LCEW เล่มที่ 1 ตอนที่ 10 - เมล็ดพันธุ์ล้ำค่า
เล่มที่ 1 ตอนที่ 10 - เมล็ดพันธุ์ล้ำค่า
หญิงสาวคนนั้นได้สวมเสื้อของเหอเล่ยและกอดร่างกายของตัวเองนั่น ในมือของเธอถือกล่องนมและมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างซึ่งดูเหมือนจะเป็นพ่อของเธอ เขากอดเธออ้อมแขนขณะมองดูเหอเล่ยด้วยสายตาอ้อนวอน
ไม่เพียงแต่พ่อของหญิงสาวคนนั้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนอื่น ทุกคนต่างส่งสายตาวิงวอนขอความเมตตาจากเหอเล่ย แม่ริมฝีปากของทุกคนจะยังสั่นเทาด้วยความกลัว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ร้องขอด้วยวาจา อย่างไรก็ตามการแสดงออกของพวกเขามันอดช่วยไม่ได้ที่ผู้คนที่เห็นจะรู้สึกใจสลาย มันเหมือนราวกับว่าพวกเขาไม่มีความกล้าพอจะอ้อนวอน แน่นอนว่าทุกคนกลัวจะถูกปฏิเสธหลังจากถามออกไป
เหอเล่ยจ้องมองไปที่พวกเขาขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน "พวกคุณอยากจะตามผมไปหรือไม่?" เมื่อเขาเปล่าถามออกไป โชคชะตาและชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้จะตกอยู่ในความรับผิดชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียว มันคือคำสัญญา คำสัญญาที่ทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกหนักอึ้งไปถึงหัวใจ
ผู้คนทั้งหมดพยักหน้าราวกับว่าได้ขึ้นเรือกู้ภัย น้ำตาแห่งความสุขหลั่งไหลอาบแก้ม
เหอเล่ยจ้องมองคนของเขาและสั่งว่า "ขับรถบรรทุกออกไป พวกเราจะต้องผ่านเขตกัมมันตรังสี"
"รับทราบ"ใครบางคนตะโกนและวิ่งกลับไปยังโกดัง แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ หรือว่าฉันตกอยู่ในโลกแบบไหน แต่เมื่อเขาพูดถึง'กัมมันตรังสี' มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมากทันที
เหอเล่ยปล่อยแขนของฉันจากนั้นก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้า 2 ก้าว พร้อมกับหยุดยืนอยู่ท่ามกลางความสงบภายใต้แสงจันทร์
และแล้วเขาก็หันไปมองอาซิง "นายช่วยพาหลัวปิงไปด้วยได้หรือไม่? ผมไม่มีผู้รักษาอยู่ในกลุ่มและทรัพยากรการแพทย์ของผมก็อยู่ไกล ผมคงไม่สามารถรักษาบาดแผลของเขาได้"เขาจ้องมองอาซิงอย่างสงบ ดวงตาสีดำกริบของเขาสะท้อนแสงพระจันทร์บนท้องฟ้ายามราตรี
อาซิงยิ้มให้กับเหอเล่ย "ไม่ต้องกังวล ผมบอกกับหลัวปิงแล้วว่าผมจะพาเขากลับไปรักษาที่เมืองพระจันทร์เงินและจะช่วยฟื้นความทรงจำของเขาด้วย"
เหอเล่ยพยักหน้าและกลับคืนสู่ความเงียบ อาซิงจ้องมองเขาด้วยคิ้วขมวด ทั้งคู่มองหน้ากัน แต่ไม่พูดจาใดๆราวก็ว่าเป็นศัตรูกัน ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็เป็นเพื่อนกันได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่อาจละทิ้งทิฐิของตนได้
เหอเล่ยเดินเข้ามาหาฉัน เขามองตาฉันและดึงฉันเข้าไปก่อน เขาลูบหลังฉัน "หลัวปิง ผมจะจดจำหน่ายในฐานะเพื่อนที่ดี!! และผมก็หวังว่าจะได้เจอนายอีก"เขาปล่อยตัวฉันเอามือแตะบ่า จากนั้นก็ยิ้ม รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนเหมือนกับพี่ชายที่กำลังมองน้องชายตัวเอง
ฉันตกตะลึงไปชั่วขณะ
"เหอเล่ย"อาซิงยื่นมือออกมาและมองเขาด้วยรอยยิ้ม ภายใต้แสงจันทร์อันหนาวเหน็บ เหอเล่ยยืนนิ่งปล่อยให้สายลมพริ้วไหวผ่านเส้นผมสั้นๆ ข่าวยกมือดึงผ้าพันคอขึ้นเขาปิดหน้า และสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนที่สุดท้ายเขาจะจัดไป
"เหอเล่ย!!"อาซิงตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง และเหอเล่ยก็หันกลับมา ดวงตาที่อยู่เหนือผ้าปิดปากส่องประกายแสงสะท้อนดวงจันทร์ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้หรือเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ฉันนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยบอกว่าผู้คนในเมืองภูติคราสกินมนุษย์ ความคิดของฉันก็เริ่มสั่นคลอน มันเตือนสติให้ฉันรู้ว่าการเอาชีวิตรอดบนโลกใบนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ความเกลียดชังที่เหอเล่ยมีต่อเมืองพระจันทร์เงินจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เนื่องจากฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันจึงไม่สามารถตัดสินใครได้
ฉะนั้นฉันจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูพวกเขา แต่มันก็น่าเสียดายทั้งที่พวกเขาเป็นเพื่อนกันได้ อย่างน้อยฉันก็เชื่อแบบนั้น
อาซิงหยิบแผ่นทรงกลมขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันมีขนาดเท่ากับแว่นตาที่มีข้างเดียว ด้านบนมีสัญลักษณ์แสดงถึงเมืองพระจันทร์เงิน
อาซิงกดที่ตรงกลางแผ่นวงกลม 1 ครั้ง เสียงเครื่องยนต์สตาร์ทก็ดังขึ้นทันที ในพริบตา มันก็กลายเป็นแว่นตาข้างเดียวที่ติดมากับหูฟังบลูทูธ แว่นตาข้างนั้นโปร่งใส และมีตัวอักษรสีน้ำเงินรออยู่ตรงกลาง คล้ายกับกำลังแสดงข้อมูล มันดูโคตรเจ๋งเลย
เขายื่นมือไปตรงหน้าเหอเล่ย "อันนี้เป็นของนาย ข้อมูลของเหล่าผู้ทรงพลังบันทึกอยู่ในนี้เกือบทั้งหมด มันจะช่วยให้นายสแกนหาศัตรูและบ่งบอกถึงพลังของพวกเขา ทั้งยังช่วยชี้จุดอ่อนให้กับนาย"
เหอเล่ยจ้องมองอุปกรณ์เสริม ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ปฏิเสธ ซึ่งเขาก็ยื่นมือออกมารับ และสวมหูฟังบลูทูธ
เหอเล่ยยอมรับของขวัญจากอาซิง!!
เขาจ้องมองมาที่พวกเราและหยิบถุงเล็กๆที่เต็มไปด้วยรอยปะ จากนั้นก็แก้ปมและเทบางอย่างออกมา 2 ชิ้น…..มันคือเมล็ดทานตะวัน!!
"นี่คือ!!"อาซิงประหลาดใจมากกับภาพที่เห็น ฉันเองก็ต้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้น?
ทันใดนั้น เหอเล่ยก็ดึงมือของฉันไปและวางเมล็ดพืชลงบนมือของฉันอย่างระมัดระวัง ฉันยืนงง!! นี่มัน นี่มันหมายความว่าอย่างไร? เมล็ดพันธุ์มันมีความหมายต่างไปยังไงบนโลกใบนี้?
จากนั้น เขาก็ก็มอบให้กับอาซิงอีกเมล็ดนึง "เก็บและรักษาสิ่งนี้เอาไว้ "
"นี่คือเมล็ดพันธุ์!!"อาซิงจ้องมองเหอเล่ยอย่างตื่นเต้น เขากำเมล็ดพันธุ์ในมือแน่น "เหอเล่ย ขอบคุณมาก!! สิ่งของชิ้นนี้มันล้ำค่าเกินไป!!"
อะไร? เดี๋ยวนะ?
ใครก็ได้อธิบายให้ฉันฟังหน่อยว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร?
เมล็ดที่ฉันถืออยู่เป็นเพียงอาหารที่ลุงและป้าของฉันกินขณะเล่นไพ่นกกระจอกหรือไม่ก็ดูทีวี พวกเขากินวันนึงเป็นถุง แต่ทำไมเมื่ออยู่ที่นี่มันถึงกลายเป็นสิ่งของล้ำค่าได้?
นอกจากนี้ เมล็ดทานตะวันก็ถือเป็นอาหารระดับล่างเกือบที่สุดของโลก ถ้าหากเพียงแค่เมล็ดทานตะวันก็เป็นสิ่งของล้ำค่า แล้วถ้าหากเป็นถั่วล่ะ พวกอัลมอนด์หรือวอลนัทล่ะ?
เหอเล่ยเก็บถุงกับเข้าไปในคอเสื้อแล้วปล่อยให้มันกลับมาห้อยที่หน้าอก เขาลูบมันเบาๆราวกับสิ่งสำคัญ เขาจ้องมองอาซิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย "อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้ให้คุณเป็นของขวัญ แต่….."สายตาของเขาหรี่แคบ "ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตได้อีกนานเพียงใด ผมจึงไม่ต้องการให้เมล็ดพันธุ์นี้สูญพันธุ์ไปพร้อมกับผม อย่างน้อยที่สุด เมืองพระจันทร์เงินก็สามารถดูแลมันได้"
หัวใจของฉันหล่นวูบ เพียงแค่มอบของขวัญ ทำไมมันถึงโยงประเด็นไปถึงความตายได้? แย่จัง
อาซิงสีหน้าดูมีความสุข "เหอเล่ย กลับไปที่เมืองพระจันทร์เงินกับผม"
เหอเล่ยส่ายหน้าและสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ต้องมองเมล็ดที่อยู่ในฝ่ามือของฉันและกล่าวว่า "ยายของผมบอกว่าเมล็ดพันธุ์นี้จะเติบโตกลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามและมันจะคอยจ้องมองพระอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม โลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่เหมาะต่อการปลูกเมล็ดพันธ์ เมืองพระจันทร์เงินจะต้องหาสถานที่อันสมควรให้ได้ ผมหวังว่ามันจะเบ่งบานไปทั่วทั้งเมืองพระจันทร์เงินทุกครั้งที่ได้รับแสงแดด"เหอเล่ยจ้องมองอาซิงด้วยความคาดหวัง
"ผมจะต้องทำมันให้ได้"อาซิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมประนึงคนที่กำลังกล่าวคำสาบาน
ชายคนหนึ่ง….จะปลูกทุ่งทานตะวัน...เพื่อชายอีกคน? มันฟังดูแปลกนะ บทสนทนามันเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าดอกทานตะวันที่เห็นอยู่นี้เป็นสิ่งสูญพันธุ์!? มันเป็นไปได้อย่างไร!?