ตอนที่แล้วบทที่ 86 ออกจากหนิงไห่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 88 คงมาส่งเครื่องบินให้พวกเรามั้ง

บทที่ 87 ถูกสะกดรอย


กริ้งงงงงงง  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  เป็นโทรศัพท์ของยู่เมี่ยวถงนั่นเอง  เธอรับสายแต่กลับไม่มีเสียงทักทายดังขึ้นมาเลย

ขณะที่เธอกำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั่นเอง  อู่เสวียหมินก็หน้าเปลี่ยนสีทันที  “รีบปิดโทรศัพท์เร็ว!”

ยู่เมี่ยวถงปิดโทรศัพท์ลงด้วยความสับสน  เธอมองอู่เสวียหมิน  “มีอะไรหรือเปล่า?  เสวียหมิน”

“ตอนนี้ตำแหน่งของพวกเราคงถูกพวกมันรู้แล้ว  คาดว่าไม่เกิน 2 นาทีนี้พวกมันคงรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน”  สีหน้าของอู่เสวี่ยหมินดูลำบากใจ

“อา!  แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี?  แต่เบอร์โทรก็เพิ่งเปลี่ยนใหม่ไม่มีใครรู้นะ  พวกเขารู้ได้ยังไง?”   ยู่เมี่ยวถงมีสีหน้าตื่นตกใจ  หน้าของเธอถอดสีทันที  เย่โม่มองสีหน้าของยู่เมี่ยวถงก็รู้แล้วว่าคนที่พวกเขามีเรื่องด้วยคงร้ายกาจน่าดู  ไม่งั้นคงไม่ตกใจกลัวขนาดนี้

“ก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนเบอร์เธอได้โทรไปหาไต้ชานหรือเปล่า   คิดว่าข้อมูลคงหลุดมาจากตรงนั้นแหละ”  ถึงแม้อู่เสวียหมินจะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก  แต่เขาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว

“เป็นไปได้ไง!  ไต้ชานกับฉันสนิทกันเหมือนพี่น้องเลยนะ  เธอจะทำแบบนั้นได้ยังไง?”  ยู่เมี่ยวถงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“บนโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก  ถึงไต้ชานจะสนิทกับเธอมาก  แต่ต่อหน้าความตายกับคุณธรรมแล้วจะมีสักกี่คนที่กล้าพอจะยืนหยัดได้เล่า?  ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้แล้ว  พวกเราควรเอาเวลามาคิดว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไงกันดีมากกว่า”  อู่เสวียหมินใจเย็นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

เย่โม่เมื่อเห็นว่าอู่เสวียหมินรับมือกับปัญหาได้อย่างมีสติก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมเข้าไปอีก  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ควรจะเผชิญหน้าแก้ไข…ไม่ใช่เอาแต่บ่น

“น้องเย่  ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่นายคงต้องลงตรงนี้แล้วล่ะ  เรื่องจริงก็คือพวกเราเองก็กำลังถูกตามล่าหมายหัวเช่นกัน  แต่คนที่พวกเรามีเรื่องด้วยนั้นร้ายกาจกว่าของนายมาก  ตอนนี้พวกเราถูกมันล็อคเป้าแล้ว  คิดว่าอีกไม่นานคงตามหาพวกเราจนเจอ  ถ้ายังอยู่บนรถนายจะมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเปล่าๆ”  อู่เสวียหมินมีสีหน้าขอโทษขอโพย  เขามองไปยังยู่เมี่ยวถงแวบหนึ่งด้วยความกังวลใจ

ยู่เมี่ยวถงเองก็สงบสติอารมณ์ลงแล้วเช่นกัน  เธอเห็นความกังวลใจของอู่เสวียหมินแล้ว  แต่เธอกลับยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย  “เสวียหมิน…มีอะไรน่ากังวลกันเล่า  หรือพวกมันยังห้ามไม่ให้พวกเราตายด้วยกันได้?”

ทว่าคำพูดของยู่เมี่ยวถงกลับไม่ทำให้อู่เสวียหมินรู้สึกเบาใจลงเลย  เขาพูดเสียงต่ำ  “ขอโทษนะเมี่ยวถง  ฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับปกป้องผู้หญิงของตัวเองไม่ได้...”

พูดจบอู่เสวียหมินก็หยุดรถลง  เย่โม่เข้าใจความหมายของอู่เสวียหมินว่าอยากให้เขาลงจากรถ

จริงๆ แล้วในมุมมองของเย่โม่นั้น…ลงรถตรงจุดนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว  ปัญหาของเขาก็เยอะพออยู่แล้ว   ไม่คิดว่าแค่โบกมือเรียกรถสักคัน...เจ้าของรถก็ดันประสบปัญหาแบบเดียวกันกับเขาเสียนี่  แต่ถ้าเขาลงตรงนี้ก็คงไม่อาจสงบใจได้  เขาไม่ใช่คนไร้เมตตาอะไร

ตอนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ...แค่โบกมือเรียกอีกฝ่ายก็มาช่วยแล้ว  มาตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายประสบปัญหา...ถ้าเขาปัดก้นแล้วเดินจากไปล่ะก็...ไม่ว่าจะพูดยังไงเย่โม่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อเห็นว่าเย่โม่ขมวดคิ้วไม่ลงจากรถเสียที  อู่เสวียหมินก็เร่ง  “น้องเย่  รีบลงจากรถเถอะ  อิทธิพลอำนาจของพวกมันยิ่งใหญ่มาก  บางทีอีกไม่นานพวกมันคงตามมาทันแล้ว  หรือไม่ตอนนี้อาจจะกำลังขวางทางพวกเราอยู่ก็ได้”

เย่โม่ยิ้มบางๆ  “ถึงผมจะไม่รู้ว่าพี่อู่ไปมีเรื่องกับใครมา…แต่ผมก็อยากจะอยู่ช่วยเหลือสักหน่อย  ถึงยังไงก่อนหน้านี้พี่ก็ช่วยผมไว้  ถ้าไม่ช่วยกลับผมคงไม่อาจสงบใจได้  มีคนเพิ่มขึ้นมาก็ยิ่งมีโอกาสรอด  หวังว่าพี่อู่จะไม่ถือสา”

อู่เสวียหมินมองเย่โม่แวบหนึ่ง  จากนั้นจึงถอนหายใจ  “ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงไปมีเรื่องกับพวกข้าราชการได้  นิสัยแบบนี้...ถ้าไม่มีเรื่องกับคนอื่นสิถึงจะแปลก  แต่ฉันชื่นชมนิสัยของนายแบบนี้มาก  น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสได้ดื่มกับนายสักแก้ว  น้องเย่...คนที่ฉันไปมีเรื่องด้วยนั้นไม่ใช่คนธรรมดา  ยิ่งไม่ใช่คนที่นายจะเอาพวกข้าราชการพวกนั้นไปเปรียบเทียบได้  เรื่องพวกนี้นายไม่เข้าใจ...และฉันเองก็ไม่คิดจะอธิบายให้นายฟังหรอกนะ  รีบลงจากรถไปเถอะ”

เมื่อเห็นว่าอู่เสวียหมินยังคงยืนกราน  เย่โม่ก็รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอีก  จึงได้แต่พูดว่า  “ในเมื่อเป็นแบบนี้…พี่อู่  เมืองถัดไปคือเมืองอะไร?”

“เมืองเจียโหมว  เป็นเมืองเล็กๆ ถึงขับรถไปจะใช้เวลาแค่ 20 นาที  แต่เดินไปก็คงไกลหน่อยนะ”  อู่เสวียหมินคิดว่าเย่โม่คงอยากจะเดินไปเมืองข้างหน้าเพื่อพักผ่อน  จึงแนะนำให้อย่างคร่าวๆ

“งั้นก็ดี  พี่อู่ส่งผมลงตรงเมืองนั้นก็พอแล้ว  พอถึงที่นั่นเมื่อไหร่ผมจะหารถเอง  พี่อู่คงจะไม่ปฏิเสธอีกหรอกนะ”  เย่โม่ยิ้มบางๆ

“เฮ้อ...แค่ 20 นาทีพวกมันก็คงตามเราเจอแล้ว  ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจะช่วยนายอีกสักครั้งก็แล้วกัน   พวกเราจะไปทางถนนเส้นเล็ก  ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะหนีรอดก็ได้”  พูดจบอู่เสวียหมินก็หันรถ  ไม่นานก็ขับเข้ามาบนถนนเล็กๆ เส้นหนึ่ง  ถึงจะเป็นถนนเส้นเล็กแต่อู่เสวียหมินนกลับยิ่งเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นไปอีก

นับตั้งแต่ตอนที่ยู่เมี่ยวถงรับโทรศัพท์ก็ผ่านมา 20 นาทีแล้ว  เมื่อมองออกไปทางกระจกหน้าก็สามารถมองเห็นแสงไฟจากเมืองเล็กได้ไกลๆ  ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงลมแรงดังขึ้นอย่างกะทันหัน  อู่เสวียหมินหยุดรถทันที  เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่สีหน้ากลับยิ่งไม่สู้ดี

เย่โม่พยักหน้าน้อยๆ  มิน่าอู่เสวียหมินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว  เขามีเหตุผลให้หวาดกลัวอยู่...อำนาจของคนพวกนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ แล้ว  แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ยังหามาได้  เสียงลมที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันคงเป็นเสียงจากใบพัดของเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง

“ขอโทษนะน้องเย่…พวกเราลากนายมาเอี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะ  ตอนนี้คิดจะหนีก็คงหนีไม่ได้แล้ว   พวกมันพบตัวพวกเราแล้ว  ถ้าตอนนี้นายหนีไปคนเดียวก็อาจจะไม่รอด”  อู่เสวียหมินพูดจบก็ไม่สนใจเย่โม่อีก  เขาจับมือของยู่เมี่ยวถงไว้แน่น  ในแววตาปรากฏความกังวลและเจ็บปวดออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เสวียหมิน  อย่ากังวลไปเลย  แค่พวกเราได้อยู่ด้วยกันเท่านั้นก็พอแล้วล่ะ  เขาห้ามไม่ให้พวกเรามีชีวิตอยู่ร่วมกันได้  แต่ไหนเลยจะห้ามไม่ให้พวกเราตายด้วยกันได้”  เวลานี้ยู่เมี่ยวถงกลับไม่กังวลใจแม้แต่น้อย

“ก่อนตายฉันจะลากพวกมันไปด้วย 2 คน!”  เสียงของอู่เสวียหมินเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต   ขณะเดียวกันก็หยิบปืนพกใต้ที่นั่งขึ้นมาถือ  รวมถึงหยิบมีดเล่มหนึ่งส่งให้เย่โม่  “อันนี้ให้นายไว้ป้องกันตัว”

เย่โม่ยิ้มบางๆ พลางโบกมือ  “ไม่จำเป็น  ผมมีของป้องกันตัวเองอยู่แล้ว”

เดิมทีแล้วอู่เสวียหมินเพียงรู้สึกผิดที่ลากเย่โม่เข้ามาเกี่ยวด้วย  ทว่าเวลานี้เขากลับมองเย่โม่ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป  อีกฝ่ายขนเฮลิคอปเตอร์มาแบบนี้..เย่โม่ไม่มีทางไม่รู้ว่าศัตรูของพวกเขาร้ายกาจแค่ไหน  แต่เย่โม่กลับยังสงบนิ่งอยู่ได้  เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน

คิดถึงตรงนี้อู่เสวียหมินก็พูดขึ้น  “น้องเย่  นายรู้จัก ‘เที่ยเจียง’(แม่น้ำเหล็ก)หรือเปล่า?”

เย่โม่ส่ายหัว  เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

อู่เสวียหมินพูดต่อ  “นายไม่เคยได้ยินชื่อเที่ยเจียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  นั่นเพราะนายไม่ใช่คนในโลกฝั่งนั้น  ‘เที่ยเจียง’ คือแก๊งค์ในแผ่นดินใหญ่เพียงแก๊งค์เดียวที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘หนานชิง’  ถึงแม้พวกมันจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า ‘หนานชิง’ แต่ก็สามารถอยู่เป็นเอกเทศจาก ‘หนานชิง’ ได้  อาจจะเรียกได้ว่าพวกมันเป็นแก๊งค์ใต้ดินอันดับ 1 ในแผ่นดินใหญ่  นั่นเพราะอำนาจตอนนี้ของ ‘หนานชิง’ ไม่จำกัดอยู่แค่แผ่นเดินใหญ่…อำนาจของพวกมันแพร่กระจายไปสู่ประเทศข้างนอกแล้ว”

“‘เที่ยเจียง’ ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้เพราะบอสของพวกมันที่ชื่อเที่ยชาน  เที่ยชานคนนี้มีชื่อเล่นว่า ‘เที่ยสั่วเหิงเจียง’ (โซ่เหล็กพาดแม่น้ำ)ชื่อของแก๊งค์ ‘เที่ยเจียง’ ก็มาจากชื่อเล่นของเขานี่เอง  คนที่ฉันมีเรื่องด้วยนับได้ว่ามีอำนาจอยู่เป็นอันดับที่ 3 ภายในแก๊งค์  มันชื่อว่าหวงจี้...แค่เห็นว่ามันเอาเฮลิคอปเตอร์ออกมาไล่ล่าอย่างเปิดเผยได้แบบนี้  นายคงเข้าใจแล้วว่ามันมีอำนาจขนาดไหน  ภายในแก๊งค์ ‘เที่ยเจียง’ นั้นนอกจากเที่ยชานและรองหัวหน้าแก๊งค์ที่ไม่เคยเปิดเผยตัวแล้ว...หวงจี้คนนี้ก็ถือว่ามีอำนาจสูงที่สุด”

“ถึงแม้อำนาจจริงๆ ของหวงจี้จะไม่อาจนับได้ว่าเป็นอันดับที่ 3 อย่างแท้จริง…แต่เรื่องส่วนใหญ่ภายในแก๊งนั้นตัวหัวหน้าแก๊งค์ก็ไม่ได้เข้ามาจัดการด้วยตัวเองสักเท่าไหร่  ปัญหาส่วนใหญ่ก็ยกให้หวงจี้เป็นคนจัดการ  ดังนั้นอำนาจของหวงจี้จึงได้มากมายขนาดนี้”

ถึงแม้อู่เสวียหมินจะไม่ได้พูดต่อ  แต่เย่โม่ก็เข้าใจแล้ว  มีเรื่องกับหวงจี้ก็เท่ากับหาเรื่องหัวหน้าแก๊งค์ใหญ่แก๊งค์หนึ่ง…ถึงว่าเขาจึงได้ไม่มีกำลังใจจะต่อสู้เลย  ในสถานการณ์แบบนี้คงลากพวกมันไปลงนรกด้วยได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด