใน แม้ว่าดวงไฟนั้นจะเล็กมากแต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้มู่อี้มองเห็นทางเดินไปสู่เตียงของเขาได้ สิ่งที่เรียกว่าเตียงของเขานั้นเป็นแค่แผ่นประตูที่ทำจากไม้แผ่นที่คลุมด้วยเศษผ้าหลายๆชิ้น
โต๊ะและเตียงเป็นของที่เขาหาได้จากวัดร้างแห่งนี้ ส่วนตะเกียงน้ำมันนั้นเป็นเหมือนกับ "สมบัติ" ที่นักพรตเฒ่าทิ้งไว้ให้กับเขาก่อนจะจากไป ส่วนเศษผ้าที่ใช้ปูเตียงนั้นเขาใช้เงินซื้อมาจากตลาดในเมืองด้านล่างภูเขา ในตอนนี้เขาได้เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นบ้านของเขาชั่วคราว
มู่อี้ล้มตัวนอนบนเตียงแต่กลับนอนไม่หลับเหมือนปกติ คงไม่ใช่เพราะเขาคิดถึงนักพรตเฒ่าที่เปรียบเสมือนเป็นท่านปู่ของเขา เขาแค่กำลังรู้สึกเหงาอย่างที่ไม่เคยเหงาขนาดนี้มาก่อน
เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเอง เขามีอายุ 6 ขวบตอนที่ชายชรารับเขามาเลี้ยงดูแต่ความทรงจำก่อนหน้านั้นเขาจำอะไรไม่ได้เลย มีเพียงจี้หยกที่ติดตัวเขามาตั้งแต่แรกเท่านั้น
เขาไม่เคยคิดที่จะตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเอง นอกเหนือจากความผูกพันธ์ทางสายเลือดแล้วเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงเลย ถ้าได้เจอกันแล้วเขาจะคุกเข่ากับพื้นและร้องไห้ออกมาหรือเปล่าคงไม่ใช่แน่นอน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกผูกพันธ์ด้วยความรักนั่นก็คือนักพรตเฒ่าที่เพิ่งจะจากเขาไปเมื่อไม่นานนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเหงาขึ้นมาในตอนนี้
มู่อี้คิดถึงความทรงจำที่ผ่านมามากมายและนึกถึง 2 วันสุดท้ายที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับนักพรตเฒ่า ชายชราได้เล่าเรื่องมากมายให้เขาฟังแม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะดูเป็นเรื่องโกหกและไร้เหตุผลก็ตาม
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรเลยแต่เรื่องความจำเขาถือว่าดีกว่าคนอื่นๆอยู่บ้างเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ อย่างน้อยที่สุดคำพูดของชายชราใน 2 วันสุดท้ายนั้นก็ตราตรึงอยู่ในใจของเขาและไม่มีทางลืมมันไปได้แน่นอน
นักพรตเฒ่าเคยบอกกับเขาไว้ว่าในอดีตเหล่าเทพเจ้าเคยมีตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้ มีทั้งเทพเจ้าและหวงเฉียนที่เป็นผู้ดูแลโลกหลังความตายซึ่งทำให้มนุษย์สามารถบ่มเพาะ "พลังปราณ" ในร่างกายได้ หลังจากการสถาปนาราชวงศ์ฉินพลังแห่งสวรรค์บนโลกใบนี้ก็เริ่มเหือดแห้งหายไป จนกระทั่งสิ้นสุดราชวงศ์หมิงและเริ่มต้นสถาปนาราชวงศ์ฮั่น เป็นช่วงที่พลังแห่งสวรรค์หายไปจนเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นการบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์ก็กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากไปทันที
แต่นอกเหนือจากการบ่มเพาะพลังปราณจากพลังแห่งสวรรค์แล้วยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณแห่งเทพเจ้า ซึ่งเส้นทางนี้ไม่ต้องใช้พลังแห่งสวรรค์ที่หลงเหลืออยู่ในโลกมนุษย์ แต่เป็นการค้นหาความลับในร่างกายมนุษย์และเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนจิตวิญญาณเป็นหลัก
แต่การฝึกฝนจิตวิญญาณแห่งเทพเจ้านั้นมีอุปสรรคใหญ่ๆ 4 ข้อ หนึ่งคือยากที่จะสัมผัสได้ สองคือยากที่จะรับรู้ได้ สามคือยากที่จะออกจากเส้นทางนี้ได้ และสี่คือยากที่จะสัมผัสถึงเทพเจ้าได้
ความยากทั้ง 4 ข้อนั้นมีอันตรายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะการสัมผัสถึงเทพเจ้าที่เป็นเพียงเรื่องราวในตำนานเท่านั้น นักพรตเฒ่าเคยบอกว่าในตอนที่ยังเป็นเด็กเขาสามารถฝึกฝนจนไปถึงขั้นที่ 6 ได้แต่เมื่อกำลังจะเข้าสู่ขั้นที่ 7 เขากลับล้มเหลวไม่สามารถไปต่อได้
มู่อี้ไม่เชื่อเขาแม้แต่คำเดียวแต่นักพรตเฒ่าอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด ชายชรายังบอกอีกว่าตะเกียงน้ำมันนี้เป็นสมบัติที่ดีที่สุดสำหรับเขาและมันจะมีประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอน
"หรือว่าจะต้องลองฝึกฝนดูกันนะ" มู่อี้คิดในใจ
แต่เขาก็ไม่ได้ลองฝึกฝนในทันที ในตอนนี้เขามีอายุเพียง 14 ปี ตลอดระยะเวลา 8 ปีผ่านมาชายชราได้สอนเขามาตลอดในเรื่องของความรอบคอบ และในตอนนี้เองจิตใจของเขาเองก็ยังไม่มั่นคงเกินกว่าที่จะฝึกจิตได้
ชายชราเคยสอนเขาไว้อีกว่าหนทางแห่งการฝึกจิตล้วนมีแต่ความอันตรายและเมื่อมันเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอาจทำให้ชีวิตต้องพบกับจุดจบ
ช่วงเวลากลางคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันถัดมาหลังจากที่ได้ฝังศพของชายชราไปแล้ว มู่อี้ก็ลงมาจากเขาเพื่อซื้อขวาน เลื่อย และตะปู เขารู้ดีว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็วและฤดูหนาวจะมาเข้ามาแทนที่เขาจึงเตรียมตัวไว้ก่อน ในภูเขาฟูเนียวแห่งนี้มีต้นไม้ตามธรรมชาติอยู่มากมาย แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้สูงหรือแข็งแรงมากนักแต่เขาก็สามารถตัดต้นไม้ได้แน่นอน
3 วันต่อมาวัดร้างบนภูเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเหมือนใหม่แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องลมหนาวที่พัดเข้ามาและหิมะที่ตกหนักในฤดูหนาวอีกต่อไปแล้ว
ห้องนอนของมู่อี้อยู่ในทิศตะวันตกของวัดร้างแห่งนี้ซึ่งเชื่อมต่อกับห้องโถงใหญ่ของวัดร้าง ห้องโถงใหญ่เป็นห้องที่เขาใช้เก็บโต๊ะ ม้านั่ง และเตียงที่เขาใช้ไม้ที่ตัดสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง มู่อี้ใช้เศษไม้ที่เหลือจากการสร้างของพวกนี้เป็นฟืนเพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว
เขาทำความสะอาดห้องโถงใหญ่ของวัดร้างแห่งนี้ เพื่อกำจัดสัตว์มีพิษอย่างเช่นพวกงูและแมงมุมให้ออกไปจากที่นี่
สิ่งเดียวที่มู่อี้ไม่เคยแตะต้องเลยนั่นก็คือรูปปั้นของเทพเจ้าที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง เขาซื้อธูปเทียนมาเพื่อแสดงเคารพต่อรูปปั้นของเทพเจ้า และนี่ยังเป็นหนึ่งเหตุผลที่เขาเลือกอาศัยอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันตก
หากว่าโลกใบนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงๆ การที่เขาทำอะไรเพื่อลบหลู่เทพเจ้าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอนและเขาก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยเช่นกัน
ในตอนที่เขายังเดินทางไปยังที่ต่างๆกับนักพรตเฒ่า พวกเขาไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ พวกเขาระมัดระวังและให้ความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ
วันนี้เป็นวันที่ 4 หลังจากฝังศพชายชราครบ 7 วันสำหรับไว้ทุกข์
มู่อี้ไปที่หลุมฝังศพของนักพรตเฒ่าและเผาเงินกระดาษเพื่อบูชาจิตวิญญาณของชายชรา เขาดื่มสุราหน้าหลุมศพ สุราคือสิ่งที่นักพรตเฒ่าชื่นชอบเป็นอย่างมากแต่เขาไม่เคยอนุญาตให้มู่อี้ลิ้มลองมันเลย มู่อี้จำรสชาติของสุราได้ดีในครั้งแรกที่เขาดื่มมัน เขาต้องแอบดื่มเพื่อไม่ให้ท่านปู่จับได้ แต่สุดท้ายแล้วท่านปู่ก็จับได้อยู่ดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชายชราก็ไม่ได้ห้ามเขาดื่มสุราอีกเลย และตัวมู่อี้เองนั้นก็ไม่ได้สนใจการดื่มสุราอีกเลยเช่นกัน
นี่คงเป็นการดื่มสุราครั้งที่ 2 ในชีวิตของเขาและมันยังเป็นการเมาสุราครั้งที่ 2 ของเขาด้วยเช่นกัน เขาคลานกลับไปที่เตียงอย่างรวดเร็วและนอนหลับลงในที่สุด
กลางดึกคืนนั้นเองมู่อี้ได้ยินเสียงดังกึกก้องมาจากห้องโถงใหญ่ของวัดร้างแห่งนี้ ในตอนที่เสียงดังขึ้น เขาลุกจากเตียงทันที
หลังจากที่ลุกขึ้นยืนมู่อี้ก็รีบรวบรวมสติ
เขากำลังคิดในใจว่า "มีใครบางคนเข้ามาที่นี่"
นี่คือความคิดแรกของมู่อี้ แต่กลางดึกแบบนี้อีกทั้งที่นี่ยังเป็นวัดร้างที่อยู่บนภูเขา ใครกันที่ย่างกรายเข้ามาที่แห่งนี้?