บทที่ 93 นายไปแล้วหรอกหรือ
ณ หนิงไห่
หนิงชิงเชวี่ยผู้กระวนกระวายร้อนใจนั่งไม่ติดที่...ในที่สุด 2-3 วันมานี้ก็สงบใจลงได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นข่าวสดหรือข่าวจากเว็บไซต์...ล้วนชี้ไปในทางเดียวกันว่าผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมได้หลบหนีออกจากหนิงไห่แล้ว อีกทั้งระดับการเฝ้าระวังของตำรวจภายในหนิงไห่ก็ผ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด สัญญาณเหล่านี้ต่างบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเย่โม่ออกจากหนิงไห่ไปแล้วจริงๆ
“ซู่เวย ฉันจะออกไปข้างนอกสัก 2-3 วันนะ ดอกไม้พวกนี้เธอช่วยฉันดูแลให้หน่อยสิ โดยเฉพาะดอกเล็กๆ ดอกนี้” ขณะที่หนิงชิงเชวี่ยกำลังพูดคุยกับซู่เวยอยู่นั้นเอง หลี่มู่เหมยก็กลับมาจากบ้านของซูจิ้งเหวินแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงชิงเชวี่ย หลี่มู่เหมยก็รู้สึกยินดี “ชิงเชวี่ย! เธอคิดจะกลับหยูโจวแล้วหรือ?”
ทว่าฝ่ายหนิงชิงเชวี่ยกลับส่ายหัว “ไม่ใช่หรอก…ฉันอยากจะไปเที่ยวผ่อนคลายคนเดียว...อยู่ในหนิงไห่ตลอดเวลาแบบนี้เลยรู้สึกเบื่อๆ น่ะ” ส่วนจะไปที่ไหนนั้น...แม้แต่หลี่มู่เหมยยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม
“เธอไม่คิดจะกลับหยูโจว? ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม?” หลี่มู่เหมยที่ได้ยินหนิงชิงเชวี่ยบอกแบบนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หนิงชิงเชวี่ยนั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยไปไหนคนเดียวมาก่อน แล้วนี่เธออยากจะไปที่ไหนกันแน่?
ซู่เวยตอนนี้รู้แล้วว่าสถานะของหนิงชิงเชวี่ยนั้นไม่ธรรมดา อีกทั้งระหว่างเธอกับเย่โม่ซู่เวยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ถึงแม้เธอจะไม่ได้เอ่ยปากถามออกไปตรงๆ แต่ก็พอจะมองออก ตอนนี้หนิงชิงเชวี่ยคิดอยากจะออกไปข้างนอกแล้วยังขอให้เธอช่วยดูแลดอกไม้...แน่นอนว่าตัวซู่เวยเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เธอเองก็รู้ว่าดอกไม้พวกนี้สำคัญต่อหนิงชิงเชวี่ยขนาดไหน แต่สาเหตุนั้นมากจากอะไรเธอเองก็ไม่รู้
หลี่มู่เหมยเมื่อเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยไม่เต็มใจจะพูด เธอก็ได้แต่ถอนหายใจโดยไม่ถามอะไรอีก
หลังจากนั้น 2 วัน หนิงชิงเชวี่ยก็บอกซู่เวยเรื่องดูแลดอกไม้อีกครั้งก่อนจะเดินทางออกจากหนิงไห่ไป กระเป๋าพยาบาลของเย่โม่นั้นหากจะให้เอาไปด้วยก็คงไม่สะดวก...แต่จะทิ้งไว้ที่หนิงไห่เธอเองก็ไม่ค่อยไว้ใจเช่นกัน หนิงชิงเชวี่ยจึงได้แต่ย้ายข้าวของข้างในกระเป๋าของเย่โม่มาไว้ในกระเป๋าของเธอแทน
ส่วนเม็ดหยกทั้ง 3 เม็ดนั้น...หนิงชิงเชวี่ยไม่สามารถหาสร้อยดีๆ มาสวมได้เลยสักเส้นเดียว จึงได้แต่วางพวกมันไว้รวมกันกับของชิ้นอื่นๆ เธอต้องการหาสร้อยที่สวยที่สุดเพื่อร้อยพวกมันเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงค่อยสวมทีเดียวเลย...น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอยังหาไม่ได้
สาเหตุที่เธอเดินทางออกจากหนิงไห่ก็เพราะคำพูดครั้งที่แล้วของเซียวเล่ย...เธอพบเย่โม่ที่หลิวเฉอ
ดังนั้นจุดหมายที่หนิงชิงเชวี่ยต้องการจะไปก็คือหลิวเฉอ จากมุมมองของเธอ...ในเมื่อเซียวเล่ยพบเย่โม่ที่หลิวเฉอ...ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เย่โม่จะกลับไปหลิวเฉออีกครั้ง เธอตรวจสอบแผนที่และอ่านในอินเทอร์เน็ตมาแล้ว...หลิวเฉอเป็นเมืองติดชายแดน ที่นี่มีผู้คนหลากหลายประเภทผสมปนเปกันไป เหมาะสมที่สุดสำหรับการหลบหนีกบดาน
แม้ว่าตัวหนิงชิงเชวี่ยเองก็คิดทบทวนอยู่หลายครั้งแล้ว...หลิวเฉออันตรายเกินไป แต่พอคิดถึงว่าหากไม่ใช่เพราะเย่โม่เธอคงตายไปแล้ว ถ้าต้องเสี่ยงตายอีกครั้งแล้วจะเป็นอะไรเล่า? อีกอย่างหนิงชิงเชวี่ยก็เข้าใจดี...ถ้าเธอไม่ออกตามหาเย่โม่ก่อนแล้วยังอยู่ที่หนิงไห่ล่ะก็...บางทีทั้งชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เจอเย่โม่อีก เธอรู้สึกได้ว่าเย่โม่ไม่มีทางมาหาเธอก่อนแน่นอน
แม้หนิงชิงเชวี่ยจะไม่รู้ว่าครั้งแล้วเย่โม่มาหนิงไห่มีธุระอะไรกันแน่ แต่เธอแน่ใจ...เขาไม่ได้มาหาเธอ
ยิ่งวันเวลาผ่านไปเธอยิ่งสัมผัสได้ว่าความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเย่โม่ยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกแค่ต้องการใช้งานเขา...ภายหลังก็เพราะรู้สึกผิดต่อเขาจึงตามหาเพื่อคิดจะขอโทษหรือไม่ก็ตอบแทน หลังจากนั้นพอเธอได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องดอกไม้...ก็เป็นเย่โม่ที่ช่วยรักษาเธอ นั่นทำให้หนิงชิงเชวี่ยคิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาแบบนี้ตลอดไป แต่มาตอนนี้ยิ่งเธอเข้าใจในตัวเย่โม่มากเท่าไหร่...ก็ยิ่งรู้ห่างไกลมากเท่านั้น ตัวเธอกับเขายิ่งเหมือนกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันมากขึ้นเรื่อย ทว่าความรู้สึกห่างไกลเหล่านี้กลับยิ่งทำให้เธออยากรู้จักตัวตนของเขามากขึ้นไปอีก
จากหนิงไห่นั้นไม่มีเที่ยวบินที่บินตรงไปยังกุ้ยหลิน แต่เที่ยวบินที่ไปเสียนซานก็ยังพอมีอยู่ หนิงชิงเชวี่ยคิดจะไปที่เสียนซานก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเครื่องที่นั่นเพื่อบินตรงไปกุ้ยหลิน
การเดินทางของเธอจากหนิงไห่ไปกุ้ยหลินถือว่าราบรื่นไร้ปัญหา แต่หลังจากมาถึงกุ้ยหลินแล้วหนิงชิงเชวี่ยจึงได้พบว่า...เธอไม่สามารถหารถเพื่อเดินทางไปหลิวเฉอได้เลย ต่อให้เสนอเงินให้เท่าไหร่ก็ไม่มีใครเต็มใจพาเธอไปหลิวเฉอเลย ทั้งยังมีหลายต่อหลายคนเตือนเธอว่าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว...อย่าไปหลิวเฉอเลย
แต่หนิงชิงเชวี่ยนั้นตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะไปหลิวเฉอให้ได้ เมื่อไร้หนทางอื่นแล้วเธอจึงได้แต่เดินทางไปที่บริษัทรถเช่าเพื่อเช่ารถฟ็อลคส์วาเกินคันใหญ่มา 1 คัน เธอเตรียมตัวจะขับไปหลิวเฉอด้วยตัวเอง
ถึงแม้จะหารถไปส่งได้ยาก แต่เส้นทางนั้นแค่ถามคนแถวนั้นก็รู้แล้ว
ผ่านไปได้ 2 ชั่วโมง รถของหนิงชิงเชวี่ยก็ขับมาถึงถนนภูเขาอันขรุขระ ถึงตอนนี้เองเธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองขับมาได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง...ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง 5 โมงเย็นแล้ว
หลังจากขับอยู่บนถนนขรุขระมาได้อีกกว่า 2 ชั่วโมง หนิงชิงเชวี่ยก็พบว่าถนนค่อยๆ ราบเรียบลง...ทว่าทิวทัศน์รอบด้านกลับยิ่งรกร้างขึ้นเรื่อยๆ นอกจากเสียงสัตว์ป่าเห่าหอนที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ แล้ว...ก็มีเพียงเสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านป่าไม้เท่านั้นที่หนิงชิงเชวี่ยได้ยิน
ด้วยความรู้สึกอันวังเวงน่ากลัวนี้เอง หนิงชิงเชวี่ยจึงเร่งความเร็วขึ้นไปอีก
“พี่ใหญ่ คิดไม่ถึงว่ามืดค่ำป่านนี้ยังจะมีรถแล่นมาอีก จะให้ลงมือจัดการไหม?” เวลานี้เองที่มีดวงตาหลายคู่ท่ามกลางป่าไม้จ้องมองมาทางรถของหนิงชิงเชวี่ยโดยที่เธอไม่ทันได้สังเกต
ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่โบกมือ “ไม่ต้อง! คืนนี้เรายังมีงานอื่นต้องทำ อีกอย่าง...คนที่ขับรถฟ็อลคส์วาเกินแบบนี้คงไม่มีของมีค่าอะไรหรอก แถมไอ้เจ้าฟางหนานนั่นมันเริ่มจะขยายอำนาจออกมาไกลแล้ว มันคงจะไม่คุ้มถ้าพวกเราจะต้องถูกเปิดโปงเพราะรถฟ็อลคส์คันเดียว”
หนิงชิงเชวี่ยไม่มีทางจินตนาการถึงแน่นอน...ว่าแค่เพราะเธอเลือกขับรถฟ็อลคส์ก็สามารถรอดพ้นจากหายนะได้แบบนี้
ทว่าเมื่อขับมาถึงหลิวเฉอก็พบว่าตอนนี้ประมาณ 3 ทุ่มแล้ว หนิงชิงเชวี่ยที่เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวก็แบกกระเป๋าเพื่อเตรียมหาที่พักในคืนนี้ก่อน หลังจากนั้นพรุ่งนี้ค่อยหาข่าวคราวของเย่โม่อีกที
ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าที่หลิวเฉอแห่งนี้จะไม่มีโรงแรมเลย เพียงแต่โดยส่วนใหญ่แล้วโรงแรมพวกนี้มีไว้ให้พวกโจรหรือไม่ก็พวกลักลอบขนส่งสินค้าตามชายแดนเท่านั้น พวกที่สามารถลักลอบขนส่งสินค้าในหลิวเฉอได้นั้น...พอจะจินตนาการได้ว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา โรงแรมเหล่านี้ไม่เพียงบริการห้องเช่าให้พักผ่อนเท่านั้น ชั้นล่างของโรงแรมยังมีบริการเหล้าบาร์ให้กับลูกค้าเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจด้วย
ดังนั้นเมื่อหนิงชิงเชวี่ยเดินเข้ามาภายในโรงแรม...จึงสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนข้างในได้หลายต่อหลายคู่
ในหลิวเฉอแห่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงเลย แต่สาวสวยผิวขาวเนียนอย่างหนิงชิงเชวี่ยนั้น...นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก เหล่าผู้คนที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในหลิวเฉอได้นั้น...จะมีใครบ้างในนี้ที่ใช้หัวสมองมากกว่ากำลัง คนพวกนี้เมาหัวราน้ำไปวันๆ ดังนั้นเมื่อได้เห็นหนิงชิงเชวี่ย...คนทั้งบาร์ก็ต่างจ้องมองมาที่เรือนร่างของเธอทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาว 2 คนที่อยู่ในบาร์ด้วย พวกเขาจ้องมองมาอย่างไม่ปิดบังเจตนาแม้แต่น้อย
หนิงชิงเชวี่ยเมื่อเห็นสายตาราวกับหมาป่าหิวโหยนับไม่ถ้วนรอบข้างแล้ว...เธอก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบอย่างไม่อาจห้ามได้
ราวกับจะมองออกว่าหนิงชิงเชวี่ยรู้สึกหวาดกลัว ชายวัย 30 คนหนึ่งที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ติดบาร์...ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้น เขาถือเหล้าแก้วหนึ่งเดินเข้ามา “น้องสาว พักอยู่โรงแรมนี้หรือ? วางใจเถอะ! มีพี่เว่ยอย่างฉันอยู่รับรองไม่มีใครกล้ามารังแกเธอแน่! บอส!...ช่วยฉันเปิดห้องที่ดีที่สุดให้สาวน้อยคนนี้ที! เก็บเงินที่ฉันเอง”
เมื่อชายคนนี้พูดออกมาแล้ว อีกหลายคนที่เหลือก็เงียบเสียงลงทันที สายตาที่มองมายังหนิงชิงเชวี่ยมีทั้งความอิจฉาและความสงสารผสมปนเปกัน นั่นเพราะทุกคนในนี้รู้ดี...ชายคนนี้ชื่อฉื่อเว่ย สมญานาม ‘เม่น’(ชื่อเว่ย) ไม่เพียงมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ชายคนนี้ยังยากจะรับมือได้...สาเหตุก็เพราะอำนาจอิทธิพลเบื้องหลังเขานั่นเอง แม้แต่ฟางหนานก็ยังไร้หนทาง และที่สำคัญที่สุด...ชายคนนี้มีความหื่นกระหายเป็นอย่างมาก หญิงสาวที่ตายคาเงื้อมมือของเขามีมากมายจนนับไม่ถ้วน
“ไม่ต้อง ฉันจะเปลี่ยนโรงแรม” พูดจบหนิงชิงเชวี่ยก็เดินออกไปทันที
“ไปแล้วหรือน้องสาว? ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่องงั้นก็ต้องใช้กำลังบังคับ!” ฉื่อเว่ยเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยมีสีหน้าซีดขาวแล้วคิดจะออกไป ทันใดนั้นเขาก็เขวี้ยงแก้วเหล้าลงพื้นแล้วกอดอก ฉื่อเว่ยยืนจ้องมองหนิงชิงเชวี่ยตรงหน้าประตูด้วยสายตาเย็นเยียบ