บทที่ 87 ถูกสะกดรอย
กริ้งงงงงงง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นโทรศัพท์ของยู่เมี่ยวถงนั่นเอง เธอรับสายแต่กลับไม่มีเสียงทักทายดังขึ้นมาเลย
ขณะที่เธอกำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั่นเอง อู่เสวียหมินก็หน้าเปลี่ยนสีทันที “รีบปิดโทรศัพท์เร็ว!”
ยู่เมี่ยวถงปิดโทรศัพท์ลงด้วยความสับสน เธอมองอู่เสวียหมิน “มีอะไรหรือเปล่า? เสวียหมิน”
“ตอนนี้ตำแหน่งของพวกเราคงถูกพวกมันรู้แล้ว คาดว่าไม่เกิน 2 นาทีนี้พวกมันคงรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน” สีหน้าของอู่เสวี่ยหมินดูลำบากใจ
“อา! แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี? แต่เบอร์โทรก็เพิ่งเปลี่ยนใหม่ไม่มีใครรู้นะ พวกเขารู้ได้ยังไง?” ยู่เมี่ยวถงมีสีหน้าตื่นตกใจ หน้าของเธอถอดสีทันที เย่โม่มองสีหน้าของยู่เมี่ยวถงก็รู้แล้วว่าคนที่พวกเขามีเรื่องด้วยคงร้ายกาจน่าดู ไม่งั้นคงไม่ตกใจกลัวขนาดนี้
“ก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนเบอร์เธอได้โทรไปหาไต้ชานหรือเปล่า คิดว่าข้อมูลคงหลุดมาจากตรงนั้นแหละ” ถึงแม้อู่เสวียหมินจะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่เขาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว
“เป็นไปได้ไง! ไต้ชานกับฉันสนิทกันเหมือนพี่น้องเลยนะ เธอจะทำแบบนั้นได้ยังไง?” ยู่เมี่ยวถงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“บนโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก ถึงไต้ชานจะสนิทกับเธอมาก แต่ต่อหน้าความตายกับคุณธรรมแล้วจะมีสักกี่คนที่กล้าพอจะยืนหยัดได้เล่า? ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้แล้ว พวกเราควรเอาเวลามาคิดว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไงกันดีมากกว่า” อู่เสวียหมินใจเย็นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
เย่โม่เมื่อเห็นว่าอู่เสวียหมินรับมือกับปัญหาได้อย่างมีสติก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมเข้าไปอีก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ควรจะเผชิญหน้าแก้ไข…ไม่ใช่เอาแต่บ่น
“น้องเย่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่นายคงต้องลงตรงนี้แล้วล่ะ เรื่องจริงก็คือพวกเราเองก็กำลังถูกตามล่าหมายหัวเช่นกัน แต่คนที่พวกเรามีเรื่องด้วยนั้นร้ายกาจกว่าของนายมาก ตอนนี้พวกเราถูกมันล็อคเป้าแล้ว คิดว่าอีกไม่นานคงตามหาพวกเราจนเจอ ถ้ายังอยู่บนรถนายจะมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเปล่าๆ” อู่เสวียหมินมีสีหน้าขอโทษขอโพย เขามองไปยังยู่เมี่ยวถงแวบหนึ่งด้วยความกังวลใจ
ยู่เมี่ยวถงเองก็สงบสติอารมณ์ลงแล้วเช่นกัน เธอเห็นความกังวลใจของอู่เสวียหมินแล้ว แต่เธอกลับยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย “เสวียหมิน…มีอะไรน่ากังวลกันเล่า หรือพวกมันยังห้ามไม่ให้พวกเราตายด้วยกันได้?”
ทว่าคำพูดของยู่เมี่ยวถงกลับไม่ทำให้อู่เสวียหมินรู้สึกเบาใจลงเลย เขาพูดเสียงต่ำ “ขอโทษนะเมี่ยวถง ฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับปกป้องผู้หญิงของตัวเองไม่ได้...”
พูดจบอู่เสวียหมินก็หยุดรถลง เย่โม่เข้าใจความหมายของอู่เสวียหมินว่าอยากให้เขาลงจากรถ
จริงๆ แล้วในมุมมองของเย่โม่นั้น…ลงรถตรงจุดนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว ปัญหาของเขาก็เยอะพออยู่แล้ว ไม่คิดว่าแค่โบกมือเรียกรถสักคัน...เจ้าของรถก็ดันประสบปัญหาแบบเดียวกันกับเขาเสียนี่ แต่ถ้าเขาลงตรงนี้ก็คงไม่อาจสงบใจได้ เขาไม่ใช่คนไร้เมตตาอะไร
ตอนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ...แค่โบกมือเรียกอีกฝ่ายก็มาช่วยแล้ว มาตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายประสบปัญหา...ถ้าเขาปัดก้นแล้วเดินจากไปล่ะก็...ไม่ว่าจะพูดยังไงเย่โม่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าเย่โม่ขมวดคิ้วไม่ลงจากรถเสียที อู่เสวียหมินก็เร่ง “น้องเย่ รีบลงจากรถเถอะ อิทธิพลอำนาจของพวกมันยิ่งใหญ่มาก บางทีอีกไม่นานพวกมันคงตามมาทันแล้ว หรือไม่ตอนนี้อาจจะกำลังขวางทางพวกเราอยู่ก็ได้”
เย่โม่ยิ้มบางๆ “ถึงผมจะไม่รู้ว่าพี่อู่ไปมีเรื่องกับใครมา…แต่ผมก็อยากจะอยู่ช่วยเหลือสักหน่อย ถึงยังไงก่อนหน้านี้พี่ก็ช่วยผมไว้ ถ้าไม่ช่วยกลับผมคงไม่อาจสงบใจได้ มีคนเพิ่มขึ้นมาก็ยิ่งมีโอกาสรอด หวังว่าพี่อู่จะไม่ถือสา”
อู่เสวียหมินมองเย่โม่แวบหนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจ “ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงไปมีเรื่องกับพวกข้าราชการได้ นิสัยแบบนี้...ถ้าไม่มีเรื่องกับคนอื่นสิถึงจะแปลก แต่ฉันชื่นชมนิสัยของนายแบบนี้มาก น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสได้ดื่มกับนายสักแก้ว น้องเย่...คนที่ฉันไปมีเรื่องด้วยนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ยิ่งไม่ใช่คนที่นายจะเอาพวกข้าราชการพวกนั้นไปเปรียบเทียบได้ เรื่องพวกนี้นายไม่เข้าใจ...และฉันเองก็ไม่คิดจะอธิบายให้นายฟังหรอกนะ รีบลงจากรถไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าอู่เสวียหมินยังคงยืนกราน เย่โม่ก็รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอีก จึงได้แต่พูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้…พี่อู่ เมืองถัดไปคือเมืองอะไร?”
“เมืองเจียโหมว เป็นเมืองเล็กๆ ถึงขับรถไปจะใช้เวลาแค่ 20 นาที แต่เดินไปก็คงไกลหน่อยนะ” อู่เสวียหมินคิดว่าเย่โม่คงอยากจะเดินไปเมืองข้างหน้าเพื่อพักผ่อน จึงแนะนำให้อย่างคร่าวๆ
“งั้นก็ดี พี่อู่ส่งผมลงตรงเมืองนั้นก็พอแล้ว พอถึงที่นั่นเมื่อไหร่ผมจะหารถเอง พี่อู่คงจะไม่ปฏิเสธอีกหรอกนะ” เย่โม่ยิ้มบางๆ
“เฮ้อ...แค่ 20 นาทีพวกมันก็คงตามเราเจอแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจะช่วยนายอีกสักครั้งก็แล้วกัน พวกเราจะไปทางถนนเส้นเล็ก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะหนีรอดก็ได้” พูดจบอู่เสวียหมินก็หันรถ ไม่นานก็ขับเข้ามาบนถนนเล็กๆ เส้นหนึ่ง ถึงจะเป็นถนนเส้นเล็กแต่อู่เสวียหมินนกลับยิ่งเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นไปอีก
นับตั้งแต่ตอนที่ยู่เมี่ยวถงรับโทรศัพท์ก็ผ่านมา 20 นาทีแล้ว เมื่อมองออกไปทางกระจกหน้าก็สามารถมองเห็นแสงไฟจากเมืองเล็กได้ไกลๆ ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงลมแรงดังขึ้นอย่างกะทันหัน อู่เสวียหมินหยุดรถทันที เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่สีหน้ากลับยิ่งไม่สู้ดี
เย่โม่พยักหน้าน้อยๆ มิน่าอู่เสวียหมินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว เขามีเหตุผลให้หวาดกลัวอยู่...อำนาจของคนพวกนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ แล้ว แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ยังหามาได้ เสียงลมที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันคงเป็นเสียงจากใบพัดของเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง
“ขอโทษนะน้องเย่…พวกเราลากนายมาเอี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะ ตอนนี้คิดจะหนีก็คงหนีไม่ได้แล้ว พวกมันพบตัวพวกเราแล้ว ถ้าตอนนี้นายหนีไปคนเดียวก็อาจจะไม่รอด” อู่เสวียหมินพูดจบก็ไม่สนใจเย่โม่อีก เขาจับมือของยู่เมี่ยวถงไว้แน่น ในแววตาปรากฏความกังวลและเจ็บปวดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“เสวียหมิน อย่ากังวลไปเลย แค่พวกเราได้อยู่ด้วยกันเท่านั้นก็พอแล้วล่ะ เขาห้ามไม่ให้พวกเรามีชีวิตอยู่ร่วมกันได้ แต่ไหนเลยจะห้ามไม่ให้พวกเราตายด้วยกันได้” เวลานี้ยู่เมี่ยวถงกลับไม่กังวลใจแม้แต่น้อย
“ก่อนตายฉันจะลากพวกมันไปด้วย 2 คน!” เสียงของอู่เสวียหมินเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต ขณะเดียวกันก็หยิบปืนพกใต้ที่นั่งขึ้นมาถือ รวมถึงหยิบมีดเล่มหนึ่งส่งให้เย่โม่ “อันนี้ให้นายไว้ป้องกันตัว”
เย่โม่ยิ้มบางๆ พลางโบกมือ “ไม่จำเป็น ผมมีของป้องกันตัวเองอยู่แล้ว”
เดิมทีแล้วอู่เสวียหมินเพียงรู้สึกผิดที่ลากเย่โม่เข้ามาเกี่ยวด้วย ทว่าเวลานี้เขากลับมองเย่โม่ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป อีกฝ่ายขนเฮลิคอปเตอร์มาแบบนี้..เย่โม่ไม่มีทางไม่รู้ว่าศัตรูของพวกเขาร้ายกาจแค่ไหน แต่เย่โม่กลับยังสงบนิ่งอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
คิดถึงตรงนี้อู่เสวียหมินก็พูดขึ้น “น้องเย่ นายรู้จัก ‘เที่ยเจียง’(แม่น้ำเหล็ก)หรือเปล่า?”
เย่โม่ส่ายหัว เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
อู่เสวียหมินพูดต่อ “นายไม่เคยได้ยินชื่อเที่ยเจียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นั่นเพราะนายไม่ใช่คนในโลกฝั่งนั้น ‘เที่ยเจียง’ คือแก๊งค์ในแผ่นดินใหญ่เพียงแก๊งค์เดียวที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘หนานชิง’ ถึงแม้พวกมันจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า ‘หนานชิง’ แต่ก็สามารถอยู่เป็นเอกเทศจาก ‘หนานชิง’ ได้ อาจจะเรียกได้ว่าพวกมันเป็นแก๊งค์ใต้ดินอันดับ 1 ในแผ่นดินใหญ่ นั่นเพราะอำนาจตอนนี้ของ ‘หนานชิง’ ไม่จำกัดอยู่แค่แผ่นเดินใหญ่…อำนาจของพวกมันแพร่กระจายไปสู่ประเทศข้างนอกแล้ว”
“‘เที่ยเจียง’ ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้เพราะบอสของพวกมันที่ชื่อเที่ยชาน เที่ยชานคนนี้มีชื่อเล่นว่า ‘เที่ยสั่วเหิงเจียง’ (โซ่เหล็กพาดแม่น้ำ)ชื่อของแก๊งค์ ‘เที่ยเจียง’ ก็มาจากชื่อเล่นของเขานี่เอง คนที่ฉันมีเรื่องด้วยนับได้ว่ามีอำนาจอยู่เป็นอันดับที่ 3 ภายในแก๊งค์ มันชื่อว่าหวงจี้...แค่เห็นว่ามันเอาเฮลิคอปเตอร์ออกมาไล่ล่าอย่างเปิดเผยได้แบบนี้ นายคงเข้าใจแล้วว่ามันมีอำนาจขนาดไหน ภายในแก๊งค์ ‘เที่ยเจียง’ นั้นนอกจากเที่ยชานและรองหัวหน้าแก๊งค์ที่ไม่เคยเปิดเผยตัวแล้ว...หวงจี้คนนี้ก็ถือว่ามีอำนาจสูงที่สุด”
“ถึงแม้อำนาจจริงๆ ของหวงจี้จะไม่อาจนับได้ว่าเป็นอันดับที่ 3 อย่างแท้จริง…แต่เรื่องส่วนใหญ่ภายในแก๊งนั้นตัวหัวหน้าแก๊งค์ก็ไม่ได้เข้ามาจัดการด้วยตัวเองสักเท่าไหร่ ปัญหาส่วนใหญ่ก็ยกให้หวงจี้เป็นคนจัดการ ดังนั้นอำนาจของหวงจี้จึงได้มากมายขนาดนี้”
ถึงแม้อู่เสวียหมินจะไม่ได้พูดต่อ แต่เย่โม่ก็เข้าใจแล้ว มีเรื่องกับหวงจี้ก็เท่ากับหาเรื่องหัวหน้าแก๊งค์ใหญ่แก๊งค์หนึ่ง…ถึงว่าเขาจึงได้ไม่มีกำลังใจจะต่อสู้เลย ในสถานการณ์แบบนี้คงลากพวกมันไปลงนรกด้วยได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น