ตอนที่แล้วบทที่ 90 แผนการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 92 บนรถไฟ

บทที่ 91 ขโมยไปแล้วอย่างไร?


สำหรับเรื่องหางานทำนั้น...เย่โม่มีภาพในหัวชัดเจน  หลังจากไปถึงลั่วชางแล้วต้องหาสถานที่สงบๆ เพื่อปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ก่อนเป็นอย่างแรก  ก่อนหน้าที่มันจะโตนั้นหากเขาเอาแต่มองดูมันโตโดยไม่ทำการทำงานอะไรเลยล่ะก็...นั่นดูจะสิ้นเปลืองเวลาเสียเปล่าๆ  อีกอย่างนั่นก็ดูจะทำให้คนอื่นเกิดสงสัยขึ้นมาด้วย  และต่อให้เขายังมีเงินอยู่ 5 หมื่นหยวนก็ตาม  แต่ถ้าซื้อของใช้และยาต่างๆ แล้วล่ะก็...เงินจำนวนนี้คงได้แต่มลายหายไปกับสายลมแล้ว

เมื่อขบวนรถไฟแล่นมาถึงเมืองเสิ่นหยางก็มีผู้โดยสารขึ้นมาอีก 2 คน  นั่นทำให้ห้องผู้โดยสารขนาดเล็กเต็ม 4 คนในที่สุด  ผู้โดยสารที่ขึ้นมาใหม่นั้น...คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 30 ปีพร้อมกับกระเป๋าสีดำในมือ

แววตาของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและหลุกหลิกไปมาไม่หยุดนิ่ง  หลังจากเข้ามาข้างในตู้โดยสารเขาก็กวาดสายตามองข้างในอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง  พอเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่...เขาก็หันไปพูดทักทายกับเย่โม่ยิ้มๆ  “สวัสดี  ผมชื่อจินจี๋ปิง  กำลังจะไปหนิงไห่  นายล่ะ?”

“โม่เย่”  เย่โม่ตอบเรียบๆ  เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้ามากนัก  นี่คือความเคยชินจากการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน  อีกอย่างเขาไม่ชอบแววตาวิบวับของชายที่ชื่อจินจี๋ปิงคนนี้สักเท่าไหร่

เวลานี้เองผู้หญิงที่มีอายุราว 40 ปีคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน  เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง  จินจี๋ปิงเองก็เหมือนจะรู้ว่าเย่โม่ไม่ชอบคุยด้วยสักเท่าไหร่  จึงหันไปทักทายผู้หญิงคนนั้นแทน

หลังจากได้นอนพักไปเธอก็รู้สึกกะปรี่กะเปร่าขึ้นมา  เธอเป็นผู้หญิงที่พูดเก่งคนหนึ่ง  ไม่นานเธอก็พูดคุยกับจินจี๋ปิงในทุกๆ เรื่อง  เย่โม่ก็ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อหวังเยี่ยน  และเธอเองก็กำลังมุ่งหน้าไปปักกิ่งเช่นเดียวกัน  แต่เธอก็มีธุระที่เสิ่นหยาง...เรื่องราวหลังจากนั้นเย่โม่ก็ไม่คิดจะสนใจอีก  เขาหันไปสนใจผู้โดยสารอีกึคนหนึ่งขึ้นที่ขึ้นมาพร้อมกับจินจี๋ปิง

เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี  สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ ไม่มีราคาอะไร  แม้แต่กางเกงยังมีร่องรอยปะเย็บอยู่เลย  เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้สถานะทางการเงินคงไม่ดีเท่าไหร่  ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงซื้อตั๋วรถไฟแบบนอนได้

ชายหนุ่มคนนี้เมื่อเข้ามาในตู้รถไฟก็มีท่าทีเก็บเนื้อเก็บตัว  เมื่อเขาขึ้นไปนอนบนเตียงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก  เขาทำเพียงกอดกระเป๋าในอ้อมอกแน่น  เมื่อมองดูท่าทีระแวดระวังของเขาแล้ว...เย่โม่รู้สึกว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าชายวัยกลางคนและผู้หญิงที่คุยกันอยู่เสียอีก

“นี่น้องชาย  กระเป๋าที่นายกอดอยู่มีทองหรือไง  ฮ่าฮ่า!  ฉันเห็นนายดูกังวลใจนะ  เข้าใจได้ว่าพวกเรามันก็คนแปลกหน้า...แต่แค่ระวังเอาไว้หน่อยก็พอแล้ว  นายไม่จำเป็นต้องกอดมันเสียแน่นขนาดนั้นก็ได้”  จินจี๋ปิงและหวังเยี่ยนพูดคุยกันได้ครู่หนึ่ง  เมื่อหันมาเห็นชายหนุ่มท่าทางใสซื่อคนนั้นจึงพูดล้อเลียนเล็กน้อย

“ไม่...ไม่มีทองหรอก  แค่อุปกรณ์รักษาโรคเท่านั้น...”  ชายหนุ่มท่าทางใสซื่อคนนี้ราวกับนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาคุยกับเขาก่อนแบบนี้  จึงรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย

“หืม  ผิดคาดนะเนี่ย...คิดไม่ถึงว่าน้องชายจะเป็นหมอ  โทษที...นายชื่ออะไรล่ะ”  ราวกับมองเห็นถึงความประหม่าของชายหนุ่ม  จินจี๋ปิงจึงหาเรื่องชวนคุยอีกครั้ง...ทว่าเนื้อหาน้ำเสียงก็ไม่ได้มีวี่แววดูถูกแต่อย่างใด

“ผมชื่อหยูเอ้อหู่  วิชา...วิชาแพทย์ก็ได้มาจากบรรพบุรษ...”  หยูเอ้อหู่ยังคงพูดด้วยความประหม่าเล็กน้อย  แค่ดูก็รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไกลบ้านแบบนี้

“เอ่อ...ดูไม่ออกจริงๆ นะเนี่ยว่าน้องชายเป็นหมอ  แล้วนี่จะเดินทางไปที่ไหนล่ะ?”  น้ำเสียงของหวังเยี่ยนที่เอ่ยออกมาเห็นได้ชัดว่ารู้สึกสงสัยเรื่องที่หยูเอ้อหู่บอกว่าตัวเองเป็นหมอ  แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกมาตรงๆ

หยู่เอ้อหู่ที่ถูกหวังเยี่ยนถามก็เกิดอาการหน้าแดงขึ้นมา  เขาพึมพำตอบ  “ผมได้ตั๋วไปเจิ้งโจวน่ะ  เลยตัดสินใจจะไปลองดูสักหน่อย”

เย่โม่เข้าใจเรื่องราวแล้ว  หยู่เอ้อหู่คนนี้เดิมทีไม่เคยเดินทางออกจากบ้านมาก่อน  ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งแรกของเขาและไม่รู้ว่าไปได้ตั๋วนั้นมาได้ยังไง...เขาจึงอยากไปที่เจิ้งโจวเพื่อฝึกฝนวิชาแพทย์

ถึงจะไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของชายหนุ่มคนนี้เป็นยังไง  แต่เย่โม่พอจะจินตนาการได้ว่าเมื่อคนอย่างหยู่เอ้อหู่คนนี้ไปถึงเจิ้งโจวแล้วไม่มีทางอยู่รอดแน่นอน  สุดท้ายอาจจะต้องไปขอทานอยู่ข้างถนนด้วยซ้ำ

ทว่าสิ่งที่เขาพูดมาก็ทำให้เย่โม่ได้ไอเดียดีๆ  ถ้าหากเขาสามารถเปิดคลินิกเล็กๆ ที่ลั่วชางได้ล่ะก็...เขาจะชวนชายหนุ่มท่าทางใสซื่อคนนี้ไปช่วยงาน  แถมตัวเขาเองก็จะมีเวลาฝึกฝน  ทั้งยังปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ได้ด้วย  และที่สำคัญที่สุด...เมื่อเขาออกจากลั่วชางแล้วหยู่เอ้อหู่ก็ยังสามารถช่วยเขาดูแล ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ได้อีกด้วย

จินจี๋ปิงและหวังเยี่ยนที่ได้ฟังคำพูดของหยู่เอ้อหู่นั้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้   ไม่นานพวกเขาก็เลิกให้ความสนใจหยู่เอ้อหู่อีก  ทว่าเย่โม่กลับรู้สึกสนใจชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมา

เมื่อเห็นเย่โม่หันไปพูดคุยกับหยู่เอ้อหู 2-3 ประโยคแล้วก็หันกลับไปหลับตาเตรียมจะนอนโดยไม่พูดอะไรอีก  จินจี๋ปิงก็หยิบนิตยสารเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าพร้อมทั้งแว่นตา  ท่าทางเหมือนเตรียมจะอ่านนิตยสารเล่นนั้น

ทว่าเย่โม่กลับรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา  ตอนที่ชายชื่อจินจี๋ปิงคนนี้เพิ่งเดินเข้ามา...แววตาของเขาไม่เหมือนคนสายตาสั้นแม้แต่น้อย  แล้วเขาจะหยิบแว่นขึ้นมาทำอะไร?

เย่โม่หลับตาทำท่าไม่สนใจ  ทว่าจิตสัมผัสของเขากลับคอยตรวจสอบชายที่ชื่อจินจี๋ปิงคนนี้อยู่เรื่อยๆ   ผ่านไปได้ไม่นานจินจี๋ปิงก็หยุดอ่านนิตยสาร...เขากลับสอดสายตามองกระเป๋าของเย่โม่และหวังเยี่ยนแทน

ตอนที่เขามองมายังกระเป๋าของเย่โม่  สีหน้าของจินจี๋ปิงก็ราวกับจะปรากฏร่องรอยตื่นเต้นยินดี  เย่โม่รู้ว่ากระเป๋าของตัวเองมีเงินสดอยู่หลายหมื่นหยวน  จินจี๋ปิงแสดงท่าทางแบบนี้...เห็นได้ชัดว่าเขารู้แล้วว่าของข้างในกระเป๋ามีอะไรบ้าง  ในใจของเย่โม่รู้สึกสงสัยขึ้นมา...ชายคนนี้รู้ได้ยังไงว่าข้างในกระเป๋าของเขามีเงินอยู่?  หรือว่าเขาจะมีจิตสัมผัสเหมือนกัน?

แต่ไม่นานเย่โม่ก็คิดขึ้นมาได้...ชายคนนี้ไม่มีจิตสัมผัสหรอก  ปัญหาคงอยู่ที่แว่นตาของเขาแล้ว  บางทีอาจจะเป็นพวกแว่นอินฟาเรดที่ช่วยให้คนสวมสแกนของข้างในหรือไม่ก็มองทะลุได้อะไรแบบนั้น

ตอนนี้ก็เป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ แล้ว  เย่โม่แสร้งทำเป็นนอนหลับ...เขานึกอยากรู้ว่าจินจี๋ปิงคนนี้จะลงมือกับกระเป๋าของใครก่อนกันแน่  แต่เย่โม่ก็คาดว่าคงจะเริ่มลงมือจากกระเป๋าของเขาก่อน...นั่นเพราะเขาพกเงินสดมาน่าจะมากที่สุดแล้ว  เย่โม่ถอนหายใจ...ถ้ามีแหวนมิติก็ดีสิ  จะได้ไม่ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้

และก็เป็นอย่างที่คาดไว้...หลังจากเย่โม่แกล้งหลับได้ไม่นาน  จินจี๋ปิงก็แบกกระเป๋าของตัวเองมาหยุดอยู่ข้างๆ เย่โม่  ยื่นมือไปเปิดกระเป๋าของเย่โม่แล้วหยิบเงินสดข้างในยัดใส่กระเป๋าตัวเอง

เย่โม่ยิ้มเย็น  เขาไม่ได้ห้ามอะไร...เขารู้ว่าหัวขโมยพวกนี้เวลาลงมือก็มักจะเอาไปทุกอย่าง...ไม่จำเป็นต้องโกรธเกรี้ยว  เพียงแต่เย่โม่ขยับมือที่อยู่ข้างใต้ผ้าห่ม...ไม่เพียงแต่เอาเงินที่จินจี๋ปิงขโมยใส่กระเป๋าตัวเองกลับมาเท่านั้น  แม้แต่ของๆ จินจี๋ปิง...นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็โดนเย่โม่ฉกฉวยมาทั้งหมด  เขามีจิตสัมผัสอยู่...สามารถมองเห็นของพวกนี้ได้อย่างชัดเจน

หยู่เอ้อหู่นอนหลับไปแล้ว  แต่หวังเยี่ยนนั้นเห็นการกระทำของจินจี๋ปิงอย่างชัดเจน  ทว่าจินจี๋ปิงก็หันกลับมาจ้องเธอแวบหนึ่งทำให้หวังเยี่ยนรู้สึกหวาดกลัวจนต้องเอามือปิดปากตัวเอง...ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

เวลานี้เองที่เสียงหวีดรถไฟดังขึ้นพอดี...รถไฟได้แล่นมาถึงสถานีฟู่ชิงแล้ว  ตัวจินจี๋ปิงนั้นเมื่อได้ของที่ต้องการก็รีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหนีออกไปทันที  ในจังหวะนั้นเองที่มีหญิงสาวอายุ 20 ปีเดินผ่านตู้รถไฟมาพอดี...เมื่อได้เห็นการกระทำของจินจี๋ปิงก็รู้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นหัวขโมย  และที่สำคัญที่สุดคือผู้เสียหายดันหลับอยู่เสียด้วย

หญิงสาวที่เห็นหัวขโมยรีบร้องตะโกนทันที  ตัวจินจี๋ปิงที่ได้ของมาแล้วก็ไม่สนใจอีกว่าใครจะพบเห็น   เขารีบแบกกระเป๋าพุ่งออกไปจากรถไฟทันที

“หัวขโมยคนนั้นเอาของนายไปแล้วนะ!  ยังจะมานอนอีก!”  ฝ่ายหญิงสาวที่เห็นจินจี๋ปิงวิ่งหนีออกไปแบบนั้นก็ยิ่งปักใจเชื่อเข้าไปอีกว่าของๆ เย่โม่ต้องถูกขโมยไปแล้วแน่นอน  เธอจึงรีบตะโกนปลุกเย่โม่ทันที

เย่โม่ลืมตาขึ้นมองไปยังหญิงสาวที่มีท่าทีร้อนรนเป็นอย่างมาก มองแวบเดียวก็รู้ว่าเธอยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย  มิน่าจึงได้มีจิตใจรักความยุติธรรมแบบนี้  เมื่อเห็นคนอื่นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา...เย่โม่ก็ทำเพียงยิ้มบางๆ  “ที่จริงแล้วในกระเป๋าของผมไม่มีของมีค่าอะไรหรอก  ปล่อยให้เขาขโมยไปเถอะ”

“นาย...นายนี่มันจริงๆเลย...นายควรจะรีบแจ้งตำรวจนะ  ให้ฉันช่วยแจ้งให้ไหม?”  หญิงสาวคนนี้จิตใจดีจริงๆ

เย่โม่คิดในใจ  สถานการณ์ของเขาตอนนี้ทำให้ตำรวจเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะหลีกเลี่ยงมากที่สุดแล้ว   เขาจึงรีบโบกมือปฏิเสธไป  “ช่างเถอะ  ผมไม่มีของมีค่าอะไรจริงๆ  ไม่จำเป็นต้องแจ้งตำรวจหรอก  แต่ยังไงก็ขอบคุณเธอมาก”

หญิงสาวเมื่อเห็นว่าเย่โม่ไม่คิดจะแจ้งตำรวจจริงก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความจนใจ  จากนั้นเธอจึงเดินจากไป

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นเดินไปแล้ว  เย่โม่ก็รีบเอาของทุกอย่างใส่กระเป๋าทันที  นอกจากเงินที่เขามีอยู่ก่อนแล้วห้าหมื่นหยวน...เขายังได้มาอีกสองหมื่นหยวน  รวมกันแล้วตอนนี้เขามีเงินอยู่เจ็ดหมื่นหยวนด้วยกัน   นอกจากเงินพวกนี้แล้วเขายังได้ของเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย  รวมถึงเอกสารแสดงตัวตนอีกปึกหนึ่ง...ซึ่งเย่โม่ก็คร้านจะสนใจ  เขายัดของพวกนี้ใส่กระเป๋าทั้งหมด

ตอนนั้นหวังเยี่ยนไม่เห็นมือของเย่โม่ที่ขโมยของกลับมาก  เธอเห็นแต่ว่าจินจี๋ปิงหยิบเงินจากกระเป๋าเย่โม่ไปหลายปึก  แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอกลับพูดว่าในกระเป๋าไม่มีของมีค่าอะไร...เขาคงไม่เชื่อแน่ว่าของๆ ตัวเองถูกขโมยไปเสียแล้ว  คิดถึงตรงนี้เธอก็อดที่จะส่ายหัวไม่ได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด