บทที่ 59
ในขณะที่เปาซือกล่าวตอบก็หันไปมองเพื่อนทางด้านหลัง เมื่อหันกลับมาหนางเวยก็พุ่งเข้ามาประชิด ง้างหมัดขวาต่อยที่ใบหน้าอย่างถนัดถนี่ ใบหน้าสะบัดกระเด็นออกไปทางซ้าย ใบหน้าด้านซ้ายปูดบวมพิษเข้าแทรกซึมสู่ร่างอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสามลมหายใจเปาซือก็นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ศิษย์สำนักกิเลนไฟทั้งสามคนตื่นตกใจไม่น้อย มีสองคนรีบพุ่งเข้ามาหาเปาซือ ทว่าเพียงแค่สัมผัสร่างทั้งสองก็ได้รับพิษติดมาด้วย
“ศิษย์พี่เฉินเจียง ไอ้ลูกหมานั่นมันใช้พิษ”
ชายผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่าถางลู่ ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นก่อนที่จะนอนแน่นิ่งไป ชายที่ถูกเรียกขานว่าเฉินเจียงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองศิษย์สำนักพยัคฆ์สายลมด้านหน้าด้วยความเคียดแค้น
“บัดซบ บังอาจใช้พิษไอ้สารเลวน้อย มอบยาถอนพิษมา”
หยางเวยผายมือทั้งสองออกข้างลำตัว แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เฉินเจียงแทบระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เปรี้ยง ยังไม่ทันที่จะถึงตัวก็ถูกเนี่ยฟงพุ่งออกมาจากด้านข้างต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างถนัดถนี่ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นยังไม่ทันที่จะออกกระบวนท่าใดๆ
“ได้บ้าเนี่ยฟง ข้าคิดว่าเจ้าหนีไปเสียแล้ว ต่อไปจะทำอะไรบอกกล่าวกันก่อน”
“เหอะ บอกแล้วเจ้าจะทำหน้าตาแบบนั้นรึ รีบจัดการและค้นตัวพวกมันเถอะ”
“เจ้าจะให้ข้าถอนพิษให้พวกมันหรือไม่เนี่ยฟง”
“ไม่ต้องมันเมื่อพวกมันคิดจะสังหารข้า ข้าก็จะสังหารพวกมัน”
“ได้ ขอรับคุณชายเนี่ยฟง”
หลังจากจัดการสังหารศิษย์สำนักกิเลนไฟทั้งสี่ เนี่ยฟงและหยางเวยก็ได้ทำลายซากศพ โดยเนี่ยฟงเทผงบางอย่างไปที่ศพไม่นานก็หลอมละลายหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก
“เจ้ามีของเช่นนั้นด้วยรึเนี่ยฟง”
“ข้าปรุงมันขึ้นมาเอง”
“บัดซบ เจ้ามีอะไรให้ข้าได้แปลกใจอยู่เสมอ”
“ของที่ยึดมาเจ้าเก็บรักษาไว้ก็แล้วกัน รีบไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าว่าพวกมันคงทำอะไรบางอย่างกับม่านอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นพวกมันจะมาดักคอยเราได้อย่างไร”
หลังจากตรวจสอบพื้นที่อีกรอบไม่ลืมที่จะฝ่านำแก่นพลังปราณออกจากสัตว์อสูรลิงทั้งสี่ เมื่อจัดการเสร็จสิ้นทั้งสองก็พุ่งทะยานออกไปทางขวามือ ทั้งสองกระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ ไม่ถึงสองเค่อเนี่ยฟงก็ยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณหยุด หลังจากนั้นเนี่ยฟงก็ชี้มือขวาไปทางด้านขวามือของตน ฝูงสัตว์อสูรหมูป่าจำนวนแปดตัวกำลังล้อมคนของราชสำนักห้าคนเอาไว้ ในห้าคนนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด ส่วนระดับพลังมีสองคนอยู่ในระดับสีน้ำตาลขั้นต้น ส่วนอีกสองอยู่ในระดับสีม่วงขั้นกลาง
ไม่นานก็เกิดการปะทะกันขึ้น คนของราชสำนักสองคนใช้หอกสองคนรีบจ้วงแทงหอกในมือสกัดกั้นสัตว์อสูรหมูป่าสองตัวที่พุ่งเข้ามา ส่วนที่เหลือฟันดาบออกมาเพื่อสังหาร ทั้งห้าทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี ไม่นานก็จัดการฝูงสัตว์อสูรหมูป่าลงได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเนี่ยฟงและหยางเวยก็พุ่งทะยานออกไปต่อ
“ไอ้หนูข้าสัมผัสบางอย่างด้านในป่าแห่งนี้”
“มันคือสิ่งใดขอรับท่านลุ่ยกง”
“ข้าไม่แน่ใจ มันอยู่ด้านในของป่า”
“เช่นนั้นท่านบอกทางมาเถอะขอรับ”
“มุ่งหน้าไปทางซ้ายมือ”
เนี่ยฟงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนทิศทางทันที เป็นหยางเวยต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เกิดสิ่งใดขึ้นเนี่ยฟง”
“ข้าสัมผัสบางอย่างได้ เราไปสำรวจกัน อาจจะเป็นสมบัติที่เจ้าเฝ้าตามหาอยู่ก็เป็นได้”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอให้มันจริงอย่างที่เจ้ากล่าวมาเถอะ”
ทั้งสองพุ่งทะยานไปตามกิ่งไม้เช่นเดิมผ่านไปเกือบชั่วยามก็ได้ยินเสียงร้องคำรามดังออกมาจากทางซ้ายมือ ทั้งสองก็หยุดอยู่บนกิ่งไม้
“เนี่ยฟงเราจะไปดูหรือไม่”
“ไม่ต้อง รีบไปเถอะข้าว่ามันต้องอยู่ใกล้ๆเราแล้ว”
ตลอดทางที่ทั้งสองพุ่งทะยานไปตามกิ่งไม้ เสียงร้องคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้นเป็นระยะๆ ในที่สุดก่อนค่ำทั้งสองก็พบกับซากปรักหักพังของบางอย่างกระจายเต็มพื้น ทั้งสองจึงตัดสินใจพักที่นี่กันก่อน ทั้งสองยังคงนอนบนกิ่งไม้เช่นเดิมส่วนอาหารทั้งสองจัดเตรียมมาในแหวนแล้ว รุ่งเช้าอรุณเริ่มทอแสงอีกครั้ง ทั้งสองก็มุ่งหน้าออกเดินทาง ไม่ถึงสองเค่อทั้งสองก็พบกับปราสาทขนาดใหญ่ สภาพของมันถูกทำลายตามกาลเวลามีบางส่วนถูกทำลายลงไปบ้างแล้ว ทั้งสองจึงตัดสินใจลงจากกิ่งไม้ไปสำรวจ
ทันทีที่ลงมาถึงเนี่ยฟงก็สัมผัสบางอย่างได้ หลังจากนั้นก็พุ่งทะยานเข้าไปด้านในของปราสาท ด้านในถูกทำลายลงไปบ้างแล้วแต่ยังมีบางส่วนคงสภาพอยู่ ทั้งสองสำรวจอยู่นานในที่สุดเนี่ยฟงก็พบบางอย่าง ด้านหลังเป็นประตูหินขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายแปลกประหลาด
“ท่านลุ่ยกง เคยพบเห็นแบบนี้หรือไม่ขอรับ”
“เคยพบเห็นเมื่อนานมาแล้ว มันคือประตูเชื่อมไปอีกที่หนึ่งโดยใช้วงอักขระศักดิ์สิทธิ์ ในอดีตเผ่ามนุษย์เริ่มมีการใช้อักขระศักดิ์สิทธิ์กันมากขึ้น และแต่คนมีความเก่งกาจกว่าตอนนี้มากนัก ข้าไม่แน่ใจว่ามันจะเชื่อมที่ไหน”
เนี่ยฟงโบกสะบัดมือขวา ประกายสายฟ้าพุ่งออกไปที่ประตูหินหลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฏวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงขึ้นมา เนี่ยฟงค่อยๆส่งพลังปราณเข้าไปแก้ตัวไขอักษรด้านในผ่านไปเกือบสองเค่อก็ค่อยๆกลายเป็นสีฟ้าทั้งหมด หยางเวยจ้องมองเนี่ยฟงอย่างไม่วางตา ทันทีที่วงอักขระศักดิ์สิทธิ์หายไปเนี่ยฟงก็รีบนั่งลงกับพื้นโคจรลมปราณฟื้นฟูพลังปราณที่เสียไป ไม่ถึงหนึ่งเค่อเนี่ยฟงก็ลืมตาขึ้น
“มันคือสิ่งใดกันเนี่ยฟง”
“มันคือประตูทางเชื่อมไปยังอีกทีหนึ่ง แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน เจ้าสนใจไปสำรวจกับข้าหรือไม่ แน่นอนว่ามันยังไม่มีผู้ใดเคยเข้าไป”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางเวยรีบพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาถู เนี่ยฟงที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็หัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็โบกสะบัดมือขวาอีกครั้ง ประกายสายฟ้าก็พุ่งไปที่ประตูหินอีกครั้ง ไม่นานก็เกิดเป็นวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีฟ้า เนี่ยฟงรีบเดินเข้าไปในประตูพร้อมกับหยางเวยเดินตามเข้าไปติดๆ ทั้งสองโผ่ลมาอีกที่หนึ่งด้านหน้าเป็นภูเขาหินขนาดใหญ่มีช่องทางเข้าด้านหน้า เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปสำรวจด้านในพบว่าเป็นเพียงห้องขนาดใหญ่ ไม่มีสิ่งใดอยู่ด้านในแล้วหลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาด้านนอก
ไม่ถึงสามลมหายใจที่ออกมาทั้งสองก็ได้รับแรงกดดันของพลังปราณขั้นสีส้ม ที่มาพร้อมกับกลิ่นเหม็นสาบฉุนขึ้นจมูก เสียงขู่ดังฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ แววดังเข้ามาในโสตประสาท หยางเวยยืนตัวสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว เป็นเนี่ยฟงที่แสยะยิ้ม หลังจากนั้นก็หันไปมองหยางเวย
“หยางเวยเจ้าไหวหรือไม่ เห็นทีเราจะเจอสัตว์อสูรระดับสีส้มเสียแล้ว”
“พอไหวอยู่”