บทที่ 65
พยัคฆ์ตัวน้อยเหมือนจะรับรู้ในสิ่งที่ผู้เป็นแม่กล่าวครั้งสุดท้าย มันตัดสินใจเดินมาหยุดที่ด้านหน้าของเนี่ยฟง พร้อมกับหันไปมองซากศพผู้เป็นแม่ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเดินเข้ามาเอาศีรษะถูกับขาของเนี่ยฟง เนี่ยฟงทำได้แต่เพียงยกยิ้มให้เพียงเท่านั้น หลังจากหยางเวยจัดการผ่าแก่นพลังปราณจากสัตว์อสูรทั้งสองเสร็จเนี่ยฟงก็อุ้มพยัคฆ์ตัวน้อยพุ่งออกไป
“เนี่ยฟงเราจะทำอย่างไรต่อไป อีกอย่างเราคงจัดการสิ่งใดไม่ค่อยสะดวกแล้ว ในเมื่อเจ้ามีเจ้าแมวน้อยตัวนี้มาด้วย”
“ทำตามแผนเดิม ส่วนเจ้าหลันเซ่อข้าจัดการเองก็แล้วกัน”
ทั้งสองยังคงไล่ล่าสังหารคนของสำนักกิเลนไฟอย่างต่อเนื่องหยางเวยจู่โจมในระยะประชิดเข้าสังหาร ส่วนเนี่ยฟงจู่โจมในระยะไกลโดยใช้หน้าไม้ บางครั้งหากเจอสัตว์อสูรระดับสูงทั้งสองจะสลับหน้าที่กัน วันเวลายังคงไหลผ่านเข้าช่วงสิบห้าวันสุดท้าย เนี่ยฟงจ้องมองแผนที่อักขระศักดิ์สิทธิ์ในมือ จุดสีฟ้าเริ่มที่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ส่วนจุดสีแดงในแผนที่กลับค่อยๆกระจายตัวล้อมจุดสีฟ้าเองไว้
“เกิดสิ่งใดขึ้นรึเนี่ยฟง”
เนี่ยฟงไม่กล่าวสิ่งใดยื่นแผนที่ให้แก่หยางเวย ทันทีที่หยางเวยก็ตื่นตกใจไม่น้อยหันมามองเนี่ยฟง
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใด ทำไมคนของสำนักกิเลนไฟถึงได้อยู่รุมล้อมคนของสำนักเราได้ จากแผนที่ห่างจากที่เราอยู่ไม่ถึงสิบห้าลี้ ข้าว่าจะไปตรวจดูเสียหน่อย”
ทั้งสองพุ่งทะยานไปตามทิศทางเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย เสียงต่อสู้ค่อยๆดังขึ้นเรื่อย เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง กลุ่มคนของสำนักกิเลนไฟประมาณเก้าคนแต่ละคนมีระดับพลังขั้นสีน้ำตาล ส่วนคนของสำนักพยัคฆ์สายลมมีจำนวนที่มากกว่าเพียงแต่ว่าระดับพลังยังไม่สูงมากพอ ในขณะที่ทั้งสองนั่งจ้องมองอยู่บนกิ่งไม้ ด้านล่างก็มีคนของสำนักพยัคฆ์สายลมถูกทำร้ายลงบ้างแล้ว เสียงหัวเราะชอบใจของสำนักกิเลนไฟดังขึ้นมาเป็นระยะ ชั่วน้ำเดือดทุกอย่างเริ่มมีบางอย่างเปลี่ยนไป เมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มใหม่เข้ามาในบริเวณ กลุ่มที่ว่าไม่ใช่ใครเป็นกลุ่มของศิษย์อันดับหนึ่งในทำเนียบการต่อสู้หลี่จาง พร้อมกับผู้ติดตามอีกหลายคน เนี่ยฟงหันไปกระซิบต่อหยางเวย
“หยางเวยเฝ้ามองฉากการต่อสู้ข้างหน้าให้ดี ข้าว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้มีโอกาสปะทะกับกลุ่มคนพวกนี้”
ปราณดาบและกระบี่ปลิวว่อนไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้ที่มีพลังน้อยกว่าระดับสีน้ำตาลต่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เนี่ยฟงจดจ้องไปที่หลี่จางอย่างไม่วางตา กระบวนท่าที่ใช้ออกเนี่ยฟงจดจำจนขึ้นใจ การต่อสู้ยิ่งนานยิ่งดุเดือดสัตว์อสูรถูกเรียกใช้เพื่อสังหารศัตรูด้านหน้า โฮกกกก เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ เลือดสีแดงสดไหลนองเต็มพื้น ผ่านไปเกือบสองเค่อทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ศิษย์สำนักกิเลนไฟถูกสังหารหมดทั้งเก้าคนเนี่ยฟงและหยางเวยเมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบลงก็หลบหนีออกมาอย่างเงียบเชียบ
“หยางเวยเจ้าคิดว่าเจ้าพอจะรับมือกลุ่มของหลี่จางได้หรือไม่”
“ข้ายังไม่แน่ใจ แต่จากที่มองคนพวกนั้น ยังเหนือกว่าข้าอีกหลายขั้น แต่ท่าหากยื้อการต่อสู้ให้นานขึ้น ข้าว่ามีทางเป็นไปได้ที่จะชนะ ขึ้นอยู่ที่ว่าพิษของข้าจะออกฤทธิ์เร็วแค่ไหน”
“เช่นนั้นช่วงเวลาที่ข้าปิดด่าน เจ้าควรที่จะฝึกควบคุมพิษในปราณของเจ้าให้ดีก็แล้วกัน ช่วงเวลาไหนควรใช้เวลาไหนไม่ควรใช้ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากจะเปิดเผยความสามารถมากเกินไป”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกันพี่ชายเสอไป๋จะช่วยข้าเอง เขากล่าวว่ามีสมุนไพรพิษอยู่ใกล้ที่ที่เจ้าจะปิดด่านฝึกตน ว่าแต่ช่วงเวลาที่ปิดด่านเจ้าจะทำอย่างไรกับพยัคฆ์ตัวน้อย”
หลันเซ่อหันไปมองหยางเวยด้วยหางตา แน่นอนว่าหยางเวยก็สังเกตเช่นกัน จึงหันไปมองหลันเซ่อแล้วทำท่าล้อเลียน หลันเซ่อกระโดดออกจากอ้อมแขนของเนี่ยฟง ข่วนไปที่ใบหน้าของหยางเวย สร้างอารมณ์ขันให้แก่เนี่ยฟงไม่น้อย ช่วงเวลาห้าวันก่อนปิดด้านทั้งสองหาได้ออกไล่ล่าศิษย์สำนักกิเลนไฟอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเป็นไล่ล่าสังหารสัตว์อสูรระดับสีน้ำตาลและสีส้มแทน เพื่อที่จะนำแก่นพลังปราณมาเพิ่มระดับแทน
เนี่ยฟงฟาดฟันดาบสลักรูปมังกรในมืออย่างรวดเร็ว ปราณดาบสีฟ้าที่มีประกายสายฟ้าพุ่งทะยานเข้าหาสัตว์อสูรด้านหน้า ทันทีที่ปราณดาบเข้าปะทะร่าง ปราณฝ่ามือสีม่วงก็พุ่งติดตามออกมา ไม่เว้นแม้แต่หลันเซ่อก็ช่วยต่อสู้ด้วยเช่นกัน สัตว์อสูรมากกว่าสามสิบตัวถูกไล่ล่าสังหารในช่วงเวลาห้าวัน หยางเวยพุ่งทะยานนำเนี่ยฟงลัดเลาะไปตามสันเขาลูกหนึ่งไม่นานก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพโชยมาตามสายลม ด้านหน้าเป็นแอ่งน้ำขนาดไม่ใหญ่มากมีซากศพของสัตว์อสูรหลากหลายชนิดเน่าอยู่แอ่งน้ำรอบแอ่งน้ำมีสมุนไพรมีพิษร้ายจำนวนมากขึ้นเต็มไปหมด ถัดออกไปทางขวามือมีถ้ำขนาดเล็ก เมื่อเข้าไปสำรวจด้านในพบว่าเป็นสถานที่เหมาะพอสมควรที่จะปิดด่าน
หลังจากพูดคุยกันไม่นานเนี่ยฟงก็แยกตัวเข้าไปในถ้ำพร้อมกับหลันเช่อ ส่วนหยางเวยกระโดดเข้าไปนั่งโคจรลมปราณที่ด้านข้างของแอ่งน้ำ ทันทีที่เข้ามาถึงเนี่ยฟงก็โบกสะบัดมือขวา แก่นพลังปราณระดับสีน้ำตาลกว่ายี่สิบก้อนก็ปรากฏออกมา สองลมหายใจต่อมาก็มีประกายสายฟ้าพุ่งออกไปกลายเป็นวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมแก่นพลังปราณไว้ เนี่ยฟงชี้ไปที่แก่นพลังปราณดูเหมือนว่าหลันเซ่อจะเข้าใจ มันรีบพุ่งเข้าไปในวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ ไม่นานมันก็นอนลง เมื่อเห็นเช่นนั้นเนี่ยฟงก็ถอยหลังออกมา นั่งลงกับพื้นโบกสะบัดมืออีกครั้งแก่นพลังปราณระดับสีส้มเกือบสี่สิบก้อนและขวดยาสีขาวนวลก็ปรากฏออกมา
ผ่านไปไม่นานเนี่ยฟงก็จัดการดูดซับพลังปราณจากแก่นพลังปราณและเม็ดยา พลังปราณถูกดูดเข้ามาในร่างกายอย่างรวดเร็ว วูป วูป วูป ชั่วน้ำเดือดเนี่ยฟงก็ปรากฏมาที่ห้องมืดที่เคยเข้ามา ไม่นานชายผู้นั้นที่เคยพบเจอก็ปรากฏตัวด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้พบกันเสียนานดูเหมือนเจ้ากำลังจะตัดผ่านระดับสีส้มแล้ว”
“ขอรับ ข้ามีบางอย่างจะสอบถาม”
“เวลานี้คงไม่เหมาะเจ้ารีบรวบรวมปราณเสียเถอะหากเมื่อใดเจ้าตัดผ่านระดับสีส้มได้เมื่อไรข้าพร้อมที่จะตอบคำถามเจ้าหนึ่งข้อ”
สิ้นเสียงกล่าวชายผู้นั้นแสงสีฟ้าก็พุ่งจากมือขวา พุ่งเข้าหาศีรษะของเนี่ยฟงที่กำลังนั่งโคจรลมปราณอยู่