บทที่ 32 ผู้พิทักษ์
บทที่ 32 ผู้พิทักษ์
พลังใจ 10! จิตใจ 10! อารมณ์ 10!
ผลที่ได้ เต็มทุกอย่าง! นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือเป็นเพราะว่าหยกนี้จะเสีย? ไม่! เป็นไปไม่ได้ นี่คือสมบัติชั้นสูงไม่มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน ยกเว้นแต่ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้คือร่างกำเนิดของเทพเจ้าองค์ไหน!
ชายชรารู้สึกราวฝันไป ตั้งแต่ทดสอบยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ในบันทึกก็มีระบุไว้ มีผู้ที่เคยได้สิบมาก่อนแต่เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ที่ได้สิบทั้งสามอย่างนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่สองยังไม่ปรากฏด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้น บนฟากฟ้ามีสายรุ้งเส้นหนึ่งพุ่งดิ่งลงอยู่ตรงหน้าของกุนไท่ พร้อมกับคลื่นพลังที่มองไม่เห็น ประคองร่างของชายหนุ่มไว้ก่อนที่ร่างของเขาจะอันตรธานหายไป ชายชราสูดดมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับพึมพำอย่างแผ่วเบาว่า
“ท่านผู้พิทักษ์!....
ทัศนียภาพของกุนไท่แปรเปลี่ยนไปในพริบตา ตรงหน้าของเขามีหญิงชราผมสีขาวโพลนสวมใส่อาภรณ์สีแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่กลับมีรัศมีของผู้ยิ่งใหญ่แผ่ออกมา พลังปราณที่แผ่ออกมานั้นมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด แต่กุนไท่กลับไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด รู้สึกได้เพียงแค่ความยิ่งใหญ่ของมันเท่านั้น!
หญิงชราที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูง จ้องมองมาที่เด็กหนุ่มพร้อมกับโบกมือคราหนึ่ง ก่อนจะทำให้กุนไท่นั่งลงบนฟู่ที่นุ่มสบายอย่างว่าง่าย
“เจ้าสนใจเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่!
หญิงชรากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“จากที่ข้าสัมผัส ข้าเชื่อว่าท่านผู้อาวุโสต้องเป็นบุคคลที่สำคัญ และยิ่งใหญ่ แต่ดูจากบุคลิกของท่านแล้ว ท่านคงตัดทางโลกไปแล้ว สำหรับท่านชื่อเสียง และเงินทองก็ไม่ได้สำคัญ แล้วการที่ข้าไปศิษย์ของท่านนั้น ข้าต้องเก็บไว้เป็นความลับด้วยใช่หรือไม่!”
กุนไท่กล่าวตอบพลางประเมินหญิงชราตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบ หญิงชรารู้สึกตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มหนุ่มตรงหน้าของนาง เห็นได้ชัดว่าอายุเพียงสิบหกปี แต่กลับมีสายตาที่เฉียบคม และความคิดที่อ่านขาด เพียงการวางตัว และกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว ชายหนุ่มตรงหน้าก็สามารถรับรู้ได้แล้ว ความเฉลียวฉลาดขนาดนี้มัน!
“ใช่แล้ว เจ้าพูดถูกทั้งหมด ตลอดทั้งชีวิตข้าไม่เคยรับศิษย์มาก่อน แต่ข้าอยู่ได้แค่อีกไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นแล้ว อายุขัยข้าเริ่มจะหมดเต็มที! ข้าต้องการผู้สืบทอดที่มาคอยทำหน้าที่แทนข้า!”
“หน้าที่ของท่านคือ?”
กุนไท่เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าคือผู้พิทักษ์ที่ปกป้องนิกายแห่งนี้!”
หญิงชราตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม กุนไท่รู้สึกว่าเขาฟังผิดไป อะไรนะ ผู้พิทักษ์! เขาเคยอ่านตำราเกี่ยวกับนิกายนี้มาหมดแล้ว
ผู้นำนิกายจะต้องแข็งแกร่งที่สุดในนิกาย แต่แท้จริงแล้วยังมีผู้ที่เป็นแข็งแกร่งกว่า และเป็นกระดูกสันหลังให้นิกายโดยไม่เปิดเผยตัวตน นั่นคือผู้พิทักษ์! ทั้งสถานะ และความแข็งแกร่ง ผู้นำนิกายยังต้องให้ความเคารพราวกับบรรพบุรุษ!
“การที่ได้เป็นศิษย์ของข้า แม้เจ้าจะไม่ได้มีตำแหน่งหรือสถานะอะไรในตอนนี้ รวมถึงต้องปิดบังตัวตน แต่เจ้ายังได้รับผลประโยชน์! นั่นก็คือข้าจะถ่ายทอดสิ่งที่สืบทอดสืบต่อกันมาของผู้พิทักษ์ให้!”
หญิงชราที่เห็นใบหน้าตกตะลึงของเด็กหนุ่มกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“ศิษย์คาราวะท่านอาจารย์!”
กุนไท่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่ให้อีกฝ่ายเป็นอาจารย์ นี่เป็นหนทางเดียวที่เขาจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว การที่ผู้แข็งแกร่งมาคอยชี้แนะการฝึกให้นั้นนับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก!
“จงเอ่ยนามของเจ้ามา ข้าหญิงชราผู้คนต่างเรียกขานนามของข้าว่า ไป๋เสวี่ย ต่อไปนี้เรียกข้าว่า ท่านอาจารย์เสวี่ย!”
“ศิษย์มีนามว่า กุนไท่ คาราวะท่านอาจารย์เสวี่ย!”
“นี่เป็นของขวัญสำหรับการเป็นศิษย์อาจารย์กัน รับไป ตอนนี้เจ้าไปที่พำนับได้แล้ว!”
ไป๋เสวี่ยกล่าวพลางส่งสร้อยคอให้กุนไท่
กุนไท่รับสร้อยคอมาก่อนจะคำนับ และจากไปในที่สุด ผู้พิทักษ์มองไปที่แผ่นหันของกุนไท่ที่เดินจากไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างคาดหวังว่า
“ความหวังของเผ่ามนุษย์อยู่ที่เจ้าแล้ว!”
เมื่อมาถึงที่พำนับ เขาได้สังเกตว่าได้บ้านพักข้างๆของเหวินอี้ เนื่องจากเขาขอร้องอาจารย์ของเขาให้ได้พักใกล้กับกุนไท่เลยทำให้ได้บ้านพักที่อยู่ติดกัน บ้านพักของศิษย์สายนอกนั้นนับว่าหรูหรามากสำหรับคนธรรมดาอย่างเหวินอี้
การเข้านิกายนี้นั้นไม่ต้องทำอะไรมาก เดือนหนึ่งจะมีการสอน และให้คำแนะนำจากผู้สอนในแนวทางการบ่มเพาะ ส่วนเวลาที่เหลือนั้นพวกเขาต้องบ่มเพาะเอาเอง มีเงื่อนไขที่ว่าต้องไปถึงระดับหลอมรวมพลังก่อนอายุสามสิบปี มิเช่นนั้น จะต้องถูกส่งไปที่นิกายสาขา
ที่นั่นเป็นแหล่งรวมของพวกล้มเหลว และหมดอนาคต แต่ที่นั่นก็ไม่ได้แย่มากนัก เพราะได้ทั้งทรัพยากร และหากสามารถทำได้ดีอาจจะมีโอกาสกลับมาที่นิกายหลักได้อีกด้วย นิกายย่อยจะแบ่งออกเป็นสี่นิกายได้แก่ นิกายฟ้า นิกายสวรรค์ นิกายคำราม และนิกายพิโรธ!
ส่วนทรัพยากรต่างๆ ทางนิกายจะส่งหญ้าวิญญาณให้คนละหนึ่งต้น ซึ่งสำหรับกุนไท่นั้นแม้เขาจะสามารถดูดซับได้ แต่ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย เขาเลยเอาให้เหวินอี้ได้ใช้
ทรัพยากรในตอนนี้เขาพอมีอยู่บ้าง แต่สมบัติที่ช่วยให้ความแข็งแกร่งก้าวกระโดดนั้นยังไม่มี เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขานึกถึงเรื่อง สร้อยคอที่อาจารย์เสวี่ยเป็นคนให้มา ก่อนจะนำเอามันออกมาดู
นัยน์ตาของกุนไท่เปล่งประกายความยินดี และตื่นเต้น สร้อยคอเส้นนี้นั้นนับเป็นสมบัติอย่างแท้จริง และหาได้ยากมาก มันสามารถช่วยให้คนเราบ่มเพาะดวงวิญญาณได้!
ซึ่งการฝึกวิญญาณนั้นทำได้ยากมาก การใช้สมบัตินี้ เพียงแค่สวมมันไว้ จากนั้นก็โคจรลมปราณ และใช้จิตสัมผัสดูดกลืนพลังวิญญาณโดยรอบได้ผ่านสร้อยเส้นนี้ พลังวิญญาณคือพลังต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลัง พลังวิญญาณทำให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ผู้บ่มเพาะไม่สามารถดูดซับได้ การจะดูดซับพลังวิญญาณได้นั้น จะต้องมีกรรมวิธีพิเศษ หรือของวิเศษพิเศษที่สามารถทำได้
กุนไท่ไม่รอช้าสวมสร้อยคอลงไป พร้อมกับทำตามวิธีใช้ เขาอาจจะใช้เวลาไม่นานก็เป็นได้ที่สามารถไปถึงขั้นวิญญาณโดยสมบัติชิ้นนี้!
พลังวิญญาณสีฟ้าที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กุนไท่เริ่มจะมองเห็นบ้างแล้ว เขาทำการดูดกลืนมันอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น หากเขาสามารถทะลวงไปขั้นวิญญาณได้ กุนไท่จะสามารถใช้พลังวิญญาณได้ แต่ไม่สามารถใช้โจมตีได้
การใช้พลังวิญญาณโจมตีนั้นต้องมีวิชาโดยเฉพาะ ซึ่งหาได้ยากมาก และสำหรับกุนไท่ที่ไม่สามารถฝึกวิชาต่อสู้ได้ มันทำให้เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย