ตอนที่แล้วบทที่ 85 โอเค! พวกเราจะนอนเตียงเดียวกัน!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 87 ถูกสะกดรอย

บทที่ 86 ออกจากหนิงไห่


ตอนที่เย่โม่ตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบฟ้าสางแล้ว  เป็นเวลาที่เหมาะสมพอดีสำหรับการเดินทางออกจากหนิงไห่

มองไปยังหยุนปิงก็พบว่าเธอมุดเข้ามาในอ้อมอกของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  มุมปากของหยุนปิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ  ใบหน้าก็เป็นสีแดง  ไม่รู้ว่าเธอกำลังฝันดีอยู่อีกหรือเปล่า

ถึงแม้ก่อนหน้านี้ภาพความประทับใจของเย่โม่ที่มีต่อหยุนปิงนั้น...เธอเป็นผู้หญิงเย็นชาไร้หัวใจ  แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับเธอมา 2-3 วันแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนมุมมองไปเล็กน้อย  ถึงตอนนี้อายุของเธอจะใกล้เลขสามแล้วก็ตาม…แต่เธอก็ยังดูไม่แก่เท่าซู่เวยด้วยซ้ำ

หยุนปิงใช้ใบหน้าสวยเย็นของเธอปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไว้จนมิดชิด  แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจก็ยังคล้ายกับสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่ง...ผู้โหยหาความอบอุ่นและการปกป้อง  ดูจากการที่เธอมักจะมุดเข้ามาหาเขาตอนนอนก็รู้แล้ว

หยุนปิงไม่ได้สวมเสื้อผ้าธรรมดาเหมือนกับเมื่อคืนก่อน  แต่สวมชุดนอนแทน  เธอนอนกอดแขนของเขาบดเบียดกับก้อนกลมๆ ทั้งสองลูกจนพวกมันเปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อย  ก้อนกลมขาวที่ชวนให้คนตื่นตะลึงล้วนโผล่ออกมาให้เห็นครึ่งก้อน  แม้แต่ปลายถันแดงๆ ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน...เธอไม่สวมบรานี่เอง

ถึงเย่โม่จะไม่เคยมีประสบการณ์แบบผู้ใหญ่มาก่อน  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย  เขารู้สึกปากคอแห้งผาก  เย่โม่รู้สึกว่าหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างๆ กับอาจารย์เย็นชาดูจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...คนหนึ่งเข้าอกเข้าใจ  ส่วนอีกคนหนึ่งเย็นชา

เย่โม่ถอนหายใจ...บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีการปกป้องตัวเองของเธอก็ได้  เขาเอามือของหยุนปิงออกอย่างระมัดระวัง  ทั้งยังช่วยห่มผ้าให้เธอด้วย  หลังจากนั้นเย่โม่จึงค่อยลุกออกจากเตียง

เขาคิดไปคิดมาก็หยิบปากกาและกระดาษออกมา  ทิ้งข้อความสั้นๆ ไว้ให้กับเธอ  จากนั้นจึงเปลี่ยนชุด สะพายกระเป๋า  เตรียมตัวเสร็จแล้วเขาก็กระโดดออกจากระเบียงโดยตรง  ถึงแม้หยุนปิงจะอาศัยอยู่บนชั้น 4 แต่เย่โม่ก็สามารถเลือกจะกระโดดลงมาถึงระเบียงชั้น 2 ก่อนได้  จากนั้นเงาร่างของเขาก็กลืนหายเข้าไปในความมืดมิดยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ตามด่านผ่านเข้าออกเมืองของหนิงไห่จะถูกปิดกั้นเอาไว้หมดแล้ว  แต่สำหรับเย่โม่แล้วไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ  เดิมทีแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องนั่งรถโดยสารออกไปด้วยซ้ำ  ความเร็วของ ‘เท้าเงาเมฆา’  ของเขาพัฒนาจนไม่ด้อยไปกว่ารถยนต์เลย  บางทีอาจจะเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ

ผ่านไป 2 ชั่วโมงเย่โม่ก็ออกมาจากหนิงไห่ไกลแล้ว  ตอนนี้เป็นช่วงเวลาตี 3  เย่โม่คิดทบทวนอยู่หลายรอบ...ข้อมูลของเขาคงถูกเปิดเผยออกไปจนหมดเปลือกแล้ว  แถมตอนนี้เขายังไม่มีหนทางจะทำบัตรประชาชนใหม่ด้วย  ส่วนบัตรที่เหวินตงช่วยทำให้เขาถึงแม้จะยังใช้งานได้  แต่ชื่อบนนั้นก็ยังเขียนว่าเย่โม่...นั่นแปลว่าใช่มันไม่ได้แล้ว  เฮ้อ...รู้งี้เปลี่ยนชื่อเสียก็ดี

เย่โม่หยุดยืนอยู่ตรงสามแยกแห่งหนึ่ง  เขามีความคิดจะโบกรถสักคัน  ไม่ว่ามันจะไปที่ไหนแต่หนีออกจากที่นี่ให้ไกลเป็นเรื่องสำคัญกว่า  หากใช้ ‘เท้าเงาเมฆา’ เดินทางตลอดเวลาเขาเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน

แต่รถที่เดินทางสัญจรไปมากลับมีไม่เยอะนัก  มีเพียงรถบรรทุกสินค้าที่ผ่านทางมาบ้างเป็นครั้งคราว   รถส่วนตัวนั้นผ่านมาแค่ 2-3 คันเท่านั้น  แม้เย่โม่จะยืนโบกรถอยู่นานแต่ก็ไม่มีคันไหนจอดให้เขาเลย

มีรถ SUV คันหนึ่งยี่ห้อไม่ชัดเจนขับมาทางเย่โม่ด้วยความรวดเร็ว  เย่โม่ลองโบกมือเสี่ยงโชคอีกครั้ง  ถ้ารถคันนี้ยังไม่หยุดอีกเขาก็ตัดสินใจจะแอบขึ้นรถบรรทุกสักคัน

แต่เย่โม่ก็ต้องแปลกใจเมื่อรถคนนี้กลับหยุดลงจริงๆ  ขณะที่เขากำลังจะเดินไปข้างหน้าตรงคนขับเพื่อกล่าวขอบคุณนั้นเอง...เขาก็ได้ยินหญิงสาวคนหนึ่งในรถพูด  “เสวียหมิน!  นี่ก็ตี 3 แล้วนะ  อีกอย่างเขาก็เป็นคนแปลกหน้า…เธอจะหยุดรถเพื่ออะไรเล่า!?  อีกอย่างพวกเราก็กำลังถูกไล่ฆ่าด้วย  แล้วถ้าเขาเป็นคนของ ‘หวงจี้’ เราจะทำยังไง!?”

“ถงถง  คนที่อยู่ข้างนอกนั่นใครบ้างเล่าจะไม่มีปัญหา?  พวกเราเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นถึงได้รถคันนี้มา  อีกอย่าง...พวกเราขับรถมาจนถึงที่นี่ก็ใช้เวลาแค่ครึ่งวันเอง...พวกหวงจี้คงยังไม่รู้หรอก  แล้วเขาจะเป็นคนของพวกมันได้ยังไง  หรือพูดอีกที...เขาก็มีแค่ตัวคนเดียว  หรือว่าไม่เชื่อใจผู้ชายของเธอกันล่ะ”  ครั้งนี้คนพูดเป็นผู้ชายอายุราว 30 ปี  พูดถึงตรงนี้เขาก็เห็นว่าเย่โม่เดินเข้ามาแล้วจึงหันกลับไปพูด  “ขึ้นมาเถอะเพื่อน  เปิดประตูขึ้นมาเลย”

ด้านหญิงสาวก็กลอกตาใส่แฟนหนุ่ม  เธอบ่นพึมพำแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก

ถึงแม้ชายหนุ่มในรถจะพูดออกมาแค่ไม่กี่คำแต่เย่โม่ก็พอเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ไม่น้อย  2 คนนี้กำลังถูกตามล่าตัวอยู่เหมือนกันกับเขา  เพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้กลับมีจิตใจกล้าหาญช่วยเหลือผู้อื่น  ถึงตัวเองจะลำบากแต่ก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่น  เย่โม่รู้สึกชอบนิสัยของชายคนนี้ขึ้นมาทันที

อู่เสวียหมินเห็นเย่โม่ขึ้นมาแล้วก็ถามขึ้นทันที  “ผมชื่ออู่เสวียหมิน ส่วนคนนี้เป็นแฟนผมชื่อยู่เมี่ยวถง แล้วนายอยากจะไปที่ไหนล่ะ?

เย่โม่ยกมือประสานคำนับ  “ผมชื่อเย่โม่  ผมไม่ได้อยากจะไปไหนเป็นพิเศษหรอก  แค่อยากจะติดรถไปด้วยสักระยะเท่านั้น”  เขารู้สึกขอบคุณอู่เสวียหมินจึงไม่ได้ปกปิดชื่อจริงของตัวเอง

หญิงสาวคนนั้นเห็นว่าเย่โม่มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยจึงค่อยวางใจ  แต่เมื่อได้ยินเนื้อความที่เย่โม่พูดก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที  มีคนมาโบกรถขอโดยสารไปด้วยแต่กลับไม่ได้เจาะจงว่าจะลงตรงไหน  ฟังยังไงก็รู้สึกว่าแปลกๆ

อู่เสวียหมินที่ได้ยินเย่โม่พูดก็มองมาด้วยสายตาแปลกๆ  ดูยังไงเย่โม่คนนี้ก็ไม่เหมือนคนที่คิดร้ายต่อพวกเขาเลย

เย่โม่เห็นแบบนั้นก็รู้ว่า 2 คนตรงหน้ารู้สึกสงสัยในตัวเขา  แต่เขาเองก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร…รวมถึงอีกฝ่ายก็กำลังหนีอยู่ด้วยเหมือนกัน  เขาทำเพียงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า  “เพราะผมไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตจึงได้หนีออกมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้  ตอนนี้คิดแค่ว่าหนียิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี  ขอแค่พวกคุณพาผมออกไปจากตรงนี้ให้ไกลเท่านั้น  ก่อนฟ้าสางก็ส่งผมลง  แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเย่โม่  อู่เสวียหมินจึงค่อยโล่งใจ  “บนโลกนี้พวกคนใหญ่คนโตก็มักจะรังแกชนชั้นล่างแบบนี้  คนธรรมดาไปหาเรื่องพวกมัน...นอกจากหนีให้ไกลแล้วก็คงไม่มีหนทางอื่นอีก”  ตัวเขาเองก็กำลังหลบหนีอยู่จึงรู้สึกเข้าใจหัวอกของเย่โม่ขึ้นมา  เขาพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก  ทำเพียงขับรถออกไปด้วยความรวดเร็ว

เย่โม่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างหลัง  เขารู้สึกได้ว่าอู่เสวียหมินคนนี้คงเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน  แต่จากมุมมองของเย่โม่แล้วก็แค่ระดับทั่วๆ ไป  เทียบกับฟางเว่ยเฉิงแล้วถือว่าเก่งกว่านิดหน่อย  เขาไม่รู้ว่าพวก ‘หวงจี้’ ที่พูดถึงคือใครอู่เสวียหมินถึงได้พาแฟนหนีมาแบบนี้

ส่วนผู้หญิงคนนี้ถือได้ว่ามีรูปร่างหน้าตาสวยงาม  เสื้อผ้าพอดีตัวช่วยขับเน้นส่วนโค้งเว้าออกมาอย่างเด่นชัด  ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อย  ดูงดงามไม่เย้ายวน  เธอนั่งอยู่ข้างคนขับ…สายตากลับเอาแต่มองอู่เสวียหมิน  เห็นได้ว่าเขามีความสำคัญสำหรับเธอมากเพียงใด

ส่วนอู่เสวียหมินนั้นร่างกายกำยำล่ำสัน  คิ้วเข้มตาโต  มีกลิ่นอายของทหารอยู่ภายใน  เย่โม่แน่ใจว่าเขาคงเคยเป็นทหารมาก่อน  เพราะบรรยากาศของชายคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับกัวฉี่  ต่างกันตรงที่อู่เสวียหมินกลับมีรังสีฆ่าฟันอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนบนร่างด้วย…แต่กัวฉี่กลับไม่มีสิ่งนี้  เห็นได้ชัดว่าหลังออกจากกองทัพมาแล้วงานของเขาคงไม่ใช่งานธรรมดา

“นายไปหาเรื่องใครมาล่ะ?”  ราวกับอู่เสวียหมินรู้สึกว่าบรรยากาศในรถดูเงียบไปหน่อย  จึงเอ่ยปากถามขึ้น

“เป็นพวกข้าราชการตำแหน่งสูงคนหนึ่งน่ะ  ผมมีเรื่องกับเขาเลยต้องหนีมา  โชคดีที่เจอพี่อู่”  ถึงเย่โม่จะรู้สึกดีกับอู่เสวียหมินแต่ถึงยังไงก็เพิ่งรู้จักกัน  เขาไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่าง

“เฮ้อ...สังคมเรานี่น้า...”  อู่เสวียหมินถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ  ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูด  “ฉันจะเดินทางไปหว่างเจียง  พอไปถึงที่นั่นนายค่อยลงเป็นไง  ที่นั่นติดกับทะเลและฮ่องกง  ไม่ว่าจะลักลอบไปที่อื่นหรือเข้าฮ่องกงล้วนมีหนทางทั้งนั้น”

เย่โม่พยักหน้า  “เอาแบบนั้นแหละ  ขอบคุณพี่อู่”

อู่เสวียหมินหัวเราะออกมา  “ถ้าอยู่ข้างนอกก็ยากจะหลีกเลี่ยงปัญหา  ฉันก็ช่วยนายได้เท่านี้แหละ  ที่เหลือนายต้องพึ่งตัวเองแล้ว”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด