บทที่ 85 โอเค! พวกเราจะนอนเตียงเดียวกัน!
“เซียวเล่ย เธอสวยขนาดนี้แล้วเขาไม่อยากทำความรู้จักเธอสักหน่อยหรือ?” หลี่มู่เหมยรีบถามเรื่องพวกนี้อย่างสนอกสนใจ
เซียวเล่ยส่ายหัวแล้วพูดอย่างขมขื่นเล็กน้อย “พูดจริงนะ ตอนนั้นฉันรู้สึกชอบเขาจริงๆ ฉันแน่ใจว่านั่นต้องเป็นรักแรกพบแน่นอน...น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงของเขา เขาไม่ให้โอกาสทำความรู้จักกับฉันเลยสักนิดเดียว แม้แต่เบอร์เขาก็ไม่ให้ฉัน...”
ซูจิ้งเหวินหัวเราะออกมา “คุณนักข่าวใหญ่เซียว รูปร่างเธอก็ดี ห น้าตาก็สะสวย หน้าอกหน้าใจก็ใหญ่โต ฉันกลัวแต่ว่าเธอจะหาชายที่ชอบไม่ได้เสียล่ะมากกว่า”
เมื่อเห็นว่าซูจิ้งเหวินล้อเลียนเธอ เซียวเล่ยกลับหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัวอีกครั้ง “พวกเธอไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันตอนนั้นหรอก ตอนที่ฉันไม่เหลือใครเขาก็เข้ามาช่วยชีวิตฉันไว้ ไม่ใช่ว่าฉันอ่านพวกนิทานเทพนิยายเยอะไปหรอกนะ...นี่คือเรื่องจริง บางทีพวกเธออาจจะแค่ยังไม่เคยเจอกับตัว ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก บางทีอาจจะไม่ได้เรียกว่าหล่อเหลา...มันเรียกว่าอะไรนะ ฉันคิดไม่ออก...”
อารมณ์ของเซียวเล่ยดิ่งลงอย่างกะทันหัน
“เซียวเล่ย...เธอพอจะบอกพวกเราได้ไหมว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?” อยู่ๆ หนิงชิงเชวี่ยก็ถามด้วยเสียงอันสั่นเทา คนที่เหลือต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของหนิงชิงเชวี่ย
“เขาดูแล้วอายุน่าจะราวๆ 20 กว่าปีเท่านั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าดูธรรมดา ผิวดีมาก ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อย ดวงตาของเขาอ่อนโยน มองดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น...เขาสูงเกือบจะ 180 เซ็นติเมตร ไม่อาจเรียกได้ว่าหล่อเหลามากมายอะไร แต่ใบหน้าของเขาคมสันชัดเจน ดูดีมากเลย เวลายิ้มเขามักจะให้ความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเขาก็ไม่สะทกสะท้าน อ้อ...ดั้งจมูกตรง ฟันขาว...จริงสิ ฉันมีรูปของเขาด้วย...”
พูดมาตั้งนานเซียวเล่ยถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าหยิบภาพมาให้ดูมันไม่ง่ายกว่าหรือ?
“เธอรีบเอาออกมาดูสิ!...” หลี่มู่เหมยพูดขึ้นอย่างรีบร้อน เซียวเล่ยนั่งบรรยายอยู่ตั้งนานแต่สิ่งเดียวที่พวกเธอพอจะจินตนาการให้เป็นรูปเป็นร่างได้ก็มีแค่ส่วนสูงของเขาเท่านั้น
เซียวเล่ยหยิบกระจกที่ดูงดงามประณีตบานหนึ่งออกจากกระเป๋า เธอยื่นกระจกออกมาให้ดูพร้อมกับหัวเราะราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองด้วยเล็กน้อย “รูปภาพอยู่ในนี้ ครั้งนั้นฉันแอบถ่ายมาได้ ตอนนี้ฉันก็เป็นได้แค่รักที่ไม่สมหวังแล้วล่ะ”
ทว่าต่อให้เซียวเล่ยไม่พูดออกมา แต่จากน้ำเสียงและกระจกบานเล็กๆ อันนี้ของเธอคนที่เหลือก็พอจะดูออก...เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ไม่อย่างนั้นกระจกบานนี้คงไม่ดูสวยงามขนาดนี้
หนิงชิงเชวี่ยยื่นมือไปรับกระจกบานนั้นมาดู มือของเธอสั่นเทา กระจกร่วงลง โชคยังดีซูจิ้งเหวินที่อยู่ข้างๆ รับไว้ได้ทัน
เห็นหนิงชิงเชวี่ยทำของหล่น 2 ครั้งติดกันแบบนี้ หลี่มู่เหมยก็ถามอย่างกังวลใจ “ชิงเชวี่ย…เธอไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม? หรือว่าพวกเรากลับกันก่อนดี?”
หนิงชิงเชวี่ยพยักหน้า เธอยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อซูจิ้งเหวินกลับเป็นคนอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “ใช่เย่โม่จริงๆ ด้วย...”
“เขาก็ชื่อเย่โม่อยู่แล้ว...” เซียวเล่ยพูดได้ครึ่งเดียวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอมองซูจิ้งเหวินด้วยอาการตกใจ ‘ใช่เย่โม่จริงๆ’...หมายความว่ายัง?
หลี่มู่เหมยรับกระจกไป แล้วก็อุทานออกมาเช่นกัน “ชิงเชวี่ย! ใช่เขาจริงๆ ทำไมเขาถึงไปอยู่หลิวเฉอได้ล่ะ?”
เซียวเล่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เธอหันไปมองซูจิ้งเหวินอย่างถามไถ่
ซูจิ้งเหวินหัวเราะออกมาอย่างเจื่อนๆ “ที่จริงแล้วเขาคือสามีของหนิงชิงเชวี่ยชื่อว่าเย่โม่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไปอยู่ที่หลิวเฉอได้เหมือนกัน”
“สามีของหนิงชิงเชวี่ย!?” เซียวเล่ยทวนคำ ความรู้สึกอันยากจะบรรยายพวยพุ่งขึ้นมาในใจเธอ หน้าของเธอแดงขึ้นทันที เธอรีบพูดขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าหนิงชิงเชวี่ยยกเลิกงานหมั้นกับเขาแล้วหรอกหรือไง!?”
ซูจิ้งเหวินเหลือสายตามองเซียวเล่ยแวบหนึ่ง “เซียวเล่ย..น่าแปลกที่เธอไม่รู้เรื่องนี้ ถึงจะยกเลิกงานหมั้นไปแล้วแต่หนิงชิงเชวี่ยก็กลับมาแต่งงานกับเย่โม่หลังจากนั้น เพียงแค่จัดงานแต่งธรรมดาๆ กันเท่านั้นเอง ตอนนั้นเธอคงกำลังอยู่ที่ทิเบต คิดว่าหลังกลับจากทิเบตเธอคงตรงไปหลิวเฉอเลย นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของหนิงชิงเชวี่ยกับเย่โม่ยังถือว่าเป็นสามีภรรยากันอยู่…ยังไม่หย่าด้วย”
ซูจิ้งเหวินพูดเรื่องนี้ก็เพื่อเตือนให้เซียวเล่ยรู้ว่าตอนนี้เย่โม่เป็นสามีของหนิงชิงเชวี่ยอยู่ เวลาพูดก็ระวังๆ หน่อย แต่คำที่ซูจิ้งเหวินใช้บรรยายก็ยังถือว่าดูดีเกินไป งานแต่งของหนิงชิงเชวี่ยและเย่โม่อย่าเรียกว่าธรรมดาเลย…เรียกว่าไม่ได้จัดงานเลยจะถูกต้องเสียกว่า พวกเขาแค่จดทะเบียนสมรสกันก็เท่านั้น
“อา...” เซียวเล่ยมองหนิงชิงเชวี่ยด้วยแววตาซับซ้อน คิดไม่ถึงว่าคนที่เธอแอบชอบ...ทั้งยังแอบเก็บรูปของเขาไว้ ที่แท้จะเป็นสามีของหญิงสาวที่นั่งดื่มกาแฟกับเธอนี่เอง
“เออ...ขอโทษนะ ชิงเชวี่ย ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเย่โม่คนนั้นคือสามีของเธอ เพราะฉันได้ยินมาว่าเขา...” เซียวเล่ยรู้สึกอึดอัดใจมาก ลึกๆ ในใจเธอรู้สึกผิดหวังและไม่ยินยอมพร้อมใจขึ้นมา
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเย่โม่ที่เธอรู้จักถึงเป็นสามีของหนิงชิงเชวี่ยไปได้ หากเย่โม่คนนั้นใช่คนเดียวกับเศษสวะที่ถูกขับไล่ออกมาแล้วล่ะก็...ทำไมเขาถึงมีฝีมือขนาดนั้นได้? ทั้งยังเย็นชาขนาดนั้นด้วย? สมมุติว่าเขาคือเศษสวะเย่โม่คนนั้นจริงๆ...แล้วหญิงสาวอย่างหนิงชิงเชวี่ยทำไมถึงแต่งงานกับเขาได้กันเล่า?
……….
หยุนปิงเตรียมอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้เย่โม่ยังไม่เคยได้กินดีๆ เลยสักมื้อ..เธอกลัวว่านั่นจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจออกไปซื้ออาหารจากข้างนอกมาไม่น้อยเลย
แค่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาคนเดียว ภายในบ้านก็ราวกับจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก หยุนปิงรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีความสุขขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่กังวลเรื่องที่เย่โม่ทำเอาไว้ล่ะก็...ไม่แน่ว่าเธออาจจะรู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าตอนนี้อีก ณ เวลานี้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงไร้หัวใจ...และเธอก็ไม่คิดอยากจะเป็นด้วย สาเหตุที่เป็นแบบนี้อาจจะเพราะหลายปีมานี้เธอไม่เคยเจอใครที่ทำให้เธอเปิดใจจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง
เย่โม่ไม่ได้ช่วยทำอะไรเลยสักอย่างเดียว แต่กลิ่นอายบางอย่างบนร่างกายของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าสามารถพึ่งพาได้ บางทีอาจเป็นเพราะในบ้านไม่เคยมีผู้ชายมาอยู่ด้วยแบบนี้มาก่อน ถึงแม้เธอจะรู้ตัวดีว่าวิธีคิดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง...แต่เธอก็ไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย เธอกระทั่งหวังว่าเย่โม่จะไม่ได้ฆ่าคนลงไปแบบนั้นด้วยซ้ำ
เย่โม่คือคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล คู่หมั้นก็ขอถอนหมั้นไปแล้ว อีกทั้งร่างกายของเขายังมีโรคที่ยากจะพูดออกมาตรงๆ ได้อีก ทว่าลึกๆ แล้วหยุนปิงกลับแอบคิดว่าตัวเธอไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยสักนิด เธอชอบความรู้สึกที่ได้นอนข้างเย่โม่ มันให้ความรู้สึกสงบสบายใจ แต่เธอเองก็รู้ดี...เรื่องนี้ทำได้เพียงคิดไว้กับตัวเองเท่านั้น เธอไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ อยู่แล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะคิดจริงๆ จังๆ เสียด้วยซ้ำ
ตัวเธอตอนนี้เป็นผู้หญิงแปดเปื้อน ทั้งยังแก่กว่าเย่โม่เยอะด้วย อีกอย่างสายตาของสังคมหลายคู่ก็มองมาที่เธอ...หยุนปิงถอนหายใจ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...ถ้าเย่โม่ไม่ก่อเรื่องไว้ก็คงดี ความเก่งกาจของเขา...บางทีคงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ เย่โม่ก็คิดจะเข้านอนให้เร็วหน่อย นั่นเพราะเขารู้ว่ากลางดึกวันนี้เขาก็ต้องหนีออกจากที่นี่แล้ว นอนพักเอาแรงเอาไว้ก่อนก็ดี ส่วนของในกระเป๋าใบนั้นหยุนปิงก็เอามาให้ทั้งหมดเลย เย่โม่รู้สึกขอบคุณเธอเป็นอย่างมาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ และ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ นั้นเป็นของที่หาได้ยาก ไม่ใช่อะไรที่คิดจะหาก็หาได้เลย ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับพวกมันมาก
“นายไปนอนเตียงเถอะ ฉันจะนอนบนโซฟาเอง” ถึงหยุนปิงจะชอบความรู้สึกที่ได้นอนข้างเย่โม่แค่ไหน แต่เธอก็กลัวว่าตัวเองจะไปกอดเย่โม่แบบตอนนั้นอีก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้านอนต่อทั้งคืน
เย่โม่ส่ายหัว “ผมเป็นผู้ชายก็ต้องนอนโซฟาสิ เธอไปนอนเตียงเถอะ”
“อย่าเลย…ร่างกายของนายยังไม่หายดี จะไปนอนโซฟาได้ยังไง” หยุนปิงรีบปฏิเสธข้อเสนอของเย่โม่ทันควัน
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็นอนด้วยกันเถอะ เมื่อคืนก็แบบนี้ไม่ใช่หรือไง” เย่โม่ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่หยุนปิงจะนอนเตียงเดียวกับเขา กับหยุนปิงแล้วเขามีแต่ความรู้สึกสำนึกขอบคุณเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอีก
“อา...” หยุนปิงไม่แม้แต่คิดจะปฏิเสธข้อเสนอนี้แม้แต่นิดเดียว