บทที่ 88 คงมาส่งเครื่องบินให้พวกเรามั้ง
“อันที่จริงฉันเองก็เป็นสมาชิกของ ‘เที่ยเจียง’ เหมือนกัน พี่ใหญ่เที่ยชานดีกับฉันมาก…เขาคาดหวังว่าจะให้ฉันเข้ามาแทนตำแหน่งของหวงจี้ รวมทั้งเรื่องที่มันเองก็สนใจในตัวเมี่ยวถงแต่เธอดันมาอยู่กับฉันแทนที่จะเป็นมัน…ดังนั้นหวงจี้จึงอยากจะกำจัดฉันมาโดยตลอด แต่ถ้าหากฉันถูกหวงจี้กำจัดลงจริงล่ะก็...พี่เที่ยชานก็คงจะไม่ว่าอะไรมันหรอก ชีวิตภายในแก๊งค์...เรื่องแค่นี้ต้องรู้อยู่แล้ว”
“คิดไปคิดมา...ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนที่พี่ใหญ่เที่ยเมาแล้วบอกว่าอยากสนับสนุนให้ฉันเป็นผู้สืบทอดเป็นความจงใจหรือเปล่า…เพื่อทดสอบว่าฉันจะรอดจากเงื้อมมือของหวงจี้ได้หรือไม่ ถ้าฉันตายก็หมายความว่ามีคุณสมบัติไม่พอ แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นฉันก็ไม่โทษเขาหรอก ในเมื่อเลือกเดินเส้นทางนี้ก็ต้องยอมรับเรื่องพวกนี้ให้ได้”
อู่เสวียหมินราวกับทั้งกำลังปลอบยู่เมี่ยวถงและอธิบายเรื่องราวให้เย่โม่ฟังไปในตัวด้วยจึงได้หาเรื่องมาพูดแบบนี้ ทว่าตอนนี้สายตาของเขากลับมองไปยังเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นที่ลงจอดอยู่ตรงพื้นโล่งๆ ไม่ไกลจากรถของพวกเขา
เย่โม่แอบถอนใจ เขาไม่เข้าใจความคิดของอู่เสวียหมินจริงๆ...ถึงกับเต็มใจยอมเป็นหมากให้คนอื่นใช้งาน หากเป็นเขาล่ะก็...เขาไม่มีทางยอมให้เที่ยชานใช้เป็นหมากแบบนี้แน่ ต่อให้การชนะนั้นหมายถึงการได้รับตำแหน่งต่อจากหวงจี้ก็ตาม ดูเหมือนว่าชื่อ ‘เที่ยสั่วเหินเจียง’(โซ่เหล็กพาดแม่น้ำ) จะตั้งได้อย่างเหมาะสมจริงๆ แต่ในมุมมองของเย่โม่แล้ว…ด้วยนิสัยของอู่เสวียหมินแล้วเขาไม่เหมาะกับพวกแก๊งค์ใต้ดินแบบนี้เลย
อยู่ๆ อู่เสวียหมินก็หันมาขอร้องเย่โม่ “น้องเย่ ฉันขออะไรสักอย่างสิ อีกสักพักฉันจะรั้งพวกมันไว้ให้ นายช่วยพายู่เมี่ยวถงหนีที ฉันไม่อยากให้ยู่เมี่ยวถงตกอยู่ในกำมือของไอ้เดรัจฉานหวงจี้!”
เมื่อได้ยินคำของอู่เสวียหมิน ยู่เมี่ยวถงคว้ามือของอู่เสวียหมินทันที “ไม่! เสวียหมิน ต่อให้ต้องตายฉันก็จะไม่จากนายไปไหน!”
เย่โม่ส่ายหัว “พี่เสวียหมิน คงไม่ได้หรอก พี่ดูสิ...”
วันนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ 5 คน แถม 1 ในนั้นยังถือปืนกลมือเอาไว้ด้วย ส่วนอีก 4 คนที่เหลือถือปืนไรเฟิล ไม่เพียงเท่านั้น...บนหัวของพวกเขายังสวมด้วยหมวกป้องกันกระสุน เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าแล้วแววตาของอู่เสวียหมินก็หม่นลง เขารู้ว่าถึงยังไงวันนี้เขาก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้
แต่เย่โม่กลับไม่คิดจะสนใจปืนในมือของคนเหล่านี้ มีแค่ 5 คนเท่านั้น...เขาไม่เห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตา สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นตัวเฮลิคอปเตอร์ เขาคิดในใจว่าหากมีเฮลิคอปเตอร์ล่ะก็...เขาน่าจะสามารถขับออกไปให้ไกลได้ในทันทีเลย
เย่โม่หันกลับมามองอู่เสวียหมินที่หน้าถอดสีอย่างกะทันหันแล้วพูดว่า “พี่อู่ไม่ต้องกังวลไป รอพวกมันมาแล้วค่อยว่ากันอีกที บางทีคนพวกนี้อาจจะมาส่งเฮลิคอปเตอร์ให้เราก็ได้”
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเวลานี้เย่โม่ยังจะมีอารมณ์เล่นมุขอีก แต่อู่เสวียหมินกลับพยักหน้า ปืนพกในมือของเขามีกระสุนอยู่แค่ 4 นัดเท่านั้น ถ้าเขาจะใช้ 2 นัดฆ่าตัวตายล่ะก็...นั่นก็หมายความว่าเขาเหลือกระสุนเพียงแค่ 2 นัดในการเข้าปะทะกับชาย 5 คนนี้ และบางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้ด้วยซ้ำ
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันนั้นเอง ชายทั้ง 5 คนก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าพวกเย่โม่ทั้ง 3 คนด้วยความรวดเร็วเพื่อล้อมกรอบรถของพวกเขาเอาไว้
เย่โม่เปิดประตูออกช้าๆ แล้วก้าวลงมาจากรถ จิตสัมผัสของเขาเองก็กำลังตรวจสอบคนพวกนี้อยู่ หากนิ้วของพวกมันลั่นไกเมื่อไหร่เขาก็จะลงมือฆ่าทันที ด้วยเหตุที่ว่าเขาขับเฮลิคอปเตอร์ไม่เป็น...นั่นทำให้อย่างน้อยก็ต้องเหลือคนขับไว้สักคน
เมื่อเห็นเย่โม่เดินลงจากรถไป อู่เสวียหมินก็ถอนหายใจออกมา เขาเองก็เดินจูงมือยู่เมี่ยวถงลงจากรถเช่นกัน
“พี่ไป๋ชา (ฉลามขาว) มีเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ทำยังไงดี?” เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นเพิ่มขึ้นมาแบบนี้
“พาพวกอู่เสวียหมินทั้ง 2 คนไป ส่วนคนที่เหลือก็กำจัดทิ้งซะ” ชายที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างเด็ดขาด
เวลานี้เองที่เย่โม่เปิดปากพูด “อย่าเพิ่งพูดเรื่องฆ่ากันเลย พวกนายในนี้ใครเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์?” หัวหน้าอย่างไป๋ชาที่ได้ยินคำพูดของเย่โม่ก็ห้ามลูกน้องที่เตรียมจะยิงไว้ “ฉันเอง ถามเรื่องนี้ทำไม?”
“อ้อ…ผมอยากจะช่วยชีวิตเขาน่ะ” พูดจบมือของเย่โม่ก็โบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง เสียงหวีดหวิวของสายลมดังขึ้นข้างหูของคนเหล่านั้น ตะปูเหล็กทั้ง 4 ตัวพุ่งทะลุลำคอของคนที่เหลืออยู่นอกจากตัวไป๋ชา ลูกน้องแก๊งค์มาเฟียพวกนี้สำหรับเย่โม่แล้วไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามอะไร ต่อให้ในมือมีปืนก็ยังไม่ถือว่าคู่ควร
อั่ก...อั่ก... ชายทั้ง 4 คนซึ่งถือปืนอยู่ในมือล้วนต้องการยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง แต่ก็ต้องพบว่าพวกเขาไม่มีแรงแม้แต่จะยกมือขึ้น เพียงพริบตาเดียวชายทั้ง 4 ก็ลงไปนอนกองกับพื้น
ไป๋ชามองไปยังภาพตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง ยังไม่ทันที่เขาจะได้สติกลับมาปืนกลมือ AK ในมือของเขาก็ถูกชายหนุ่มตรงหน้าที่เพิ่งจะถามคำถามกับเขาคว้าไปเสียแล้ว
“นาย...” เวลานี้เองที่อู่เสวียหมินเพิ่งจะตั้งสติกลับมาได้ เขามองไปยังเย่โม่ด้วยอาการสับสนมึนงง เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มที่โบกมือเรียกรถเขากลางถนนในตอนนั้นจะกลายเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวระดับนี้ แววตาของอู่เสวียหมินสว่างวาบพร้อมกับเข้าใจเรื่องราวในทันที...เย่โม่เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจระดับตำนานเลยทีเดียว
“แกเป็นใคร!? กล้ามาสอดเรื่องของพวกเรา ‘เที่ยเจียง’! แก...” พูดถึงตรงนี้ไป๋ชาก็เหมือนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่เพียงสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของ ‘เที่ยเจียง’ เขาทำแม้กระทั่งฆ่าคนของพวกเขาไปแล้วด้วยซ้ำ!
เวลานี้เองยู่เมี่ยวถงก็เข้าใจแล้วเช่นกันถึงความเก่งกาจของเย่โม่ เธอประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าอู่เสวียหมินเลย
เย่โม่หันกลับมาพูดกับอู่เสวียหมินที่ยังคงตกตะลึงไม่หาย “พี่อู่ พวกพี่ไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก่อนเถอะ เรื่องตรงนี้ผมจัดการแปปนึง”
อู่เสวียหมินเองก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถามอะไรต่อมิอะไร เขารีบพายู่เมี่ยวถงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทันที ทั้งที่ในใจเขายังไม่หายตกตะลึงด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าพวกของอู่เสวียหมินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว…เย่โม่ก็หันกลับมามองไป๋ชา “เอาคนพวกนี้ทิ้งไว้ในรถแล้วเผาพวกมันซะ ผมจะนับถึง 10 ถ้านายยังทำไม่เสร็จก็เตรียมตัวเข้าไปในรถพร้อมๆ กันเลย”
คำพูดนี้ของเย่โม่ทำให้ไป๋ชาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน...เป็นพวกที่พร้อมจะฆ่าเหมือนกับพวกเขา กระทั่งว่าเหี้ยมโหดกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องเผารถ...สำหรับไป๋ชาแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เขารีบลากศพทั้ง 4 ยัดเข้าไปในรถแล้วฉีกเสื้อที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน จากนั้นก็จุดไฟเผารถทันที
“เก็บปืนบนพื้นมาด้วยแล้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ซะ!” เย่โม่พูดเสียงเย็น
เมื่อได้ยินคำสั่งให้เก็บปืนขึ้นมา…ไป๋ชาก็รู้สึกยินดี ไอ้หนุ่มคนนี้ให้เขาเก็บปืนขึ้นมา!
“เชื่อไหมว่าก่อนนายจะได้ลั่นไก...ผมฆ่านายได้เป็นร้อยรอบ” เย่โม่ราวกับล่วงรู้ความคิดของไป๋ชา คำพูดของเย่โม่ทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยียบ เขาเก็บปืนขึ้นมาโดยไม่กล้าเล่นตุกติกอะไรอีก
ตอนที่เย่โม่และไป๋ชาเดินมาถึงเฮลิคอปเตอร์นั้น รถ SUV คันที่เย่โม่โดยสารมาก็ระเบิดขึ้น ตรงจุดนี้ยังถือว่าห่างจากเมืองเล็กข้างหน้าอีกไกล…ถึงแม้การระเบิดจะทำให้เกิดเสียงดังแต่ก็ไม่มีใครผ่านมาเลย
อู่เสวียหมินและยู่เมี่ยวถงนั่งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์กันเรียบร้อยแล้ว แต่อู่เสวียหมินกลับขึ้นมานั่งอยู่ตรงโซนคนขับ ทั้ง 2 มองเย่โม่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
เย่โม่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พี่อู่ขับเฮลิคอปเตอร์เป็นด้วยหรือ?”
อู่เสวียหมินพยักหน้า “ขับได้ ให้ไป๋ชาเป็นคนขับฉันรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ ตอนที่ยังอยู่ในแก๊งค์ก่อนหน้านี้ฉันก็เป็นคนขับมาก่อน”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…นายก็หมดประโยชน์แล้วล่ะ” เย่โม่หันมามองไป๋ชา
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ ไป๋ชาไหนเลยจะไม่รู้ว่าเย่โม่คิดจะฆ่าเขาแล้ว เขารีบร้อนพูดขึ้น “อย่าฆ่าผมเลย! ผมยังมีประโยชน์!”
“หืม...ถ้างั้นนายก็ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พูดจบเย่โม่ก็หันกลับมาพูดกับอู่เสวียหมิน “พี่อู่ ออกเครื่องเถอะ”
“ได้! แล้วจะไปไหนล่ะ?” อู่เสวียหมินเมื่อเห็นว่าเย่โม่ขึ้นมาแล้วก็ขับขึ้นฟ้าทันที
เย่โม่คิดสักพัก “ถ้าหวงจี้ตายแล้ว…พี่อู่ยังต้องหนีอยู่อีกหรือเปล่า?”
“ถ้าหวงจี้ตายฉันก็ไม่จำเป็นต้องหนีอีก คนที่อยากฆ่าฉันก็คือหวงจี้ ไม่ใช่...” อู่เสวียหมินชะงักไป เขามองเย่โม่แล้วพูดอย่างตะกุกตะกัก “น้องเย่ นายคงไม่ได้หมายความว่า...”
เย่โม่ยิ้มบางๆ “ใครใช้ให้พวกเรามีวาสนาต่อกันเล่า ผมก็แค่อยากจะช่วยฆ่าหวงจี้ อีกอย่างผมยังมีเรื่องที่อยากให้พี่ช่วยอยู่” ที่เย่โม่พูดมานั้นไม่ผิด สาเหตุที่เขาต้องการช่วยอู่เสวียหมินฆ่าหวงจี้นั้น...ข้อแรกคือเขารู้สึกว่าอู่เสวียหมินเป็นคนที่ใช้ได้ไม่เลว สามารถคบค้าสมาคมด้วยได้ ส่วนเหตุผลอีกข้อคือถ้าอู่เสวียหมินได้ถือครองอำนาจภายใน ‘เที่ยเจียง’ ล่ะก็…ยังไงนั่นก็ส่งผลดีต่อการหลบหนีของเขา ไม่มีข้อเสียอื่นใด
“ปรมาจารย์ ถ้าอยากฆ่าหวงจี้ล่ะก็ผมช่วยได้นะ” อยู่ไป๋ชาก็พูดขึ้นอย่างกะทันหัน
เย่โม่มองไป๋ชาด้วยสายตาเย็นชา ชายคนนี้ถือว่าฉลาดเฉลียวไม่เลว ที่เขาปล่อยไว้ไม่ฆ่าจนถึงตอนนี้ก็เพราะเขาคิดจะให้ไป๋ชาไปช่วยฆ่าหวงจี้อยู่แล้ว