บทที่ 90 แผนการ
หยุนปิงนอนหลับสนิทอย่างสบายอารมณ์ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ราวกับจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน มือของเธอคว้าจับไปโดยอัตโนมัติ...แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
เขาไปแล้ว...หยุนปิงรู้สึกราวกับได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป ถึงแม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเย่โม่จะออกเดินทางวันนี้…แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะไปโดยไม่แม้แต่จะบอกลากันแบบนี้ บนหัวเตียงมีกระดาษโน๊ตที่เขาทิ้งไว้แผ่นหนึ่ง
‘พี่ปิง ขอบคุณพี่ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ สักวันหนึ่งผมจะต้องตอบแทนแน่นอน ผมต้องไปแล้ว เย่โม่’
ในกระดาษมีข้อความอยู่แค่แถวเดียวเท่านั้น…แต่หยุนปิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ถ้าเขาบอกว่าจะมาหาเธออีก...เขาต้องมาหาแน่นอน กับเย่โม่แล้วเธอไม่มีความคิดอย่างอื่นอีกนอกจากความรู้สึกดีที่ได้อยู่กับเขา นี่ใช่เธอเหงาเกินไปหรือเปล่า? แต่เพียงไม่นานเธอก็กลับไปคิดกังวลถึงความปลอดภัยของเย่โม่อีกครั้ง
..........
“ว่าไงนะ!? นายเองหรือที่ฆ่าลูกชายคนเดียวของเชียนหลงโถว มิน่าช่วงนี้ ‘หนานชิง’ ถึงได้มีท่าทีบ้าคลั่งแบบนั้น ตอนนี้ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยคนของพวกมัน แม้แต่ถิ่นของพวกเราก็ยังมีคนของ ‘หนานชิง’ มากันให้พรึ่บ เพราะหัวหน้าไม่มีคำสั่งลงมา...พวกเราเลยไม่กล้ามีเรื่องกับพวกมัน คิดไม่ถึงว่าคนที่ฆ่าเชียนชื่อผิงจะเป็นนาย” เมื่อได้ยินเรื่องของเย่โม่แล้วอู่เสวียหมินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ถึงจะผ่านไปเป็นครึ่งวันเขาก็ยังไม่อาจสงบใจลงได้
ได้ครอบครองอำนาจ ทั้งยังได้อยู่ด้วยกันกับยู่เมี่ยวถง...เรื่องพวกนี้ทำให้อู่เสวียหมินรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเรื่องของเย่โม่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ เชียนหลงโถวเป็นคนแบบไหน...ชายที่ถึงกับมีกองกำลังส่วนตัวแบบนั้น เขาคือคนที่ถือว่ามีอำนาจมากยิ่งกว่าผู้นำประเทศบางคนเสียอีก
เชียนหลงโถวคนนี้เลือกจะทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง ผู้นำประเทศกล้าทำแบบนี้ไหมเล่า?
อีกอย่างเชียนหลงโถวก็มีลูกชายแค่คนเดียว เรื่องนี้ไม่มีใครหน้าไหนที่จะไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านสว่างหรือด้านมืดก็ล้วนต้องไว้หน้าเขาแทบทั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าเย่โม่จะลงมือฆ่าแบบนี้
เย่โม่มองอู่เสวียหมินด้วยอาการสงบนิ่ง หากว่าอู่เสวียหมินแสดงออกถึงความกังวลใจหรือไม่กล้าช่วยเขาล่ะก็...ตัวเย่โม่ก็ตัดสินใจจะออกไปจากที่นี่ในทันที หากที่นี่ไม่ต้อนรับเขาก็จะไปหาที่อื่น ส่วนหนึ่งที่เขาตัดสินใจช่วยอู่เสวียหมินก็เพื่อให้ช่วยเขากลับบ้าง
ถึงอย่างไรตอนนี้พลังของเขาก็ยังถือว่าต่ำเกินไป หากเขาเลื่อนพลังไปถึงระดับ 3 เมื่อไหร่ล่ะก็ ต่อให้เป็นเชียนหลงโถวก็คงไม่กล้ามาหาเรื่องกับเขา..แต่จะเป็นเขาเองที่ไปถล่มพวกมัน หากจะล่าเขาก็ต้องเตรียมรับผลให้ดี เพราะพวกมันต้องโดนเขาล่าคืนแน่นอน!
อู่เสวียหมินสงบสติอารมณ์ลงแล้ว “น้องเย่...ตอนแรกฉันก็คิดจะชักชวนให้นายเข้าร่วมกับ ‘เที่ยเจียง’ ของเรา มาตอนนี้ดูท่าแล้วคงต้องเปลี่ยนแผน ถ้านายเกิดเข้าร่วมกับ ‘เที่ยเจียง’ จริงๆ ล่ะก็...ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อนาย แม้แต่ ‘เที่ยเจียง’ เองก็คงได้รับผลกระทบไปด้วย”
เย่โม่พยักหน้า ต่อให้ไม่มีเรื่องของเชียนหลงโถวเข้ามาเกี่ยว เขาก็ไม่เข้าร่วมกับ ‘เที่ยเจียง’ แน่นอน วิถีชีวิตแบบนี้ไม่เข้ากับเขา
หลังจากนิ่งเงียบไปนาน อู่เสวียหมินจึงค่อยเปิดปากอีกครั้ง “ฉันจะช่วยนายทำบัตรประชาชนให้ใหม่ นายเองก็ต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองเสียหน่อย จากนั้นก็ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่สงบๆ สักพัก มีเรื่องกับเชียนหลงโถว...ต่อให้หนีออกนอกประเทศก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้”
เย่โม่รู้จากอู่เสวียหมินเอาตรงนี้เองว่าเชียนหลงโถวน่ากลัวขนาดไหน ตัวเขาฆ่าลูกชายคนเดียวของเชียนหลงโถว แน่ใจได้เลยว่าหากเชียนหลงโถวสืบรู้ว่าเป็นเขาลงมือเมื่อไหร่ล่ะก็...มีเพียงการแก้แค้นอันบ้าคลั่งเท่านั้นที่รอเขาอยู่
ตั้งแต่มาอยู่ที่โลกใบนี้…ตัวเย่โม่ไม่เคยรู้สึกถึงความต้องการที่จะเพิ่มพลังฝีมือให้เร็วมากขนาดนี้มาก่อน เขารู้ดีว่าหากไม่สามารถเพิ่มพูลพลังปราณให้เร็วกว่านี้ได้ล่ะก็ หากวัดจากสิ่งที่เขามักจะทำแล้ว...ตัวเขาคงถูกกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่ซากแน่นอน
การจะเพิ่มพลังปราณนั้นสำหรับเย่โม่ตอนนี้แล้วเขาเหลืออยู่แค่ 2 วิธีเท่านั้น วิธีแรกคือรีบปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ส่วนวิธีที่ 2 คือรีบไปทะเลทรายทากลามากันเพื่อตามหาสถานที่ๆ ‘รากหัวใจม่วง’ ปรากฏขึ้น...แต่นั่นก็ต้องหมายความว่าตัวเขาโชคดีด้วย ในทางกลับกันแล้ว ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ดูจะพึ่งพาได้มากกว่าเล็กน้อย ทว่าข้อเสียของตัวเลือกแรกก็คือ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ นั้นต้องใช้เวลาถึง 2 ปีจึงจะโตเต็มที่ เย่โม่ทนรอขนาดนั้นไม่ได้
หากเขาไม่รีบเลื่อนระดับพลังไปจนถึงระดับ 3 ล่ะก็…หลังจากนี้ 2 ปีเขาเองก็ไม่แน่จะว่ากระดูกของเขาจะเย็นชืดแล้วหรือยัง
เย่โม่ตัดสินใจแล้วว่าจะหาที่สงบๆ ก่อนเป็นอันดับแรก ปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ เสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที หลังจากมันโตเต็มที่เขาค่อยไปทะเลทรายทากลามากัน 2 เรื่องนี้เขาไม่อาจรีรอได้อีกแล้ว
รอให้เขาถึงระดับ 3 ก่อนเถอะ…เขาจะไปเยี่ยมไอ้ ‘เชียนหลงโถว’ นี่แล้วบอกมันว่า เขาเองแหละที่ฆ่าลูกมัน มีปัญหาอะไรไหม? การถูกไล่ฆ่าแบบนี้ทำให้เย่โม่รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะตระกูลซ่งหรือว่า หนานชิง…เขารู้สึกไม่พอใจพวกมันอย่างถึงที่สุดแล้ว ตัวเขาเย่โม่เองก็เป็นถึงจอมยุทธ์ผู้น่าเกรงขามคนหนึ่ง...แต่เขากลับถูกตามล่าโดยคนพวกนี้ จะไม่หนีก็ไม่ได้ นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
อย่างไรเสียอู่เสวียหมินก็ไม่ทำให้เย่โม่ผิดหวัง...ถือว่าเป็นสหายที่ไม่เลวเลย ต่อให้รู้ว่าการซ่อนตัวตนของเย่โม่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้…แต่อู่เสวียหมินกลับไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่มีเย่โม่อู่เสวียหมินคงตายไปนานแล้ว...ไหนเลยจะมีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนี้ได้ ดังนั้นเรื่องตัวตนของเย่โม่นั้น นอกจากเขาแล้ว...แม้แต่ยู่เมี่ยวถงเองเขาก็ไม่ได้บอกให้เธอรู้
อู่เสวียหมินช่วยเย่โม่ทำบัตรประชาชนของจริงขึ้นมาใบหนึ่ง ซึ่งชื่อบนบัตรประชาชนใบนั้นคือโม่เย่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคนตรวจสอบแล้วเย่โม่ถึงกับจงใจแต่งรอยสักบนใบหน้า...ซึ่งดูน่าเกลียดอยู่บ้าง รูปภาพบนบัตรประชาชนเองก็เป็นหน้าเขาที่มีรอยสักนี้เหมือนกัน
สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้นั่นเพราะอิทธิพลอำนาจของ ‘หนานชิง’ นั้นยิ่งใหญ่เกินไปราวกับว่าสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วทุกซอกมุมของประเทศ อีกอย่างเย่โม่ก็ต้องการหาที่สงบๆ เพื่อปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ด้วย ซึ่งระหว่างนั้นเขาเองก็ไม่ต้องการถูกตามตัวจนเจอด้วย ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ สำคัญสำหรับเขามาก
อากาศในเมืองจิงถือว่าหนาวเย็นจนเกินไป เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมที่จะปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ อีกอย่างถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อก็ถือว่าเป็นจุดสนใจมากเกินไป เย่โม่ได้นำดินภายในสวนเล็กๆ ที่เขาเคยอยู่ติดตัวมาด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขาได้ให้อู่เสวียหมินช่วยตรวจสอบแล้ว ผลปรากฏว่าพื้นที่ของเมืองทางตอนใต้สามารถใช้ปลูกได้...แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับเมืองทางตอนเหนือแล้วยังถือว่าดีกว่าเยอะ...พื่นที่ทางตอนเหนือส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ปลูกได้
หนีไปหนีมา...สุดท้ายแล้วเย่โม่ก็เลือกปักหลักที่เมืองลั่วชาง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเจียงหนาน (พื้นที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนปัจจุบัน) และอยู่ติดกันกับเซี่ยงไฮ้ ลั่วชางถือได้ว่าเป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งที่มีประชากรเกือบ 5 ล้านชีวิต
ดังนั้นครั้งนี้เย่โม่จึงเลือกลั่วชาง...แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉือหว่านชิงเลย เพียงแค่คุณภาพดินของที่นี่มีความใกล้เคียงกับดินที่เขานำมาวิจัยมากที่สุดแล้ว ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือเหล่าแก๊งค์ใต้ดินทั้งหลายภายในเมืองล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปกครองของ ‘เที่ยเจียง’ หรือภายใต้อำนาจของอู่เสวียหมินนั่นเอง เหตุผลข้อสุดท้ายก็คือที่เมืองลั่วชางมีเที่ยวบินตรงไปยังเมืองคอร์ลา (เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในซินเจียง) ซึ่งจากที่นั่นเขาสามารถเดินทางไปยังทะเลทรายทากลามากันได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ เย่โม่พร้อมกับตัวตนใหม่ก็เดินทางออกจากเมืองจิงเพื่อตรงไปยังลั่วชาง ถึงแม้ภายในเมืองจิงอำนาจของอู่เสวียหมินจะยิ่งใหญ่มาก…แต่เย่โม่ก็ยังเลือกที่จะนั่งรถไฟเพื่อเดินทางอยู่ดี เขาไม่อยากจะเป็นจุดสนใจแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่ความหวาดกลัวหรือเพราะเขาเป็นกังวลอะไร เขาไม่มีเวลาจะมาต่อสู้กับคนพวกนี้อีกแล้ว
เย่โม่เดินทางมากับรถไฟที่มีตู้นอน เขาไม่ต้องการเงินของอู่เสวียหมิน ในความคิดของเย่โม่นั้น...เขาช่วยอู่เสวียหมิน แล้วอู่เสวียหมินเองก็ช่วยเขาตอบแทน พวกเขาเป็นเพื่อนกัน แต่ก็แค่เพื่อนเท่านั้น หากว่าเขาต้องการเงินของอู่เสวียหมินอีกล่ะก็...สำหรับเขาแล้วคงรู้สึกติดค้างอู่เสวียหมินแน่ และเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้น ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ยังมีเงินเหลือกว่าห้าหมื่นหยวน
เมืองจิงนั้นไม่มีรถไฟที่เดินทางไปลั่วชายโดยตรง ดังนั้นเย่โม่จึงนั่งรถไฟไปลงที่เมืองเจิ้งโจวก่อน จากนั้นจึงค่อยต่อไปลั่วชางอีกที
ตอนที่เย่โม่ขึ้นมาบนรถไฟนั้น คนในตู้นอนยังมาไม่ครบ 4 คน ตอนนี้หากรวมเขาแล้วก็มี 2 คนเท่านั้น คนที่นั่งอยู่อีกคนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุราวๆ 40 ปี ดูแล้วเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวเจนจัด แต่ตอนนี้ดวงตาของเธอดูเหนื่อยล้า เมื่อขึ้นมาบนรถก็นอนหลับไปโดยไม่ทักทายอะไรเย่โม่เลย
เย่โม่คิดในใจ...ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ค่อยระมัดระวังตัวเลย นั่งรถไฟแบบนี้ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง โจรขโมยบนรถไฟมีอยู่เยอะแยะ
เพียงแต่ตอนนี้ภายในตู้นอนมีเพียงเย่โม่และผู้หญิงคนนี้ และเย่โม่เองก็ไม่ใช่คนที่จะขโมยของผู้หญิงด้วย ต่อให้เธอพกเงินมาเป็นล้านดอลล่าเขาก็ไม่แม้แต่จะสนใจ เขาหาที่นั่งลงแล้วหลับตาทำสมาธิ...พร้อมทั้งนั่งคิดวางแผนไปด้วยว่าหลังจากไปถึงลั่วชางแล้วจะลงหลักปักฐานอย่างไรดี จะหางานทำก่อนหรือไปเช่าห้องก่อน