บทที่ 92 บนรถไฟ
ด้านหยู่เอ้อหู่นั้นถึงแม้ตอนขึ้นรถไฟมาจะมีท่าทีระแวดระวัง…แต่ตอนนี้เขากลับนอนหลับสนิทราวกับหมูอย่างไรอย่างนั้น รอบข้างเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างเขาไม่รับรู้แม้แต่น้อย
ราวกับว่าเธอรู้สึกผิดต่อเย่โม่...หวังเยี่ยนจึงลงมาจากเตียง เธอยื่นเงินสองร้อยหยวนให้กับเย่โม่ “น้องชาย...ฉันรู้ว่าเมื่อกี้นายเพิ่งถูกขโมยเงินไป เงินสองร้อยหยวนนี้ถึงจะไม่มากมายอะไร...แต่นายเอาไปใช่ก่อนเถอะ”
เย่โม่มองหวังเยี่ยนด้วยความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้ที่แท้ก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ดูเหมือนเธอคนนี้จะพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง เวลานี้เองที่หยู่เอ้อหู่ก็ตื่นขึ้นมาแล้ว...เขามองเย่โม่และหวังเยี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เย่โม่ดันเงินกลับไปแล้วพูดยิ้มๆ “ไม่จำเป็น เงินน่ะผมมีอยู่แล้ว”
หวังเยี่ยนที่เห็นเย่โม่บอกปฏิเสธเธอก็รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ในมุมมองของเธอนั้น...ถึงเย่โม่จะดูฐานะดีกว่าหยู่เอ้อหู่นิดหน่อย แต่เสื้อผ้าที่สวมก็ไม่ใช่ของแบรนด์เนมอะไร อาจเรียกได้ว่าแค่สะอาดเรียบร้อยเท่านั้น ไม่แน่ว่าเขาจะอาจจะจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้...เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ก็เท่านั้นเอง
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเย่โม่ปฏิเสธเงินของเธอ หวังเยี่ยนก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา “ฉันเห็นจริงๆ นะว่าเงินของนายถูกขโมยไปน่ะ แต่ตอนนั้นฉันไม่กล้าพูดอะไรออกมา...ฉันกลัวว่าจะถูกมันตามแก้แค้นเอา เงินสองร้อยหยวนนี้นายเอาไปใช้เถอะ ฉันสงบใจไม่ลงจริงๆ” ครั้งนี้เธอพูดออกมาด้วยความจริงใจ นั่นเพราะเธอเคยเห็นพวกที่ไปแจ้งตำรวจเรื่องขโมยแต่กลับถูกดักแทงมานักต่อนักแล้ว
เวลานี้เองหญิงสาวที่เดินผ่านไปตอนแรกเดินกลับมาพร้อมกับมาม่าถ้วยหนึ่งในมือ เมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเยี่ยนพูดเธอก็พูดแทรกขึ้นมาทันที “ฉันก็บอกนายแล้วว่าเงินนายถูกขโมยไปแต่ดันไม่เชื่อ ฉันเองก็เห็นเหตุการณ์...ไม่มีเงินใช่ไหม?...เอาอย่างนี้สิ...ฉันให้นายร้อยหยวน ฉันเองก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่...มีเงินไม่เยอะหรอก” พูดจบเธอก็หยิบเงินออกมา
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทั้ง 2 คนพูด หยู่เอ้อหู่ก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา พี่ชายคนนี้ถูกขโมยเงินไป...เขาเองก็ไม่ลังเลรีบหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ม้วนสิ่งของข้างในเอาไว้อยู่ออกมา หยู่เอ้อหู่เปิดมันออกทีละชั้นๆ ในที่สุดก็ยื่นแบงค์ห้าสิบหยวนแบงค์หนึ่งให้กับเย่โม่ “พี่ชาย ฉันเองก็มีเงินไม่เยอะเท่าไหร่…ช่วยได้แค่ห้าสิบหยวนนี่แหละ ปู่เคยบอกไว้ว่าข้างนอกโจรขโมยมีอยู่เยอะแยะ ให้ฉันระวังตัวไว้...ที่แท้จินจี๋ปิงคนนั้นก็เป็นขโมยนี่เอง”
เย่โม่นิ่งมองผู้คนจิตใจดีทั้ง 3 ตรงหน้า...ด้วยความปวดหัว แต่ในใจก็รู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง…ผู้คนบนโลกนี้ยังไม่ได้เย็นชาไร้หัวจิตหัวใจไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะหยู่เอ้อหู่คนนี้...เย่โม่มองเห็นได้ชัดว่าถึงแม้หนังสือพิมพ์ของเขาจะม้วนเอาไว้อย่างแน่นหนาแต่เงินทั้งหมดข้างในก็มีแค่ห้าสิบหยวนที่ยื่นให้เขาเท่านั้น...ห้าสิบหยวนคือเงินทั้งหมดของเขาแล้ว ถึงแม้จะดูโง่ไปหน่อยก็ตาม...แต่เขาเป็นคนดี
เย่โม่มองสถานการณ์ดูแล้วจึงได้แต่รับเงินสองร้อยหยวนของหวังเยี่ยนไป เขาพูดกับหญิงสาวนักศึกษาและหยู่เอ้อหู่ “ผมเอาไปสองร้อยหยวนก็พอแล้ว พวกนายเก็บเงินเอาไว้เถอะ”
เขาดูออกว่าหญิงสาวคนนี้เป็นนักศึกษา แถมเธอเองก็ยังบอกออกมาแบบนั้นด้วย ส่วนหยู่เอ้อหู่เองก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนมีเงินอะไร สำหรับหญิงกลางคนวัย 40 ปีคนนี้ที่ถึงแม้จะซื้อตั๋วรถไฟตู้นอนนั้น...แต่เสื้อผ้าของเธอกลับไม่ใช่ของแบรนด์เนมอะไร เห็นได้ชัดว่าเธอมาเพื่อพักผ่อนเท่านั้น...หมายความว่าเธอเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไรเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเย่โม่รับเงินของตัวเองไป หวังเยี่ยนก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด เธอเห็นกับตาว่าหัวขโมยคนนั้นเอาเงินของเย่โม่ไปหลายหมื่นแต่กลับไม่กล้าส่งเสียงออกมา...นั่นทำให้เธอรู้สึกผิดจนถึงตอนนี้
หลังจากเย่โม่รับเงินไปแล้ว เขาก็หยิบสมุนไพร 3 ชนิดจากในกระเป๋ายื่นส่งให้หวังเยี่ยน “ผมไม่รับเงินของคุณมาเปล่าๆ หรอก สมุนไพร 3 ชนิดนี้ผมให้คุณ”
ทั้ง 3 คนนิ่งมองเย่โม่ด้วยอาการตกตะลึง ต่างคิดในใจว่าจะเอาสมุนไพรของนายมาทำอะไร? มีเพียงหยู่เอ้อหู่ที่เบิกตามองสมุนไพรที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนด้วยความมึนงง
“พี่ชาย…พี่เองก็เป็นหมอจีนงั้นหรือ?” เป็นหยู่เอ้อหู่ที่ถามออกมาคนแรก
เย่โม่ส่ายหัว “คงจะเรียกว่าเป็นหมอจีนแท้ๆ ไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็เข้าใจในสมุนไพรอยู่บ้าง…ผมเองก็ชอบเก็บสะสมสมุนไพรเหล่านี้ด้วยเช่นกัน”
เวลานี้เองที่หวังเยี่ยนเพิ่งจะได้สติขึ้นมา เธอรีบดันสมุนไพรเหล่านั้นกลับไป “น้องชาย...ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์กับฉันหรอก นายเก็บเอาไว้เถอะ”
เย่โม่ยิ้มบางๆ “สมุนไพร 3 ชนิดนี้คงไม่มีประโยชน์กับคนอื่นหรอก แต่กับคุณมันต่างกันออกไป”
“ทำไมล่ะ?” ครั้งนี้คนถามคือหญิงสาวนักศึกษา เธอเห็นเย่โม่หยิบสมุนไพรยื่นให้กับหวังเยี่ยน...นั่นก็แปลกมากพออยู่แล้ว มาตอนนี้สิ่งที่เย่โม่พูดกลับยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปอีก
เห็นว่ามีคนถามแทนเธอแล้ว หวังเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธออยากรู้ว่าเย่โม่จะตอบกลับมาว่ายังไง
“นั่นเพราะตอนนี้คุณยังไม่มีลูก...คงมาจากสถานการณ์ของตัวคุณเอง ดังนั้นสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้...ผมให้คุณเอากลับไปต้มดื่ม 3 ครั้ง จำไว้ว่าอย่าได้เพิ่มเติมอะไรลงไปอีก...ให้ดีที่สุดดื่มกากของมันลงไปด้วย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” เย่โม่มองออกแต่แรกแล้วว่าสุขภาพร่างกายของหวังเยี่ยนมีปัญหา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถมีลูกได้...ถ้าเวลาผ่านไปนานเธอก็มีชีวิตได้อย่างมากที่สุดก็ 20 ปีเท่านั้น
สมุนไพรเหล่านี้เขาได้มาจากชายแดนเวียดนาม ในกระเป๋าเองก็ยังเหลืออยู่บ้าง คนธรรมดาทั่วไปมักไม่รู้ว่าสมุนไพรพวกนี้มีประโยชน์อย่างไร นั่นเพราะสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้ต้องใช้ด้วยกันจึงจะเห็นผล อันที่จริงแล้วยังขาดสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกายอยู่อีกชนิดหนึ่ง แต่เย่โม่เห็นว่าร่างกายของหวังเยี่ยนนั้นแข็งแรงทนทาน ถึงจะต้องรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยแต่สำหรับหวังเยี่ยนแล้วคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องใช้พลังปราณขจัดสิ่งสกปรกในเส้นลมปราณของเธอเสียก่อน
“อา...นายมองออกด้วยหรือว่าฉัน...” หวังเยี่ยนรับสมุนไพรไปด้วยความตื้นตัน มือของเธอสั่นเทา ทันใดนั้นเธอก็โค้งคำนับเย่โม่อยู่หลายครั้ง...แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เธอแต่งงานกับสามีมา 10 กว่าปีแล้ว...แต่เธอก็ยังไม่มีลูกเลย ไม่เพียงแต่ครอบครัวสามีเท่านั้นที่ดูถูกเธอ แม้แต่เพื่อนบ้านๆ รอบๆ ต่างก็ดูถูกกันว่าสามีของเธอแต่งกับไก่ที่ไม่ออกไข่ ถึงแม้เธอจะเดินทางไปมาหลายที่...ใช้จ่ายเงินไปก็ตั้งมาก แต่ก็ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้เลย แม้ว่าสามีจะรักเธอ...แต่เป็นเธอเองที่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ หวังเยี่ยนที่รู้สึกหดหู่เศร้าใจจึงได้แต่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับธุรกิจจนลืมวันลืมคืน
มาวันนี้มีคนบอกกับเธอว่าโรคที่เป็นสามารถรักษาให้หายได้ ทั้งยังง่ายดายปานนี้...ตัวเธอเองไหนเลยจะไม่ตื่นเต้นยินดี หวังเยี่ยนรู้สึกตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก...ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้เธออายุได้ 39 ปีแล้ว หากผ่านไปอีกสัก 2 ปีเธอคงหมดหวังอย่างแท้จริงแล้ว
แต่ไม่นานหวังเยี่ยนก็รู้สึกตัวขึ้นมา เธอหยิบการ์ดใบหนึ่งจากกระเป๋ายื่นให้เย่โม่ “นี่คือบัตรธนาคาร...ในนี้มีเงินอยู่ไม่มากหรอก ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณจากฉัน ส่วนรหัส...”
เย่โม่รู้สึกยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ได้แต่บอกปฏิเสธไป “คุณเก็บการ์ดนี้ไว้เถอะ...ผมมีเงิน แล้วอีกอย่างคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ใช่พวกต้มตุ๋น” พูดจบเย่โม่ก็คว้าข้อมือของหวังเยี่ยนด้วยความรวดเร็วพร้อมทั้งขยายเส้นลมปราณ 2 เส้นให้กับเธอโดยไม่มีใครทันรู้ตัว
เวลานี้หวังเยี่ยนเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เธอได้แต่เก็บการ์ดกลับไปพร้อมทั้งคิดขึ้นมาได้ในทันที จริงสิ!...ถ้าเขาเป็นพวกต้มตุ๋นแล้วเธอจะทำยังไง? แต่เมื่อคิดในทางกลับกันแล้ว...พวกต้มตุ๋นที่ไหนกันจะพูดแบบนี้? แต่ในยุคสมัยนี้คนต้มตุ๋นหลอกลวงก็มีอยู่เยอะแยะ แล้วอย่างนี้จะแน่ใจได้อย่างไร?
นิ่งคิดอยู่นาน ในที่สุดหวังเยี่ยนก็เก็บการ์ดกลับไป “น้องชาย...ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์โทรศัพท์น้องชายหน่อยได้ไหม ถ้าโรคของฉันรักษาหายจริงๆ...ฉันต้องตอบแทนน้องชายอย่างแน่นอน”
เย่โม่โบกมือ “ผมไม่มีโทรศัพท์…เรื่องตอบแทนน่ะไม่ต้องหรอก แล้วอีกอย่างสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดของผมคุณก็จ่ายเงินมาแล้ว ไม่ต้องจ่ายอะไรอีก”
ทันใดนั้นหยู่เอ้อหู่ก็พูดขึ้นมา “พี่ชาย…ทักษะแพทย์ของพี่ชายยอดเยี่ยมจริงๆ! ไม่จำเป็นต้องจับชีพจรด้วยซ้ำก็มองโรคของพี่สาวหวังออกแล้ว! ปู่ของผมยังไม่เก่งเท่านี้เลย!”
เย่โม่กลับพูดขึ้น “เอ้อหู่ นายเป็นหมอจีน ผมเห็นว่านายก็เป็นคนดีใช้ได้ สนใจจะมาทำงานกับผมที่ลั่วชางไหม? ผมคิดจะเปิดคลินิกสักที่...ถ้านายสนใจก็มาช่วยได้นะ”
“ผมเต็มใจ! ที่จริงแล้วตอนนี้ผมยังไม่มีที่ไปเลย...” เมื่อเห็นว่าเย่โม่ชวนเขาแบบนี้ หยู่เอ้อหู่ที่เดิมทีไม่มีที่ไปก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เวลานี้หวังเยี่ยนก็ใจเย็นลงแล้ว เธอมองเย่โม่และหยู่เอ้อหู่...เธอยังไม่กล้าฟันธงว่าเย่โม่เป็นพวกต้มตุ๋นหรือไม่ แต่เย่โม่ก็ช่วยเธอไว้...ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าสมุนไพรพวกนี้เป็นของจริงหรือของปลอมก็ตาม...เธอเองก็พูดอะไรมากไม่ได้
หญิงสาวนักศึกษาเมื่อเห็นว่าเย่โม่เองก็เป็นหมอคนหนึ่งเช่นกัน เธอรู้สึกชื่นชมในใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ได้ยินว่าเย่โม่กำลังจะไปลั่วชาง เธอรีบพูดขึ้นทันที “ฉันเองก็จะไปลั่วชางเหมือนกัน พวกเราไปด้วยกันไหม? เดี๋ยวฉันไปขนของย้ายมาตู้นี้ก่อนนะ”
“ดีสิ คนเยอะจะได้ช่วยดูแลกันได้” แน่นอนว่าเย่โม่ไม่ว่าอะไรที่หญิงสาวคนนี้จะมานั่งด้วยกับพวกเขา ถึงแม้หญิงสาวคนนี้จะไม่ถือว่าสวยอะไรมากมาย…แต่ด้านจิตใจถือว่าดีใช้ได้เลย รูปร่างก็ถือว่าไม่มีอะไรผิดปกติ อีกอย่างเมื่อกี้เธอก็คิดจะช่วยเย่โม่ด้วย
“ผมช่วยย้ายของเอง” หยู่เอ้อหู่เป็นชายหนุ่มจิตใจดี ในเมื่อตอนนี้พอจะคุ้นเคยกันแล้ว...เขาจึงวางกระเป๋าของตัวเองทิ้งไว้บนเตียงแล้วไปช่วยหญิงสาวขนของ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เขาเพิ่งพูดเองว่าปู่ของเขาเตือนเรื่องโจรขโมยมีอยู่เยอะแยะ มาตอนนี้แค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็เชื่อใจเย่โม่เสียแล้ว
เย่โม่พยักหน้า “ไม่ต้องกังวลหรอก...นายไปเถอะ ของๆ นายผมช่วยดูให้เอง”
หวังเยี่ยนมองหนุ่มสาวทั้ง 3 ด้วยแววตาซับซ้อนแต่ก็กลับไปนอนต่อโดยไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับคิดว่าสมุนไพรที่เย่โม่ให้มาเธอจะลองกลับไปต้มดื่มดูดีไหม
ไม่นานของๆ หญิงสาวนักศึกษาก็ถูกขนเข้ามาจนหมด มีเพียงกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าสะพายอย่างละใบเท่านั้น หญิงสาวคนนี้พูดเก่ง เธอเปิดใจคุยกับเย่โม่และหยู่เอ้อหู่ทุกๆ เรื่อง แต่หวังเยี่ยนกลับไม่ได้พูดอะไรมาก...เธอนิ่งคิดบางอย่างอยู่ในใจไปตลอดทาง
จากการพูดคุยสนทนากันก็ทำให้เย่โม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่ลั่วชาง มหาวิทยาลัยการแพทย์เจียงหนาน ชื่อของเธอคือหยางอี ตอนนี้อยู่ปี 3 แล้ว และบังเอิญที่เธอเองก็เรียนด้านเวชศาสตร์คลินิคด้วย
ทั้ง 3 คนพูดคุยกันอย่างครื้นเครง ไม่นานขบวนรถไฟก็มาถึงปักกิ่ง หวังเยี่ยนและทั้ง 3 คนกล่าวอำลากัน เธอลงจากรถไฟด้วยความรีบร้อน
หลังจากขบวนรถไฟเดินทางมาถึงเจิ้งโจว ทั้ง 3 คนก็ลงจากรถไฟเพื่อต้องการต่อรถไปลั่วชาง เพราะคิดว่าเงินของเย่โม่ถูกขโมยไปแล้ว...หยางอีจึงช่วยเย่โม่ซื้อตั๋ว ผลสุดท้ายเย่โม่จึงได้แต่จำใจหยิบเงินออกมาปึกหนึ่งจำนวนหนึ่งหมื่นหยวน เพื่อบอกกับหยางอีว่าเงินของเขายังไม่ถูกขโมยไปไหน เห็นดังนั้นแล้วหยางอีจึงไม่ได้ยืนกรานอีก
ตอนที่ซื้อตั๋วจากเจิ้งโจวไปลั่วชางพวกเขาก็ไม่ได้ประสบปัญหาอะไร ทั้ง 3 คนใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ได้ขึ้นรถไฟที่เดินทางมุ่งหน้าจากเจิ้งโจวไปลั่วชางแล้ว
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้นั่งรถไฟตู้นอนไปแต่กลับเป็นแค่เบาะนุ่มๆ แทน หยู่เอ้อหู่ยืนกรานว่าจะจ่ายตั๋วส่วนของเขาเอง ซึ่งเย่โม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร
“พี่โม่ ผมได้ยินมาว่าการจะเปิดคลินิคพวกนี้ในเมืองใหญ่ๆ จำเป็นจะต้องใช้ใบรับรองแพทย์หรืออะไรพวกนี้ด้วย ตอนนี้พวกเราจะเปิดคลินิคที่ลั่วชางกัน...จะมีคนมาตรวจสอบพวกเราไหม?” ดูท่าแล้วหยู่เอ้อหูเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ก่อนที่เขาจะเดินทางออกมาครั้งนี้คงถูกปลูกฝังความรู้มาบ้าง
“แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีสิ ไม่อย่างนั้นคงถูกคนจับข้อหาเปิดคลินิคเถื่อน” เย่โม่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรหยางอีก็ตอบให้เสียก่อน
เย่โม่เองก็รู้ว่าของแบบนี้พวกเขาจำเป็นต้องมี แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องมีคือเงิน...หากมีเงินไม่ว่าใบอะไรก็หามาได้ทั้งนั้น เขาจึงไม่รู้สึกกังวลใจอะไร
“พี่โม่ เอ้อหู่ พวกนายยังไม่มีโทรศัพท์ใช้กันเลย แล้วทีหลังพวกเราจะติดต่อกันยังไง?” หยางอีรู้สึกว่าตัวเองเข้ากันได้ดีกับเย่โม่และหยู่เอ้อหู่ แต่ใน 3 คนนี้มีเธอคนเดียวที่มีโทรศัพท์ อีกอย่างแค่มองเย่โม่เธอก็รู้แล้วว่าคนแบบนี้คงไม่โทรหาใครก่อนแน่นอน ดังนั้นเธอจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
“รอให้ฉันกับพี่โม่หาที่อยู่ได้ก่อนแล้วค่อยโทรหาเธอแล้วกัน” หยู่เอ้อหู่เองก็รู้สึกว่าหยางอีคนนี้เป็นหญิงสาวที่ไม่เลวเลย
“งั้นก็ได้ เอ้อหู่นายต้องโทรหาฉันนะ อยู่ที่ลั่วชางฉันเองก็ไม่มีเพื่อนสนิทหรือคนรู้จักอะไร ได้รู้จักนายและพี่โม่...คราวหน้าคราวหลังเวลามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ง่ายหน่อย” หยางอีพูดทีเล่นทีจริง ในความคิดเห็นของเธอนั้น...หน้าของโม่เย่คนนี้มีรอยสัก แม้จะดูน่าเกลียดไปบ้างแต่เวลาอยู่ด้วยกันกับเขาแล้ว...ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรเธอก็มักจะรู้สึกผ่อนคลาย
ช่วงเวลาที่ใช้เดินทางทั้ง 3 คนก็ยิ่งพูดคุยสนิทสนมมากยิ่งขึ้นไปอีก ผ่านไปได้ 2-3 ชั่วโมงรถไฟก็แล่นเข้าสู่สถานีลั่วชาง เย่โม่นัดแนะวันเวลาและสถานที่กับหยู่เอ้อหู่และหยางอีว่าจะเจอกันอีกในอนาคต จากนั้นพวกเขาก็แยกทางกันตรงสถานีรถไฟ