Ep.154 - อาวุโสตระกูลซินออกหน้า
5/5
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.154 - อาวุโสตระกูลซินออกหน้า
ทว่าการประลองในรอบที่ 19 กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มขึ้น
เวลานี้ ทั้งเนื้อตัวของผู้จัดการท่วมไปด้วยเหงื่อนเย็น เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
เพราะคนพวกนี้ บางคนเป็นถึงนักสู้ระดับชั้นยอดในสังเวียนต่อสู้ของเขา ขณะที่บางคนก็ได้รับเชิญมา
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เขาสังหารผู้ท้าชิงที่ถูกส่งไปโดยผู้จัดการลงทั้งหมดเลย!
ต้องทราบนะว่าเครือข่ายของผู้จัดการน่ะกว้างขวางมาก แต่ตอนนี้ ผู้จัดการคิดว่า เพราะการที่ตนอยากจะประจบตระกูลซิน เลยทำให้เครือข่ายทั้งหมดของตนล่มสลายลงไม่มีหลงเหลือ!
ช่างน่าเห็นใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสมเพชเหลือเกิน!
“นายน้อยซิน .. ทางฝั่งกระผม ไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่เหลือแล้วจริงๆ!” ผู้จัดการกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ซินเจี่ยเซิงเองก็แทบจะกลายเป็นบ้า
“อาวุโสเต๋า!” ซินเจี่ยเซิงที่กำลังขบฟันแน่น เปล่งเสียงตะโกนขึ้นกระทันหัน
ผู้จัดการงง แต่วินาทีต่อมา จู่ๆก็มีคนปรากฏกายขึ้นภายในห้องส่วนตัวอย่างน่าฉงน
---เป็นเต๋าชิชาง อาวุโสกิตติมศักดิ์แห่งตระกูลซิน!
ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ เป็นเพราะเขาคือคนที่รับใช้ตระกูลซินมาตั้งแต่ช่วงวัยหนุ่ม ได้รับความโปรดปรานจากผู้นำเก่า และแน่นอน หน้าที่ของเขาก็ยังคงเหมือนกับคนรับใช้ คอยปกป้องซินเจี่ยเซิง คนที่มีแนวโน้มว่าจะรุ่งโรจน์ที่สุดในตระกูลซิน
“อาวุโสเต๋า จะปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!” ซินเจี่ยเซิงเองก็ดูจะกังวลเหมือนกัน เขาไม่แน่ใจว่าเต๋าชิชางจะยอมลงมือเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ซินเจี่ยเซิงตระหนักได้ถึงวิกฤตอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป ศักยภาพก็เหลือล้น
และเต๋าชิชางที่เฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชาอยู่รอบนอก หลบเลี่ยงอยู่ในความมืดมิดเองก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน!
“นายน้อยโปรดวางใจ ทาสชราผู้นี้จะจัดการให้เอง!”
สิ้นเสียง ทันใดนั้นเต๋าชิชางก็หยิบหน้ากากหนังมาสวมทับลงบนใบหน้าของเขา รูปลักษณ์ใบหน้าเปลี่ยนแปรไปทันใด
เปลี่ยนจากชายแก่ชรา กลายเป็นชายวัยกลางคน
ก็อย่างที่บอกไป เขาเป็นอาวุโสแล้ว ทั้งยังครอบครองสถานะพิเศษ ดังนั้นหากให้ออกไปลงมือจัดการกับฉินเฟิงในสภาพนั้น เกรงว่ามันจะไม่สมเหตุสมผลมากเกินไป
ไม่ต้องกล่าวถึงปัจจุบันมีผู้คนมากมายกำลังให้ความสนใจกับฉินเฟิง
แน่นอน อันที่จริงการประลองแบบข้ามเลเวล ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบเจอ ลูกหลานบางคนของตระกูลใหญ่ก็สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในเลเวล F6 แต่กลับถึงขั้นสามารถโค่นผู้ท้าประลองที่มีเลเวลสูงกว่าถึง 3 ระดับได้ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงยังจบการประลองลงในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
และชนะต่อเนื่องติดต่อกันกว่า 18 ครั้ง!
แค่นี้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากพอแล้ว
กระทั่งตัวตนชั้นนำของเมืองเฉิงหยาง ทั้งหมดก็เริ่มสังเกตเห็นถึงสถานการณ์นี้ พวกเขาเริ่มใช้อุปกรณ์ฉายภาพต่างๆ จับตาดูและให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสังเวียน
ขณะเดียวกัน คนอื่นๆก็เริ่มทยอยกันเข้ามาดูอย่างต่อเนื่อง
ฉินเฟิงเฝ้ารอนานกว่า 20 นาทีเต็ม จนสุดท้ายก้มลงมองนาฬิกาตน พบว่านี่มันก็เกือบจะ 2 ทุ่มแล้ว แต่เขายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย หากยังไม่มีใครมา เขาก็ตัดสินใจว่าจะลงไป
ทว่าราวกับรู้ความคิดของฉินเฟิง ร่างที่ดูเตี้ยและผอมเพรียว พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าฉินเฟิง
อีกฝ่ายมีใบหน้าที่แสนจะธรรมดา ชนิดที่ว่าหากจับโยนลงไปท่ามกลางฝูงชน เกรงว่าจะหาเขาไม่เจอ!
แต่มีเฉพาะเพียงดวงตาเท่านั้น ที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบ น่ากลัวว่าจะเป็นนักฆ่าชั้นยอด!
สีหน้าของฉินเฟิงเริ่มกลายเป็นจริงจังในที่สุด
“ในที่สุดก็มีพวกกระดูกแข็งเสนอหน้ามาซักที!” ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น
“เจ้าหนู เธอแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่น่าเสียดาย ….” อีกฝ่ายถอนหายใจ “เพราะต้นไม้ที่งอกงามเร็วเกินไป รากยังมิอาจหยั่งลึก สุดท้ายก็ยังถูกโค่นลงโดยลมพายุร้าย!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินเฟิงก็เผยรอยยิ้มแย้มออกมา เพราะประโยคดังกล่าว มีใครคนหนึ่งเคยเอ่ยมันกับเขามาก่อนแล้ว
แต่คราวนี้เขาไม่คิดเปล่งวาจาโต้เถียง!
“งั้นก็พิสูจน์มันสิ!”
เต๋าชิชางพยักหน้า วินาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็วูบไหวเหลือเพียงเงา ดั่งพายุร้ายกรรโชกที่คิดโถมโค่นต้นไม้ใหญ่
ตามมาติดๆด้วยประกายแสงเย็นเยียบของมีดสั้น ตวัดโฉบตรงเข้าใส่ลำคอด้านข้างของฉินเฟิง!
ในหัวใจของฉินเฟิงกระตุกวูบ ทว่าหากคิดป้องกัน เกรงว่ามันจะสายเกินไป!
ตูมมม!
ปรากฏเสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้น! เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งทะยานสู่เบื้องบน รูนพรั่งพรูออกมาร่ายระบำ คลื่นกระแทกกวาดทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศทาง
นี่คือพลังพิเศษธาตุไฟของฉินเฟิง
---ต้องไม่ลืมนะว่าในงานสวนล่าใบไม้ผลิ ฉินเฟิงสามารถเก็บเกี่ยววัตถุดิบได้มากมาย ผลลัพธ์เลยกลายเป็นทั้งพลังสมาธิและการรับรู้ของฉินเฟิงเพิ่มสูงขึ้น กระทั่งหน่วยความจำก็ยังกลายเป็นดีเยี่ยม กล่าวได้ว่าเวลานี้หากมีใครคนหนึ่งปลดปล่อยอบิลิตี้ใส่เขา ตราบใดที่ตนได้เฝ้ามองมัน ก็จะสามารถดัดแปลงมาใช้กับตนเองได้ในทันที
ซึ่งท่าโจมตีนี้ คือท่าคลื่นเปลวเพลิง ที่ฉินเฟิงได้มาจากการปะทะกันกับนักเรียนสถาบันซิต๋า
วูซซซ วูซซซซ วูซซซซซ!
เต๋าชิชางกระเด็นออกจากระยะประชิด ย่ำกว่า 2 - 3 ก้าวจึงสามารถรั้งฝีเท้าไว้ตรงขอบเวที และเริ่มหลบเลี่ยงอำนาจมหาศาลของรูน
ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนรอบเวทีต่างระเบิดเสียงโห่ร้อง
“นั่นมันอบิลิตี้!”
“เป็นไปได้ยังไงกัน? ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณหรอกหรือ?”
“หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนทั้งวรยุทธและอบิลิตี้!”
ผู้ชมโดยรอบกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น
“ไม่เลวเลย ช่างน่าทึ่งจริงๆ”
เต๋าชิงชางได้ติดตามซินเจี่ยเซิงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับการทดสอบของฉินเฟิง อย่างไรก็ตามพลังสมาธิก็สามารถถูกใช้โดยมือปืนได้เช่นกัน แต่เมื่อมันมีระดับอยู่ถึงสวรรค์โปรดปราน ฉะนั้นเต๋าชิชางเกรงว่าน่าจะเฉพาะแค่คนที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้เท่านั้นถึงจะมีได้
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงระแวดระวังฉินเฟิงมาโดยตลอด จึงสามารถป้องกันได้อย่างทันท่วงที
บัดนี้ สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นจริงจังโดยสมบูรณ์
“ดูเหมือนว่าคราวนี้ ไม่เอาจริงจะไม่ได้แล้ว!”
วิสัยทัศน์ของเขาตกลงบนมีดสั้นสีเงินในมือของฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันก็ฉกมือลงไปที่เอว คว้ามีดกษัตริย์ครามมาไว้ในกำมือ
นักสู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ล้วนไม่คุ้มค่ากับการใช้มีดกษัตริย์คราม
แต่ปัจจุบัน ถึงเวลาต้องใช้มันแล้ว เพราะยังไงซะ กระบวนท่าของเต๋าชิชางก็น่าหวาดกลัว มันร้ายแรงพอที่จะสามารถสังหารเขาได้
อันตรายเกินไป!
มองไปยังฉินเฟิงที่ชักมีดกษัตริย์ครามออกมา นอกจากนี้ยังเป็นอุปกรณ์รูนสีเงิน ไม่เพียงแค่นั้น มันยังสาดแสงสีทองจางๆอีกด้วย ฉากนี้ทำให้ดวงตาของเต๋าชิชางหรี่แคบลง ในหัวใจเพิ่มความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองจ้องมองกันและกัน คล้ายดั่งกำลังมองหาช่องโหว่ของอีกฝ่าย
วินาทีต่อมา สองร่างก็วูบไหวขึ้นพร้อมกัน
วิซซซ วิซซซ!
ทั้งสองพุ่งสวนกัน โฉบทีเดียวข้ามผ่านกลางสังเวียน พุ่งไปถึงสุดขอบแต่ละฝั่ง
ทว่ากลับไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆของอาวุธที่กระทบกระทั่งกันและกัน
ฟิ้ว…! ผมปรกหน้าผากของฉินเฟิงร่วงหล่นลงไปหลายเส้น แต่ขณะเดียวกัน--
--ฉัวะ!
พลันบังเกิดเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด ปรากฏรอยตัดขึ้นตรงเอวของเต๋าชิงชาง เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นถึงเกราะสีเงินด้านในที่สวมทับ บัดนี้ตรงเกราะที่ถูกฟันเกิดร่องรอยบิดเบี้ยว ปากของเต๋าชิชางกระตุกวูบ หน้ากากหนังมนุษย์ปรากฏร่องรอยที่ดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้น
ฝูงชนโดยรอบที่แต่เดิมส่งเสียงเชียร์ บัดนี้ทั้งหมดหุบปากลง คอยเฝ้ามองทั้งสองบนเวทีอย่างเงียบๆ บรรยากาศเริ่มกดดันอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนถึงขั้นลืมหายใจ
กลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านไปในอากาศ แค่สูดหายใจยังรู้สึกยากลำบาก
ฉินเฟิงบนเวที สีหน้ากลายเป็นหนักอึ้งกว่าเดิม
ทั้งสองโถมโจมตีเข้าใส่กันอีกครั้ง!
ติ๊ง ติ๊ง!
คราวนี้เกิดเสียงกระทบกันระหว่างคมอาวุธทั้งสอง แต่ละฝ่ายสลับตำแหน่งกันอีกครั้ง และอีกครั้ง ทุ่มโจมตีเร็วขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น
เร็วขึ้นเรื่อยๆ!
ฉินเฟิงรู้สึกได้แค่เพียง ทั้งคนทั้งร่างของเขาตกอยู่ในสภาวะวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ทว่าการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อยังคงสมบูรณ์แบบ มันเลิศเลอยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ คล้ายสามารถระเบิดประสิทธิภาพการต่อสู้ออกมาได้มากถึง 120 % จากในคราวก่อนๆ
กล่าวได้ว่าตนกำลังร่ายระบำคมมีดแห่งความตายก็มิปาน
ขณะเดียวกัน ระหว่างต่อสู้ ฉินเฟิงก็ค่อยๆเรียนรู้และฝึกฝน เริ่มเกิดความเข้าใจและเชี่ยวชาญในท่าร่างก้าวแห่งหมอกขึ้นทีละนิด ทีละนิด ไม่เพียงเท่านั้น แต่ร่างกายของฉินเฟิง บัดนี้คล้ายกับถูกปกคลุมด้วยเงาดำ กลิ่นอายของเขาปรากฏขึ้น และวูบหายไปเป็นครั้งคราว
กระทั่งกลิ่นอายสังหารในตอนแรกเริ่มก็ทยอยลดหลั่นลง ถูกกักเก็บ จนกลายเป็นเงียบงัน
สถานะนักฆ่าและผู้ถูกล่า บัดนี้ยิ่งนานยิ่งเหมือนจะกำลังสลับตำแหน่งกัน
รูม่านตาของเต๋าชิชางเบิกกว้าง
เดิมที เขากำลังไล่ล่าฉินเฟิง แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นฉินเฟิงที่กำลังไล่ล่าเขา
เจ้าตัวค้นพบว่าตนไม่อาจไล่ติดตามให้ทันต่อความว่องไวของฉินเฟิงได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่กระทั่งสติสัมปชัญญะเองก็ยังยากที่จะคิดตามทัน
สถานการณ์ดังกล่าว นับว่าอันตรายมากเกินไป!
ฉัวะ!
บนร่างของเต๋าชิชาง ปรากฏร่องรอยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบาดแผล
แม้บาดแผลนี้จะไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่มันก็ส่งผลให้กระดูกสันหลังของเต๋าชิชางได้รับบาดเจ็บรุนแรง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเต๋าชิชางก็กลายเป็นเดือดดาลขึ้นทันทีใด
มืออีกข้างของเขาขยับไหว ชักนำเอาจักรกลสีดำที่เก็บงำเอาไว้ออกมา!!
***ช่วงหยุดยาวนี่เพื่อนๆแวะมาเที่ยวหาผมเยอะนะครับ ลง 4 ตอนเหมือนเดิม แต่เวลาลงไม่แน่นอนนะครับ****