บทที่ 86 ออกจากหนิงไห่
ตอนที่เย่โม่ตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบฟ้าสางแล้ว เป็นเวลาที่เหมาะสมพอดีสำหรับการเดินทางออกจากหนิงไห่
มองไปยังหยุนปิงก็พบว่าเธอมุดเข้ามาในอ้อมอกของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มุมปากของหยุนปิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ใบหน้าก็เป็นสีแดง ไม่รู้ว่าเธอกำลังฝันดีอยู่อีกหรือเปล่า
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ภาพความประทับใจของเย่โม่ที่มีต่อหยุนปิงนั้น...เธอเป็นผู้หญิงเย็นชาไร้หัวใจ แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับเธอมา 2-3 วันแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนมุมมองไปเล็กน้อย ถึงตอนนี้อายุของเธอจะใกล้เลขสามแล้วก็ตาม…แต่เธอก็ยังดูไม่แก่เท่าซู่เวยด้วยซ้ำ
หยุนปิงใช้ใบหน้าสวยเย็นของเธอปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไว้จนมิดชิด แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจก็ยังคล้ายกับสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่ง...ผู้โหยหาความอบอุ่นและการปกป้อง ดูจากการที่เธอมักจะมุดเข้ามาหาเขาตอนนอนก็รู้แล้ว
หยุนปิงไม่ได้สวมเสื้อผ้าธรรมดาเหมือนกับเมื่อคืนก่อน แต่สวมชุดนอนแทน เธอนอนกอดแขนของเขาบดเบียดกับก้อนกลมๆ ทั้งสองลูกจนพวกมันเปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อย ก้อนกลมขาวที่ชวนให้คนตื่นตะลึงล้วนโผล่ออกมาให้เห็นครึ่งก้อน แม้แต่ปลายถันแดงๆ ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน...เธอไม่สวมบรานี่เอง
ถึงเย่โม่จะไม่เคยมีประสบการณ์แบบผู้ใหญ่มาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย เขารู้สึกปากคอแห้งผาก เย่โม่รู้สึกว่าหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างๆ กับอาจารย์เย็นชาดูจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...คนหนึ่งเข้าอกเข้าใจ ส่วนอีกคนหนึ่งเย็นชา
เย่โม่ถอนหายใจ...บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีการปกป้องตัวเองของเธอก็ได้ เขาเอามือของหยุนปิงออกอย่างระมัดระวัง ทั้งยังช่วยห่มผ้าให้เธอด้วย หลังจากนั้นเย่โม่จึงค่อยลุกออกจากเตียง
เขาคิดไปคิดมาก็หยิบปากกาและกระดาษออกมา ทิ้งข้อความสั้นๆ ไว้ให้กับเธอ จากนั้นจึงเปลี่ยนชุด สะพายกระเป๋า เตรียมตัวเสร็จแล้วเขาก็กระโดดออกจากระเบียงโดยตรง ถึงแม้หยุนปิงจะอาศัยอยู่บนชั้น 4 แต่เย่โม่ก็สามารถเลือกจะกระโดดลงมาถึงระเบียงชั้น 2 ก่อนได้ จากนั้นเงาร่างของเขาก็กลืนหายเข้าไปในความมืดมิดยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ตามด่านผ่านเข้าออกเมืองของหนิงไห่จะถูกปิดกั้นเอาไว้หมดแล้ว แต่สำหรับเย่โม่แล้วไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ เดิมทีแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องนั่งรถโดยสารออกไปด้วยซ้ำ ความเร็วของ ‘เท้าเงาเมฆา’ ของเขาพัฒนาจนไม่ด้อยไปกว่ารถยนต์เลย บางทีอาจจะเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ
ผ่านไป 2 ชั่วโมงเย่โม่ก็ออกมาจากหนิงไห่ไกลแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาตี 3 เย่โม่คิดทบทวนอยู่หลายรอบ...ข้อมูลของเขาคงถูกเปิดเผยออกไปจนหมดเปลือกแล้ว แถมตอนนี้เขายังไม่มีหนทางจะทำบัตรประชาชนใหม่ด้วย ส่วนบัตรที่เหวินตงช่วยทำให้เขาถึงแม้จะยังใช้งานได้ แต่ชื่อบนนั้นก็ยังเขียนว่าเย่โม่...นั่นแปลว่าใช่มันไม่ได้แล้ว เฮ้อ...รู้งี้เปลี่ยนชื่อเสียก็ดี
เย่โม่หยุดยืนอยู่ตรงสามแยกแห่งหนึ่ง เขามีความคิดจะโบกรถสักคัน ไม่ว่ามันจะไปที่ไหนแต่หนีออกจากที่นี่ให้ไกลเป็นเรื่องสำคัญกว่า หากใช้ ‘เท้าเงาเมฆา’ เดินทางตลอดเวลาเขาเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน
แต่รถที่เดินทางสัญจรไปมากลับมีไม่เยอะนัก มีเพียงรถบรรทุกสินค้าที่ผ่านทางมาบ้างเป็นครั้งคราว รถส่วนตัวนั้นผ่านมาแค่ 2-3 คันเท่านั้น แม้เย่โม่จะยืนโบกรถอยู่นานแต่ก็ไม่มีคันไหนจอดให้เขาเลย
มีรถ SUV คันหนึ่งยี่ห้อไม่ชัดเจนขับมาทางเย่โม่ด้วยความรวดเร็ว เย่โม่ลองโบกมือเสี่ยงโชคอีกครั้ง ถ้ารถคันนี้ยังไม่หยุดอีกเขาก็ตัดสินใจจะแอบขึ้นรถบรรทุกสักคัน
แต่เย่โม่ก็ต้องแปลกใจเมื่อรถคนนี้กลับหยุดลงจริงๆ ขณะที่เขากำลังจะเดินไปข้างหน้าตรงคนขับเพื่อกล่าวขอบคุณนั้นเอง...เขาก็ได้ยินหญิงสาวคนหนึ่งในรถพูด “เสวียหมิน! นี่ก็ตี 3 แล้วนะ อีกอย่างเขาก็เป็นคนแปลกหน้า…เธอจะหยุดรถเพื่ออะไรเล่า!? อีกอย่างพวกเราก็กำลังถูกไล่ฆ่าด้วย แล้วถ้าเขาเป็นคนของ ‘หวงจี้’ เราจะทำยังไง!?”
“ถงถง คนที่อยู่ข้างนอกนั่นใครบ้างเล่าจะไม่มีปัญหา? พวกเราเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นถึงได้รถคันนี้มา อีกอย่าง...พวกเราขับรถมาจนถึงที่นี่ก็ใช้เวลาแค่ครึ่งวันเอง...พวกหวงจี้คงยังไม่รู้หรอก แล้วเขาจะเป็นคนของพวกมันได้ยังไง หรือพูดอีกที...เขาก็มีแค่ตัวคนเดียว หรือว่าไม่เชื่อใจผู้ชายของเธอกันล่ะ” ครั้งนี้คนพูดเป็นผู้ชายอายุราว 30 ปี พูดถึงตรงนี้เขาก็เห็นว่าเย่โม่เดินเข้ามาแล้วจึงหันกลับไปพูด “ขึ้นมาเถอะเพื่อน เปิดประตูขึ้นมาเลย”
ด้านหญิงสาวก็กลอกตาใส่แฟนหนุ่ม เธอบ่นพึมพำแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก
ถึงแม้ชายหนุ่มในรถจะพูดออกมาแค่ไม่กี่คำแต่เย่โม่ก็พอเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ไม่น้อย 2 คนนี้กำลังถูกตามล่าตัวอยู่เหมือนกันกับเขา เพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้กลับมีจิตใจกล้าหาญช่วยเหลือผู้อื่น ถึงตัวเองจะลำบากแต่ก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่น เย่โม่รู้สึกชอบนิสัยของชายคนนี้ขึ้นมาทันที
อู่เสวียหมินเห็นเย่โม่ขึ้นมาแล้วก็ถามขึ้นทันที “ผมชื่ออู่เสวียหมิน ส่วนคนนี้เป็นแฟนผมชื่อยู่เมี่ยวถง แล้วนายอยากจะไปที่ไหนล่ะ?
เย่โม่ยกมือประสานคำนับ “ผมชื่อเย่โม่ ผมไม่ได้อยากจะไปไหนเป็นพิเศษหรอก แค่อยากจะติดรถไปด้วยสักระยะเท่านั้น” เขารู้สึกขอบคุณอู่เสวียหมินจึงไม่ได้ปกปิดชื่อจริงของตัวเอง
หญิงสาวคนนั้นเห็นว่าเย่โม่มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยจึงค่อยวางใจ แต่เมื่อได้ยินเนื้อความที่เย่โม่พูดก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที มีคนมาโบกรถขอโดยสารไปด้วยแต่กลับไม่ได้เจาะจงว่าจะลงตรงไหน ฟังยังไงก็รู้สึกว่าแปลกๆ
อู่เสวียหมินที่ได้ยินเย่โม่พูดก็มองมาด้วยสายตาแปลกๆ ดูยังไงเย่โม่คนนี้ก็ไม่เหมือนคนที่คิดร้ายต่อพวกเขาเลย
เย่โม่เห็นแบบนั้นก็รู้ว่า 2 คนตรงหน้ารู้สึกสงสัยในตัวเขา แต่เขาเองก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร…รวมถึงอีกฝ่ายก็กำลังหนีอยู่ด้วยเหมือนกัน เขาทำเพียงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “เพราะผมไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตจึงได้หนีออกมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ตอนนี้คิดแค่ว่าหนียิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ขอแค่พวกคุณพาผมออกไปจากตรงนี้ให้ไกลเท่านั้น ก่อนฟ้าสางก็ส่งผมลง แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเย่โม่ อู่เสวียหมินจึงค่อยโล่งใจ “บนโลกนี้พวกคนใหญ่คนโตก็มักจะรังแกชนชั้นล่างแบบนี้ คนธรรมดาไปหาเรื่องพวกมัน...นอกจากหนีให้ไกลแล้วก็คงไม่มีหนทางอื่นอีก” ตัวเขาเองก็กำลังหลบหนีอยู่จึงรู้สึกเข้าใจหัวอกของเย่โม่ขึ้นมา เขาพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงขับรถออกไปด้วยความรวดเร็ว
เย่โม่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างหลัง เขารู้สึกได้ว่าอู่เสวียหมินคนนี้คงเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน แต่จากมุมมองของเย่โม่แล้วก็แค่ระดับทั่วๆ ไป เทียบกับฟางเว่ยเฉิงแล้วถือว่าเก่งกว่านิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าพวก ‘หวงจี้’ ที่พูดถึงคือใครอู่เสวียหมินถึงได้พาแฟนหนีมาแบบนี้
ส่วนผู้หญิงคนนี้ถือได้ว่ามีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เสื้อผ้าพอดีตัวช่วยขับเน้นส่วนโค้งเว้าออกมาอย่างเด่นชัด ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อย ดูงดงามไม่เย้ายวน เธอนั่งอยู่ข้างคนขับ…สายตากลับเอาแต่มองอู่เสวียหมิน เห็นได้ว่าเขามีความสำคัญสำหรับเธอมากเพียงใด
ส่วนอู่เสวียหมินนั้นร่างกายกำยำล่ำสัน คิ้วเข้มตาโต มีกลิ่นอายของทหารอยู่ภายใน เย่โม่แน่ใจว่าเขาคงเคยเป็นทหารมาก่อน เพราะบรรยากาศของชายคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับกัวฉี่ ต่างกันตรงที่อู่เสวียหมินกลับมีรังสีฆ่าฟันอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนบนร่างด้วย…แต่กัวฉี่กลับไม่มีสิ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าหลังออกจากกองทัพมาแล้วงานของเขาคงไม่ใช่งานธรรมดา
“นายไปหาเรื่องใครมาล่ะ?” ราวกับอู่เสวียหมินรู้สึกว่าบรรยากาศในรถดูเงียบไปหน่อย จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“เป็นพวกข้าราชการตำแหน่งสูงคนหนึ่งน่ะ ผมมีเรื่องกับเขาเลยต้องหนีมา โชคดีที่เจอพี่อู่” ถึงเย่โม่จะรู้สึกดีกับอู่เสวียหมินแต่ถึงยังไงก็เพิ่งรู้จักกัน เขาไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่าง
“เฮ้อ...สังคมเรานี่น้า...” อู่เสวียหมินถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูด “ฉันจะเดินทางไปหว่างเจียง พอไปถึงที่นั่นนายค่อยลงเป็นไง ที่นั่นติดกับทะเลและฮ่องกง ไม่ว่าจะลักลอบไปที่อื่นหรือเข้าฮ่องกงล้วนมีหนทางทั้งนั้น”
เย่โม่พยักหน้า “เอาแบบนั้นแหละ ขอบคุณพี่อู่”
อู่เสวียหมินหัวเราะออกมา “ถ้าอยู่ข้างนอกก็ยากจะหลีกเลี่ยงปัญหา ฉันก็ช่วยนายได้เท่านี้แหละ ที่เหลือนายต้องพึ่งตัวเองแล้ว”