ตอนที่แล้วบทที่ 84 เจ้าชายขี่ม้าขาวจากฟากฟ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 86 ออกจากหนิงไห่

บทที่ 85 โอเค! พวกเราจะนอนเตียงเดียวกัน!


“เซียวเล่ย  เธอสวยขนาดนี้แล้วเขาไม่อยากทำความรู้จักเธอสักหน่อยหรือ?”  หลี่มู่เหมยรีบถามเรื่องพวกนี้อย่างสนอกสนใจ

เซียวเล่ยส่ายหัวแล้วพูดอย่างขมขื่นเล็กน้อย  “พูดจริงนะ  ตอนนั้นฉันรู้สึกชอบเขาจริงๆ  ฉันแน่ใจว่านั่นต้องเป็นรักแรกพบแน่นอน...น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงของเขา  เขาไม่ให้โอกาสทำความรู้จักกับฉันเลยสักนิดเดียว  แม้แต่เบอร์เขาก็ไม่ให้ฉัน...”

ซูจิ้งเหวินหัวเราะออกมา  “คุณนักข่าวใหญ่เซียว  รูปร่างเธอก็ดี ห น้าตาก็สะสวย  หน้าอกหน้าใจก็ใหญ่โต  ฉันกลัวแต่ว่าเธอจะหาชายที่ชอบไม่ได้เสียล่ะมากกว่า”

เมื่อเห็นว่าซูจิ้งเหวินล้อเลียนเธอ  เซียวเล่ยกลับหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัวอีกครั้ง  “พวกเธอไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันตอนนั้นหรอก  ตอนที่ฉันไม่เหลือใครเขาก็เข้ามาช่วยชีวิตฉันไว้  ไม่ใช่ว่าฉันอ่านพวกนิทานเทพนิยายเยอะไปหรอกนะ...นี่คือเรื่องจริง  บางทีพวกเธออาจจะแค่ยังไม่เคยเจอกับตัว  ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก  บางทีอาจจะไม่ได้เรียกว่าหล่อเหลา...มันเรียกว่าอะไรนะ  ฉันคิดไม่ออก...”

อารมณ์ของเซียวเล่ยดิ่งลงอย่างกะทันหัน

“เซียวเล่ย...เธอพอจะบอกพวกเราได้ไหมว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?”  อยู่ๆ หนิงชิงเชวี่ยก็ถามด้วยเสียงอันสั่นเทา  คนที่เหลือต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของหนิงชิงเชวี่ย

“เขาดูแล้วอายุน่าจะราวๆ 20 กว่าปีเท่านั้น  สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าดูธรรมดา  ผิวดีมาก  ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อย  ดวงตาของเขาอ่อนโยน  มองดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น...เขาสูงเกือบจะ 180 เซ็นติเมตร  ไม่อาจเรียกได้ว่าหล่อเหลามากมายอะไร  แต่ใบหน้าของเขาคมสันชัดเจน  ดูดีมากเลย  เวลายิ้มเขามักจะให้ความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง  ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเขาก็ไม่สะทกสะท้าน อ้อ...ดั้งจมูกตรง  ฟันขาว...จริงสิ  ฉันมีรูปของเขาด้วย...”

พูดมาตั้งนานเซียวเล่ยถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าหยิบภาพมาให้ดูมันไม่ง่ายกว่าหรือ?

“เธอรีบเอาออกมาดูสิ!...”  หลี่มู่เหมยพูดขึ้นอย่างรีบร้อน  เซียวเล่ยนั่งบรรยายอยู่ตั้งนานแต่สิ่งเดียวที่พวกเธอพอจะจินตนาการให้เป็นรูปเป็นร่างได้ก็มีแค่ส่วนสูงของเขาเท่านั้น

เซียวเล่ยหยิบกระจกที่ดูงดงามประณีตบานหนึ่งออกจากกระเป๋า  เธอยื่นกระจกออกมาให้ดูพร้อมกับหัวเราะราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองด้วยเล็กน้อย  “รูปภาพอยู่ในนี้  ครั้งนั้นฉันแอบถ่ายมาได้  ตอนนี้ฉันก็เป็นได้แค่รักที่ไม่สมหวังแล้วล่ะ”

ทว่าต่อให้เซียวเล่ยไม่พูดออกมา  แต่จากน้ำเสียงและกระจกบานเล็กๆ อันนี้ของเธอคนที่เหลือก็พอจะดูออก...เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ  ไม่อย่างนั้นกระจกบานนี้คงไม่ดูสวยงามขนาดนี้

หนิงชิงเชวี่ยยื่นมือไปรับกระจกบานนั้นมาดู  มือของเธอสั่นเทา  กระจกร่วงลง  โชคยังดีซูจิ้งเหวินที่อยู่ข้างๆ รับไว้ได้ทัน

เห็นหนิงชิงเชวี่ยทำของหล่น 2 ครั้งติดกันแบบนี้  หลี่มู่เหมยก็ถามอย่างกังวลใจ  “ชิงเชวี่ย…เธอไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม?  หรือว่าพวกเรากลับกันก่อนดี?”

หนิงชิงเชวี่ยพยักหน้า  เธอยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อซูจิ้งเหวินกลับเป็นคนอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ  “ใช่เย่โม่จริงๆ ด้วย...”

“เขาก็ชื่อเย่โม่อยู่แล้ว...”  เซียวเล่ยพูดได้ครึ่งเดียวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง  เธอมองซูจิ้งเหวินด้วยอาการตกใจ ‘ใช่เย่โม่จริงๆ’...หมายความว่ายัง?

หลี่มู่เหมยรับกระจกไป  แล้วก็อุทานออกมาเช่นกัน  “ชิงเชวี่ย!  ใช่เขาจริงๆ  ทำไมเขาถึงไปอยู่หลิวเฉอได้ล่ะ?”

เซียวเล่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ  เธอหันไปมองซูจิ้งเหวินอย่างถามไถ่

ซูจิ้งเหวินหัวเราะออกมาอย่างเจื่อนๆ  “ที่จริงแล้วเขาคือสามีของหนิงชิงเชวี่ยชื่อว่าเย่โม่  เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไปอยู่ที่หลิวเฉอได้เหมือนกัน”

“สามีของหนิงชิงเชวี่ย!?”  เซียวเล่ยทวนคำ  ความรู้สึกอันยากจะบรรยายพวยพุ่งขึ้นมาในใจเธอ   หน้าของเธอแดงขึ้นทันที  เธอรีบพูดขึ้นมา  “ไม่ใช่ว่าหนิงชิงเชวี่ยยกเลิกงานหมั้นกับเขาแล้วหรอกหรือไง!?”

ซูจิ้งเหวินเหลือสายตามองเซียวเล่ยแวบหนึ่ง  “เซียวเล่ย..น่าแปลกที่เธอไม่รู้เรื่องนี้  ถึงจะยกเลิกงานหมั้นไปแล้วแต่หนิงชิงเชวี่ยก็กลับมาแต่งงานกับเย่โม่หลังจากนั้น  เพียงแค่จัดงานแต่งธรรมดาๆ กันเท่านั้นเอง   ตอนนั้นเธอคงกำลังอยู่ที่ทิเบต  คิดว่าหลังกลับจากทิเบตเธอคงตรงไปหลิวเฉอเลย  นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน  ตอนนี้ความสัมพันธ์ของหนิงชิงเชวี่ยกับเย่โม่ยังถือว่าเป็นสามีภรรยากันอยู่…ยังไม่หย่าด้วย”

ซูจิ้งเหวินพูดเรื่องนี้ก็เพื่อเตือนให้เซียวเล่ยรู้ว่าตอนนี้เย่โม่เป็นสามีของหนิงชิงเชวี่ยอยู่  เวลาพูดก็ระวังๆ หน่อย  แต่คำที่ซูจิ้งเหวินใช้บรรยายก็ยังถือว่าดูดีเกินไป  งานแต่งของหนิงชิงเชวี่ยและเย่โม่อย่าเรียกว่าธรรมดาเลย…เรียกว่าไม่ได้จัดงานเลยจะถูกต้องเสียกว่า  พวกเขาแค่จดทะเบียนสมรสกันก็เท่านั้น

“อา...”  เซียวเล่ยมองหนิงชิงเชวี่ยด้วยแววตาซับซ้อน  คิดไม่ถึงว่าคนที่เธอแอบชอบ...ทั้งยังแอบเก็บรูปของเขาไว้  ที่แท้จะเป็นสามีของหญิงสาวที่นั่งดื่มกาแฟกับเธอนี่เอง

“เออ...ขอโทษนะ  ชิงเชวี่ย  ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเย่โม่คนนั้นคือสามีของเธอ  เพราะฉันได้ยินมาว่าเขา...”   เซียวเล่ยรู้สึกอึดอัดใจมาก  ลึกๆ ในใจเธอรู้สึกผิดหวังและไม่ยินยอมพร้อมใจขึ้นมา

เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเย่โม่ที่เธอรู้จักถึงเป็นสามีของหนิงชิงเชวี่ยไปได้  หากเย่โม่คนนั้นใช่คนเดียวกับเศษสวะที่ถูกขับไล่ออกมาแล้วล่ะก็...ทำไมเขาถึงมีฝีมือขนาดนั้นได้?  ทั้งยังเย็นชาขนาดนั้นด้วย?  สมมุติว่าเขาคือเศษสวะเย่โม่คนนั้นจริงๆ...แล้วหญิงสาวอย่างหนิงชิงเชวี่ยทำไมถึงแต่งงานกับเขาได้กันเล่า?

……….

หยุนปิงเตรียมอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะ  2-3 วันที่ผ่านมานี้เย่โม่ยังไม่เคยได้กินดีๆ เลยสักมื้อ..เธอกลัวว่านั่นจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา  ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจออกไปซื้ออาหารจากข้างนอกมาไม่น้อยเลย

แค่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาคนเดียว  ภายในบ้านก็ราวกับจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก  หยุนปิงรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีความสุขขึ้นมาก  ถ้าไม่ใช่กังวลเรื่องที่เย่โม่ทำเอาไว้ล่ะก็...ไม่แน่ว่าเธออาจจะรู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าตอนนี้อีก   ณ เวลานี้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงไร้หัวใจ...และเธอก็ไม่คิดอยากจะเป็นด้วย  สาเหตุที่เป็นแบบนี้อาจจะเพราะหลายปีมานี้เธอไม่เคยเจอใครที่ทำให้เธอเปิดใจจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง

เย่โม่ไม่ได้ช่วยทำอะไรเลยสักอย่างเดียว  แต่กลิ่นอายบางอย่างบนร่างกายของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าสามารถพึ่งพาได้  บางทีอาจเป็นเพราะในบ้านไม่เคยมีผู้ชายมาอยู่ด้วยแบบนี้มาก่อน  ถึงแม้เธอจะรู้ตัวดีว่าวิธีคิดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง...แต่เธอก็ไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย  เธอกระทั่งหวังว่าเย่โม่จะไม่ได้ฆ่าคนลงไปแบบนั้นด้วยซ้ำ

เย่โม่คือคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล  คู่หมั้นก็ขอถอนหมั้นไปแล้ว  อีกทั้งร่างกายของเขายังมีโรคที่ยากจะพูดออกมาตรงๆ ได้อีก  ทว่าลึกๆ แล้วหยุนปิงกลับแอบคิดว่าตัวเธอไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยสักนิด  เธอชอบความรู้สึกที่ได้นอนข้างเย่โม่  มันให้ความรู้สึกสงบสบายใจ  แต่เธอเองก็รู้ดี...เรื่องนี้ทำได้เพียงคิดไว้กับตัวเองเท่านั้น   เธอไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ อยู่แล้ว  ไม่กล้าแม้แต่จะคิดจริงๆ จังๆ เสียด้วยซ้ำ

ตัวเธอตอนนี้เป็นผู้หญิงแปดเปื้อน  ทั้งยังแก่กว่าเย่โม่เยอะด้วย  อีกอย่างสายตาของสังคมหลายคู่ก็มองมาที่เธอ...หยุนปิงถอนหายใจ  ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...ถ้าเย่โม่ไม่ก่อเรื่องไว้ก็คงดี  ความเก่งกาจของเขา...บางทีคงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้

หลังจากกินข้าวกันเสร็จ  เย่โม่ก็คิดจะเข้านอนให้เร็วหน่อย  นั่นเพราะเขารู้ว่ากลางดึกวันนี้เขาก็ต้องหนีออกจากที่นี่แล้ว  นอนพักเอาแรงเอาไว้ก่อนก็ดี  ส่วนของในกระเป๋าใบนั้นหยุนปิงก็เอามาให้ทั้งหมดเลย  เย่โม่รู้สึกขอบคุณเธอเป็นอย่างมาก  ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ และ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ นั้นเป็นของที่หาได้ยาก  ไม่ใช่อะไรที่คิดจะหาก็หาได้เลย  ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับพวกมันมาก

“นายไปนอนเตียงเถอะ  ฉันจะนอนบนโซฟาเอง”  ถึงหยุนปิงจะชอบความรู้สึกที่ได้นอนข้างเย่โม่แค่ไหน  แต่เธอก็กลัวว่าตัวเองจะไปกอดเย่โม่แบบตอนนั้นอีก  ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้านอนต่อทั้งคืน

เย่โม่ส่ายหัว  “ผมเป็นผู้ชายก็ต้องนอนโซฟาสิ  เธอไปนอนเตียงเถอะ”

“อย่าเลย…ร่างกายของนายยังไม่หายดี  จะไปนอนโซฟาได้ยังไง”  หยุนปิงรีบปฏิเสธข้อเสนอของเย่โม่ทันควัน

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็นอนด้วยกันเถอะ  เมื่อคืนก็แบบนี้ไม่ใช่หรือไง”  เย่โม่ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่หยุนปิงจะนอนเตียงเดียวกับเขา  กับหยุนปิงแล้วเขามีแต่ความรู้สึกสำนึกขอบคุณเท่านั้น  ไม่มีอย่างอื่นอีก

“อา...”  หยุนปิงไม่แม้แต่คิดจะปฏิเสธข้อเสนอนี้แม้แต่นิดเดียว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด