บทที่ 69
เมื่อมาถึงร้านยาก็พบว่าด้านหน้ามีชาวบ้านและชาวยุทธจำนวนไม่น้อยยืนรอเพื่อซื้อเม็ดยา เนี่ยฟงพาหยางเวยเดินอ้อมมาด้านหลัง เมื่อเข้ามาถึงเนี่ยฟงก็พบชายชราเนี่ยกังผู้เป็นปู่นั่งจิบน้ำชาอยู่
“ท่านปู่ข้ากลับมาแล้ว”
ชายชราเนี่ยกังหันไปมองตามเสียงเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ยกยิ้มอย่างดีใจ
“เจ้ากลับมาแล้ว ลูกฟง เหอะ ไม่พบกันนานเจ้าสร้างชื่อเสียงเอาไว้ไม่น้อย ได้เป็นถึงศิษย์ของเจ้าสำนักเป็นวาสนาของเจ้าไม่น้อย แล้วเจ้านำผู้ใดมาด้วย”
“เรียนท่านปู่นี้คือเพื่อนของข้าเองนามว่าหยางเวย”
หยางเวยรีบก้าวเดินออกมาพร้อมกับก้มคารวะเนี่ยกัง
“คารวะท่านปู่เนี่ยกังขอรับ”
ชายชราเนี่ยกังยกยิ้มให้แก่หยางเวยและหันไปมองเนี่ยฟง
“ว่าแต่เจ้ากลับมามีเรื่องอันใดรึ”
“ข้ากำลังทำภารกิจที่อาจารย์มอบให้ขอรับ ระหว่างทางข้าจึงแวะมาเยี่ยมท่านก่อน ข้ามีบางอยากจะให้ท่านนำไปที่หอการค้ามู่ชิงหลง”
เมื่อกล่าวจบเนี่ยฟงก็โบกสะบัดมือขวา อาวุธดาบจำนวนหลายเล่มก็กองอยู่บนพื้น แน่นอนว่าชายชราเนี่ยกังล้วนแล้วแต่ตื่นตกใจ
“รบกวนท่านนำมันไปขายเถอะขอรับ”
“ได้ว่าแต่เจ้าไม่ใช้อาวุธพวกนี้แล้วรึ ถึงได้นำมันไปขาย”
“กล่าวตามตรงขอรับท่านปู่ อาวุธพวกนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูงเพียงแต่ว่าพวกมันทนรับพลังของข้าไม่ได้”
“เจ้ากล่าวอันใดลูกฟง ระดับพลังของเจ้าเพียงสีน้ำตาลขั้นต้นเหตุใดอาวุธพวกนี้ถึงรับพลังของเจ้าไม่ได้”
เนี่ยฟงไม่กล่าวตอบอันใด รีบโคจรลมปราณแสดงพลังที่แท้จริงออกมา แน่นอนว่าชายชราเนี่ยกังเมื่อสัมผัสพลังของเนี่ยฟงได้ก็หัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ประเสริฐ ประเสริฐ โดยแท้ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามากลูกฟง ได้เจ้าวางใจเถอะข้าจะจัดการให้เจ้าเองไม่ต้องห่วง ว่าแต่นั้นคือสัตว์อสูรของเจ้ารึ ลูกฟง”
“ขอรับ หลันเช่อเป็นสัตว์อสูรของข้า ท่านปู่ส่วนเงินที่ได้จากการขายพวกมันท่านก็เก็บเอาไว้เถอะ ว่าแต่เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วผู้ใดกันที่ขายยาอยู่ด้านหน้า”
“มู่ซุนกวนส่งคนมาช่วย”
“หากไม่มีสิ่งใดแล้วพวกข้าต้องขอตัวก่อนขอรับ”
“เดินทางปลอดภัยลูกฟง”
“รักษาตัวด้วยขอรับท่านปู่”
ทั้งสามรีบออกจากเมืองมุ่งหน้าไปที่ผาสายลม การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น พอถึงค่ำทั้งสองก็แวะข้างลำธารหุงหาอาหารไม่นานก็เข้านอน สองวันทั้งก็มาถึงตีนผาสายลม ทั้งสามค่อยๆลัดเลาะไปตามสันเขา จากที่สังเกตสัตว์อสูรไม่ค่อยพบเห็น เกือบสองชั่วยามก็พบเจอเส้นทางมุ่งหน้าขึ้นผา อีกทั้งยังได้ยินเสียงเดินเท้าหนักๆด้านหน้า ทั้งสามตัดสินใจพุ่งทะยานขึ้นไปหลบบนกิ่งไม้ใหญ่ ชั่วน้ำเดือดก็มีกลุ่มคนแปดคนเดินขนกรงเหล็กขนาดใหญ่ สังเกตด้านในเป็นชาวบ้านจำนวนหลายคน ถูกทำร้ายขังอยู่ด้านในกรงเหล็ก
ทั้งสามรอจนกลุ่มคนพวกนั้นเดินผ่านไป ทั้งสามค่อยๆสะกดรอยตาม เกือบสองชั่วยามก็พบเห็นด้านหน้าเป็นค่ายขนาดใหญ่ มีป้อมปราการที่ทำจากไม้ ล้อมรอบไปด้วยกำแพงไม้เช่นกัน ประตูทางเข้าเนี่ยฟงรับรู้ได้ทันทีว่ามีวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ป้องกันเอาไว้ ตลอดช่วงบ่ายเนี่ยฟงและหยางเวยสำรวจรอบๆค่าย พบว่าด้านหลังติดกับหน้าผา เป็นค่ายขนาดใหญ่พอสมควรอีกทั้งยังมีจำนวนคนเกือบร้อย ไม่นานทั้งสองก็หลบออกมาด้านล่าง
“เนี่ยฟงเจ้าจะบุกเลยหรือไม่”
“รอให้ค่ำเสียก่อน ก่อนอื่นต้องให้สัตว์อสูรของเจ้าดึงดูดความสนใจพวกมัน แล้วเราค่อยๆข้ามกำแพงอีกฝั่งเข้าไป ช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับมาเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยๆจัดการจากด้านหลังไป”
ตะวันเริ่มดับแสง ความมืดค่อยๆเข้าปกคลุม ไฟจากตะเกียงเริ่มส่องสว่างในค่าย เสียงดังจากการดื่มสุรามาเป็นระยะๆ ทั้งสองรอจนถึงยามจื่อจึงลงมือ หยางเวยเรียกอสรพิษดำตัวใหญ่ก็ปรากฏออกมา แรงกดดันจากสัตว์อสูรระดับสีส้มกดทับที่ด้านหน้าของค่าย ผู้คนด้านในต่างตื่นตระหนก บางคนตั้งสติได้ก็ร้องเตือนสติพวกพ้อง
“อย่าตื่นตกใจ เพียงแค่สัตว์อสูรระดับสีส้มขั้นต้น พวกเราจัดการได้อยู่แล้ว”
เสียงตะโกนดังมาจากชายสูงวัยที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้า มือขวาถือไหสุราใบใหญ่ เสียงเฮดังลั่น หลายคนรีบเรียกอาวุธมาอยู่ในมือ
“ใครสังหารมันได้ข้ามีรางวัล เป็นหญิงงามที่จับได้วันนี้”
สิ้นเสียงกล่าวของชายผู้เป็นห้วหน้าอีกครั้งเสียงเฮ่ตะโกนดังลั่น มีชายฉกรรจ์หลายต่อหลายคนค่อยๆลุกขึ้นก้าวเดินไปที่ด้านหน้าของค่าย ประตูค่ายค่อยๆเปิดออก ชายฉกรรจ์จำนวนยี่สิบกว่าคนรีบพุ่งทะยานออกไป ไม่ถึงหกลมหายใจก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้านหน้าค่าย หลายคนที่ยังอยู่ในค่ายเริ่มรู้สึกแปลกใจ ไม่ถึงสามลมหายใจประตูค่ายก็ถูกทำลายลง เปรี้ยง อสรพิษดำขนสีแดงด้านหลังพุ่งเลื้อยเข้ามา พิษถูกพ่นออกมา หลายคนหลบไม่ทันเห็นภาพหลอน ร่างกายอ่อนแรงนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น บางคำตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความหวาดกลัว
ปราณดาบ ปราณกระบี่ ปลิวว่อนเข้าหาอสรพิษดำ พื้นที่ด้านหน้ากลายเป็นสนามรบย่อมๆ อีกทั้งยังมีกลุ่มโจรหลายคนเรียกสัตว์อสูรออกมา ส่วนด้านหลัง เนี่ยฟงและหยางเวยช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดได้แล้ว มีจำนวนเยอะพอสมควรเป็นหญิงสาวเป็นส่วนใหญ่ มีผู้ชายไม่ถึงสิบคน แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่เป็นยุทธ สร้างความหนักใจแก่ทั้งสองไม่น้อย วาบแรกเข้ามาในความคิด เนี่ยฟงโบกสะบัดมือขวาเรียกมีดสั้นออกมาถือไว้ในมือ ฟาดฟันดาบออกไปที่กำแพงไม้ เปรี้ยง ปราณดาบสีฟ้ามีประกายสายฟ้าพุ่งทะยานเข้าปะทะ เกิดเสียงดังสนั่น
เคราะห์ดีที่ผู้คนด้านหน้าไม่ได้สนใจเพราะตอนนี้สัตว์อสูรของหยางเวยกำลังอาละวาดอย่างหนัก พวกโจรจึงเตรียมตัวไม่ทัน พิษร้ายฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ทั้งสองค่อยๆลำเลียงคนออกไปด้านนอก หลังจากออกมาได้ไม่นานจึงตัดสินใจกลับไปที่ค่ายอีกครั้ง หยางเวยฟาดฟันมีดอันแปลกประหลาดในมือ ปราณมีดสีม่วงพุ่งเข้าหาสัตว์อสูรรูปร่างกระทิง เปรี้ยง กลายเป็นแสงพุ่งเข้าหาร่างผู้เป็นนาย เนี่ยฟงพุ่งเข้าจัดการในระยะประชิด วาดมีดสั้นผ่านลำคอคนผู้หนึ่งแล้วพุ่งเข้าหาคนผู้หนึ่ง หลันเช่อก็เช่นกันใช้ความรวดเร็วพุ่งเข้าสังหารกลุ่มคนด้านหน้า ติดตามผู้เป็นนายอย่างไม่ลดละ
“บัดซบ จัดการพวกมันก่อน ต้องเป็นพวกมันแน่ที่เรียกอสรพิษตัวนี้มา”
เสียงตะโกนด้วยความโมโหของชายผู้เป็นหัวหน้า ทำให้กลุ่มโจรจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจแก่เด็กหนุ่มทั้งสองและพยัคฆ์ขนสีฟ้า สั่งการให้สัตว์อสูรของตนรับมือกับอสรพิษดำ