Ep.134 - ห้าสถาบันรวมตัว
4/4
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.134 - ห้าสถาบันรวมตัว
ก่อนกลับมาเกิดใหม่ เมืองใหญ่กว่านี้เขาก็เคยเห็นมาแล้ว นับประสาอะไรกับเมืองเฉิงหยาง
ในเวลานั้นเอง บนไหล่ของฉินเฟิงถูกข่วนเบาๆสองสามครั้ง เขาก้มหน้าลงและพบว่าไป๋หลีได้ตื่นขึ้นแล้ว
จิ้งจอกน้อยกวาดมองไปทั่วริมถนนด้วยแววตาลุกวาว … เสื้อผ้าที่สวมใส่ของทุกคนในที่นี้ช่างงดงามเสียจริงๆ!
แน่นอน ว่าหากเทียบกับสถานชุมชนเฉิงเป่ย เมืองเฉิงหยางนับว่าดีกว่ามาก
“เอาล่ะๆ ไว้งานสวนล่าจบลงเมื่อไหร่ ฉันจะพาแกไปซื้อเอง!”
ฉินเฟิงตระหนักได้ถึงสีหน้าของไป๋หลี เขาใช้พลังสมาธิส่งผ่านคำพูดไปให้เธอสบายใจ
ไป๋หลีพยักหน้าด้วยความพอใจ
เมื่อเข้าสู่เมืองเฉิงหยาง ยานพาหนะเริ่มเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงฐานทัพทหาร ที่นี่เต็มไปด้วยกำแพงเหล็กกล้า ราวกับป้อมปราการก็มิปาน และบนจตุรัสขนาดใหญ่ ในเวลานี้มีผู้คนมายืนออกันอยู่เต็มไปหมด
ดูเหมือนว่าคนจากสถานชุมชนอื่นจะมารออยู่ก่อนแล้ว
นักเรียนในเครื่องแบบสีเขียวเข้ม เป็นคนจากสถานชุมชนซิต๋า(ตะวันตก)
นักเรียนในเครื่องแบบสีฟ้า เป็นคนจากสถานชุมชนตงหลิง(ตะวันออก)
นักเรียนในเครื่องแบบสีส้ม เป็นคนจากสถานชุมชนฮุนหนาน(ทิศใต้)
และสถานชุมชนเฉิงเป่ยในชุดสีแดงบานเย็น* …
*(ขอแก้ไขเป็นทุกชั้นปีของโรงเรียนเฉิงเป่ยสวมใส่ชุดสีแดงครับ ผมตีความ 紫色 ผิดไปเล็กน้อย ถ้าตรงๆคือม่วง แต่ถ้ามีแดงด้วยจะเป็น แดงบานเย็นครับ)
ปัจจุบัน สถาบันเดียวที่ยังมาไม่ถึง คือสถาบันจากเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากนักเรียนของเมืองเฉิงหยาง!
แต่ไม่นานนัก ทุกสายตาก็พบว่ามียานพาหนะสุดหรูกำลังขับเข้ามาในฐานทัพทหาร
ยานพาหนะนี้มีรูปลักษณ์ที่ราบเรียบ ดูเหมือนจะใช้โลหะบริสุทธิ์ในการผลิต ตรงส่วนหน้ารถโน้มเอียงลง กระจกเรียบลื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นเอกลักษณ์พิเศษ เพราะในยามที่รถขับด้วยความเร็วสูง ทัศนียภาพโดยรอบบนกระจกคล้ายกับเชื่องช้าลง ช่วยป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะ
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าในบรรดาพาหนะหลายคันที่เพิ่งเข้ามามา ทั้งหมดล้วนเปิดใช้งานโหมดล่องเวหา นี่บ่งบอกได้ถึงความ--
--มั่งคั่งและทรงอำนาจ!
เพียงมาถึง สถาบันระดับสูงแห่งเมืองเฉิงหยางก็สามารถข่มคนจากสถาบันอื่นๆด้วยเงินทองและอำนาจของพวกเขา
และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลซะด้วย เพราะอีกสี่เขตที่เหลือเริ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ไม่นานนัก นักเรียนจากเฉิงหยางก็ทยอยกันออกมา ทั้งหมดสวมเครื่องแบบสีขาวราวหิมะ ขอบตรงปกคอเสื้อ และแขนเสื้อบริเวณข้อมือถักด้วยด้ายสีทอง ช่วยขับดันชุดที่ใส่ สะท้อนรัศมีแสงสีขาวจางๆภายใต้แสงอาทิตย์
“นั่นเป็นเครื่องแบบนักเรียนที่ทำมาจากวัตถุดิบชุดต่อสู้ชั้นยอดใช่ไหม!”
“สมกับเป็นคนจากสถาบันระดับสูงของเฉิงหยาง พวกเขาจะร่ำรวยเกินไปแล้ว!”
“มิน่าเล่าถึงกล้าใช้สีขาว!”
ชุดเครื่องแบบน่ะจะถูกแจกจ่ายให้ฟรีๆโดยทางสถาบัน อย่างของทางเฉิงหยางจะมีคุณสมบัติกันน้ำ , กันเหงื่อ , กันหนาว และกันร้อน แม้จะดูเป็นชุดต่อสู้ที่เรียบง่ายธรรมดา แต่เป็นวัสดุที่มีราคาแพงมาก
ชุดนี้สามารถป้องกันได้กระทั่งไรฝุ่น ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาเลยกล้าที่จะเลือกใช้สีขาวกับเครื่องแบบ
เมื่อเปรียบเทียบกับทางสถาบันเฉิงหยาง นักเรียนจากสถาบันอื่นๆในชุดหลากสี พลันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกองทัพลูกเสือไปเลย
ทุกคนจากสถาบันระดับสูงของเฉิงหยางที่ลงมา ใบหน้าของทั้งหมดเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีกระทั่งบางคนมองเหยียดนักเรียนจากสถาบันอื่น
“เครื่องแบบของเฉิงเป่ยมีสีแดงเหมือนเลือดน่าขยะแขยงจริงๆ”
“เครื่องแบบสีฟ้าของทางตงหลินก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกพนักงานเสิร์ฟอาหาร”
“ซิต๋ายิ่งแล้วใหญ่ ไปขโมยชุดจากพวกทหารมารึไง?”
“แล้วไอ้สีส้มอมเหลืองนั่นมันอะไร?? ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองดินแห้งๆอยู่เลย”
ในพริบตา ทั้งสี่เขตก็โดนดูถูกเหยียดหยามเข้าให้แล้ว
ผู้คนจากสถาบันอื่นๆพากันขบฟันแน่น ทั้งหมดต่างนึกคิดในจิตใจ ว่าหากบังเอิญเจอใครบางคนจากสถาบันเฉิงหยางในสวนล่า คงต้องมอบบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้กับพวกมัน!
ทว่านักเรียนจากเฉิงหยางที่เพิ่งมาถึง กลับไม่ใส่ใจถึงความเป็นปรปักษ์ของนักเรียนจากเขตอื่นๆเลย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนจากทางสถาบันของพวกเขามีมากกว่า คิดว่าต่อให้รุมแบบ 4 ต่อ 1 แล้วจะชนะรึไง?
บอกได้เลยว่านั่นคือความคิดที่ผิดอย่างใหญ่หลวง
“ทั้งหมด … จัดระเบียบแถว!”
พวกอาจารย์เริ่มสั่งการให้นักเรียนจัดแถว หลังจากที่จัดเรียงตามลำดับจนเสร็จสิ้น และนับยอด ทั้งหมดกลับพบว่า แม้จะรวมจำนวนนักเรียนของทั้ง 4 สถาบัน เหนือ , ใต้ , ออก , ตกเข้าด้วยกัน แต่จำนวนนักเรียนของทางเฉิงหยางก็ยังมีมากกว่าพวกเขาถึง 600 คน!
“ต่อไป ฉันจะประกาศกฏ!”
ชายชราคนหนึ่งก้าวออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ฉินเฟิงสามารถรู้สึกได้ ว่าชายชราคนนี้คือผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล E9 และอีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถทะยานขึ้นสู่ระดับ D ได้แล้ว
“รอยแยกในสวนล่าใบไม้ผลิน่ะมีเสถียรภาพ มันมั่นคงและปลอดภัย และข้างในยังประกอบไปด้วยสมบัติทางธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานวิญญาณมากมาย ไม่ว่าใครก็ตาม ตราบใดที่สามารถเก็บมันมาได้ มันก็จะตกเป็นของคนๆนั้น!”
ทุกต่างต่างเบิกตาโตด้วยความยินดี
“แต่แน่นอน ว่าข้างในย่อมมีสัตว์ร้ายอยู่เช่นกัน และพวกมันไม่ได้อ่อนแอไปซะทั้งหมด ฉันไม่ถึงขั้นต้องการให้พวกเธอโค่นมัน ตราบใดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง สรุปง่ายๆว่าจงรอดชีวิตกลับมาให้ได้!”
รอยยิ้มยินดีของนักเรียนหดวูบลงทันที โดยเฉพาะนักเรียนจากสถาบันเฉิงเป่ย เมื่อพาลย้อนนึกไปถึงหมูป่ากลายพันธ์ สีหน้าของเกือบทั้งหมดก็เริ่มซีดเผือดลง
ตราบใดที่ถูกเรียกว่าสัตว์ร้าย พวกมันย่อมดุร้ายสมชื่อ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการรองรับเป็นผู้ใช้พลังเลเวล G สิ่งที่กล่าวมาคือตัวตนที่สามารถสังหารพวกเขาได้
“แต่หลังจากที่พวกเธอได้รับการฝึกฝนแล้ว ฉันเชื่อมั่นว่าทุกคนน่าจะมีความแข็งแกร่งพอสมควร ในกรณีเดียวกัน เลยเป็นธรรมดาที่จะเกิดการทดสอบแข่งขันขึ้น และการแข่งขันนี้ คือสิ่งที่ถูกเรียกโดยพวกเรา ---สงครามเอาชีวิตรอดในสวนล่าใบไม้ผลิ!”
“นักเรียนทุกคน จะต้องอยู่ในสวนล่าใบไม้ผลิเป็นเวลาสามวัน หากชิง ‘ป้ายชื่อ’ ของคนอื่นๆมาได้ ก็จะได้รับแต้มคะแนน ยิ่งสะสมได้มาก แต้มคะแนนก็จะยิ่งมากขึ้น และหากบุคคลใดที่ถูกชิงป้ายชื่อ คนๆนั้นจะถูกขับไล่ออกจากพื้นที่สวนล่าใบไม้ผลิโดยอัตโนมัติ!”
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาแจกป้ายชื่อ , ถอดอุปกรณ์สื่อสาร และปิดอุปกรณ์รูนมิติแล้ว!”
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง เหล่าอาจารย์ก็เริ่มปฏิบัติตามทันที
“ฉินเฟิง นี่คือป้ายชื่อของเธอ และขอให้ระวังพวกคนจากสถาบันเฉิงหยางเอาไว้ให้ดี” เฉิงเฉาเตือน
“ครับอาจารย์ ไว้ใจผมได้เลย” ฉินเฟิงพยักหน้า และกุมป้ายชื่อไว้ในมือของเขา
ป้ายนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ และมีสีม่วงเป็นฐาน กรอบรอบนอกเป็นสีทองอร่าม และมีเลขเขียนเอาไว้ว่า 21
จ้าวหยูก็มีเช่นกัน มันเขียนเอาไว้ว่า 1
ในขณะที่โจวฮ่าวกับจางเทียนได้ป้ายชื่อที่มีฐานเป็นสีม่วง และกรอบรอบนอกเป็นสีเงิน
หากสังเกตอย่างรอบคอบ จะพบว่าบางคนจะเป็นกรอบสีดำ ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าเป็นมือปืน
แต่ละสถาบันจะใช้ฐานสีที่แตกต่างกันออกไป ส่วนกรอบนอกจะใช้แยกแยะว่าเป็นผู้ใช้พลังประเภทไหน ในทางกลับกันตัวเลขจะแสดงถึงการจัดอันดับในการทดสอบประเมินฝีมือจากทางโรงเรียนเมื่อวาน
นอกจากนี้ ป้ายชื่อดังกล่าวยังเป็นตัวเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มิติ
มันคือสิ่งที่ยากนักจะพบเจอ กล่าวได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับงานสวนล่าใบไม้ผลิ
“ถ้ากระทั่งอุปกรณ์สื่อสารก็ยังถูกยึดไปด้วย งั้นก็ไม่มีทางติดต่อกันได้เลยน่ะสิ แบบนี้ก็หมายความว่า … พวกเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยถ้ามีคนโกง!” จ้าวหยูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
โจวฮ่าวเองก็สับสนเล็กน้อย
“ถ้าไม่มีอุปกรณืสื่อสาร แล้วจะนับคะแนนกันได้ยังไง? แค่ชิงป้ายชื่องั้นหรอ แบบนี้ก็หมายความว่า … กระทั่งทีมเดียวกันก็สามารถปล้นได้?”
“ในทุ่งล่ามันมีความยุติธรรมซะที่ไหนกัน?” ฉินเฟิงมองไปยังทั้งสองและเอ่ยปาก “แต่การที่พวกอาจารย์ปิดกั้นอุปกรณ์มิติก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าพวกมือปืนจะไม่สามารถพกปืนที่มีขนาดใหญ่มากๆบางประเภทได้ เพราะถ้าพวกเขาสามารถใช้มัน แล้วบังเอิญยิงมาโดนนาย น่ากลัวว่ากระทั่งฟันไว้ใช้กินอาหารก็คงระเบิดหายไปไม่มีเหลือ!”
โจวฮ่าวย้อนนึกไปถึงการต่อสู้ครั้งก่อนระหว่างฉินเฟิงกับมือปืน ในเวลานั้นฉินเฟิงยิงกระสุนไปถึงสามนัด แรงระเบิดปกคลุมตลอดทั้งเนินเขา หากเป็นนักเรียนที่โดน … น่ากลัวว่าคงจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“เอาล่ะเด็กๆทั้งหลาย เราอย่ามัวเถียงกันเรื่องกฏอะไรพวกนั้นเลย พวกเธอแค่รู้ว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับกฏก็พอ” เฉิงเฉากล่าว ในแววตาบังเกิดระลอกคลื่นของความว้าวุ่น
แม้งานนี้จะมีแค่ปีละครั้ง แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าในครั้งนี้ ในบรรดาทั้งเรียนชั้นปีที่ 1 จะมีใครบ้างที่ไม่ได้กลับมา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือช่วงโลกาวินาศ มิใช่ช่วงเวลาอันสงบสุข เหล่าเด็กๆจะต้องเร่งเติบโตให้เร็วที่สุด
มิฉะนั้น พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร? งั้นใครกันเล่าจะกลับมาปกป้องสถานที่ชุมชน?
“ในกระเป๋าที่พวกเธอทุกคนได้รับ จะมีน้ำดื่มบรรจุขวด , อาหารแท่ง , หมวกนิรภัยกับเสื้อป้องกัน , วิทยุสื่อสารขนาดเล็ก ถ้าเผชิญกับอันตรายเกินกว่าจะรับมือ ขอให้ถอดป้ายชื่อออก แล้วพวกเธอจะถูกดึงตัวกลับมาจากพื้นที่สวนล่าโดยอัตโนมัติ”