ตอนที่แล้วบทที่ 83 รั้งไว้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 85 โอเค! พวกเราจะนอนเตียงเดียวกัน!

บทที่ 84 เจ้าชายขี่ม้าขาวจากฟากฟ้า


หนิงชิงเชวี่ยไม่ชอบร้าน ‘สตาร์บัค’ สักเท่าไหร่  อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมาดื่มกาแฟร้านนี้เลย   เธอไม่ชอบสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘สไตล์อเมริกาเหนือ’  อีกอย่างกลิ่นเค้กข้างในร้านก็เป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบเช่นกัน

ทว่าวันนี้เธอกลับจำต้องเดินเข้ามาในร้านสตาร์บัคอย่างเลี่ยงไม่ได้  นั่นเพราะเพื่อนนักข่าวของซูจิ้งเหวินจากปักกิ่งชอบกาแฟสตาร์บัคเป็นอย่างมาก

“มู่เหมย  ชิงเชวี่ย  มาทางนี้”  พอหนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยเดินเข้ามา  ซูจิ้งเหวินที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก็เรียกพวกเธอทันที  ที่นั่งอยู่ข้างกันคือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง  รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว

ซูจิ้งเหวินเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยเดินเข้ามาแล้ว  เธอลุกก็ขึ้นแนะนำให้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้จักกัน  “ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จัก  คนนี้คือเพื่อนของฉันชื่อเซียวเล่ย  นักข่าวที่มีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่งตอนนี้  เธอมักจะทำข่าวอยู่แนวหน้า  ข่าวที่ได้มาก็มักจะเป็นข่าวมือหนึ่งล่าสุดทั้งนั้น...เสี่ยวเล่ย  พวกนี้คือเพื่อนของฉัน…หลี่มู่เหมยและหนิงชิงเชวี่ย”

“สวัสดี  ชิงเชวี่ย  มู่เหมย  ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของหนิงชิงเชวี่ยมานานแล้ว  สาวงามอันดับ 1 ของปักกิ่ง  วันนี้ได้เจอกันทำให้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเองขึ้นมาเลย  ฮ่าฮ่า!”  เซียวเล่ยเองก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน  เธอยืนมือไปเช็คแฮนด์หญิงสาวทั้ง 2 ตรงหน้า

“นักข่าวใหญ่เซียว  ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้วเหมือนกัน  ครั้งที่แล้วฉันเห็นในบล็อกว่าเธอไปทำข่าวที่ชายแดนตรงหลิงเฉอ  ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่หนิงไห่เร็วขนาดนี้  โชคดีจริงๆ”  เครื่อข่ายข่าวสารของหลี่มู่เหมยนั้นกว้างขวางกว่าหนิงชิงเชวี่ยนัก  แค่แปปเดียวก็สนิทสนมกับเซียวเล่ยเสียแล้ว

เซียวเล่ยยิ้มบางๆ  “ครั้งนั้นถ้าไม่ได้คนช่วยเอาไว้…ไม่แน่ว่าฉันอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาก็ได้”   พูดจบเธอก็หันกลับมามองหนิงชิงเชวี่ย  แน่นอนเธอรู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยเป็นคู่หมั้นของเย่โม่  คนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ก็ชื่อเย่โม่  แต่เซียวเล่ยกลับไม่คิดว่าทั้ง 2 เป็นคนๆ เดียวกัน  นั่นเพราะในสายตาเธอนั้นทั้ง 2 คนนี้ถือว่าต่างกันมหาศาล

ชายที่หนิงชิงเชวี่ยหมั้นด้วยนั้นเป็นคนแบบไหน  คาดว่าคนทั้งปักกิ่งคงไม่มีใครไม่รู้  แล้วแบบนี้เขาจะเป็นคนเดียวกับเย่โม่ที่หลิวเฉอได้อย่างไร

“พวกเธออยากดื่มอะไรไหม?”  วันนี้ซูจิ้งเหวินเป็นคนเลี้ยงเอง

หลี่มู่เหมยก็ไม่ใช่คนสนใจเรื่องกาแฟมากนัก  เธอจึงสุ่มเลือกลาเต้มาแก้วหนึ่ง

“ของฉันเอาอะไรก็ได้”  หนิงชิงเชวี่ยไม่ชอบดื่มกาแฟ  ที่เธอมาวันนี้ก็เพื่อถามข่าวคราวเกี่ยวกับเย่โม่   ส่วนเรื่องจะดื่มอะไรเธอไม่คิดจะใส่ใจสักนิด

4 สาวที่นั่งอยู่โต๊ะล้วนเป็นสาวสวยกันทั้งนั้น  ซึ่งนั่นทำให้สายตาของคนทั้งร้านถูกดึงดูดมาทางพวกเธอ  จนทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่

“เซียวเล่ย  ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอมาเหมือนกัน  ฉันรู้สึกชื่นชมจิตวิญญาณนักข่าวของเธอจริงๆ”   ถึงแม้หนิงชิงเชวี่ยจะไม่เคยไปปักกิ่งแต่เรื่องของนักข่าวเซียวเล่ยผู้มีชื่อเสียงแล้ว  เธอเองก็เคยได้ยินมาก่อน

ถึงแม้หลี่มู่เหมยจะไม่รู้ว่าทำไมหนิงชิงเชวี่ยถึงได้สนใจคดีฆาตกรรมคดีนั้นนัก  แต่เธอก็เดาว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่ ง ดังนั้นเธอจึงเป็นคนช่วยหนิงชิงเชวี่ยเอ่ยปากถาม  “เซียวเล่ย  ได้ยินจากจิ้งเหวินว่าที่เธอมาครั้งนี้ก็เพื่อมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีนั้น  แล้วตอนนี้ได้เรื่องอะไรบ้างไหม?”

หลี่มู่เหมยแค่ถามอย่างไม่ได้เจาะจงอะไร  เซียวเล่ยจึงไม่ได้คิดอะไรมาก  เธอแค่คิดอยากจะหัวข้อสนทนาที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น  เธอจิบกาแฟไปอึกหนึ่งแล้วพูดขึ้น  “ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้ยังจับตัวฆาตกรไม่ได้เลย  แต่ครอบครัวของเหยื่อบอกว่ารู้แล้วว่าใครคือฆาตกร  แค่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดก็เท่านั้น  ฆาตกรคนนี้ระวังตัวเป็นอย่างดี  ก่อนจะเข้าไปก่อคดีก็ทำลายกล้องวงจรปิดจนหมด”

หนิงชิงเชวี่ยเมื่อได้ยินว่ายังไม่สามารถจับตัวฆาตกรได้ก็รู้สึกโล่งใจ  เธอดื่มกาแฟในมือเป็นครั้งแรก...ได้กลิ่นนมวัวจางๆ และค่อนข้างลื่นละมุนลิ้น  หนิงชิงเชวี่ยเกิดความรู้สึกว่าที่จริงแล้วกาแฟแก้วนี้ก็รสชาติไม่เลวเลย   ไม่ค่อยมีรสขมเท่าไหร่

“ซ่งเฉ่าถานถูกฆ่าตาย  คาดว่าตอนนี้ตระกูลซ่งคงโกรธจนแทบบ้าแล้วล่ะ  คนแซ่ซ่งพวกนี้จะหยิ่งผยองเกินไปหน่อยแล้ว  ไม่น่าแปลกที่จะมีคนลงมือแบบนี้  ดูท่าว่าเกิดเป็นคนก็ไม่ควรจะหยิ่งผยองให้มากเกินไปจริงๆ”  หลี่มู่เหมยไม่รู้สึกเห็นใจที่ซ่งเฉ่าถานถูกฆ่าตายแม้แต่น้อย  และเธอก็ไม่คิดจะปิดบังความคิดของตัวเองเช่นกัน

เซียวเล่ยกลับส่ายหัว  “ที่จริงแล้วครั้งนี้คนที่โกรธจนแทบบ้าไม่ใช่ตระกูลซ่งอย่างที่เธอเข้าใจ...ถึงแม้ตระกูลซ่งจะโกรธแต่คนในตระกูลก็มีอยู่เยอะ  แต่มีคนๆ หนึ่งที่ตายแล้วก่อให้เกิดความโกรธที่มากกว่าตระกูลซ่งเสียอีก  เขาชื่อเชียนชื่อผิง”

เชียนชื่อผิง?  หนิงชิงเชวี่ยและซูจิ้งเหวินไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน  พวกเธอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง   แล้วคนแบบไหนกันที่เซียวเล่ยบอกว่าโกรธมากกว่าตระกูลซ่งเสียอีก?

“เชียนชื่อผิงเป็นใคร?”  ถึงซูจิ้งเหวินจะรู้สึกประหลาดใจมาก…เธอก็ไม่คิดจะถามออกไป  แต่สำหรับหนิงชิงเชวี่ยแล้วเธอจำเป็นต้องถาม  นั่นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเย่โม่

ราวกับรู้สึกแปลกใจกับความกระตือรือร้นของหนิงชิงเชวี่ย  ซูจิ้งเหวินจึงเหลือบไปมองหนิงชิงเชวี่ยแวบหนึ่ง  ในสายตาของเธอนั้นหนิงชิงเชวี่ยควรจะสนใจเรื่องนี้น้อยกว่าคนอื่นๆ สิถึงจะถูก  แต่นี่แสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้มากกว่าตัวเธอเองเสียอีก  น่าแปลกจริงๆ

ถึงแม้เซียวเล่ยจะเคยได้ยินเรื่องของหนิงชิงเชวี่ยมาก่อน  แต่เธอก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับนิสัยของหนิงชิงเชวี่ยนัก  เธอจึงอธิบายเรื่องนี้ไปตรงๆ  “เชียนชื่อผิง...ที่จริงชื่อนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดหรอก  แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือพ่อของเขาเชียนไป๋เฮ่อ  และเชียนไป๋เฮ่อก็มีอีกชื่อหนึ่งคือ...เชียนหลงโถว”

เชียนหลงโถว?  หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกว่าชื่อนี้ดูคุ้นหูอยู่บ้าง  แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็นใคร

“เชียนหลงโถวคือหัวหน้าแก๊งใต้ดิน ‘หนานชิง’  เขามีอิทธิพลมหาศาล  ว่ากันว่าเขาอาจมีอำนาจพอจะสั่งให้คนงมเข็มในมหาสมุทธจนเจอได้เลยด้วยซ้ำ  ตอนนี้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาถูกฆ่าตาย  เธอว่าด้วยอิทธิพลของเขา...เขาจะหยุดมือหรือเปล่าล่ะ?  เพราะอย่างนั้นคดีนี้ถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว  ตอนนี้เรายังไม่รู้ท่าทีของเชียนหลงโถว...”

เซียวเล่ยยังพูดไม่ทันจบ  แก้วกาแฟในมือของหนิงชิงเชวี่ยที่เพิ่งจะยกขึ้นมาจิบก็ร่วงลง  กาแฟข้างในสาดกระจายเต็มโต๊ะ  ถึงหนิงชิงเชวี่ยจะไม่เข้าใจ ‘หนานชิง’ มากนักแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่รู้จักเลยเสียทีเดียว  เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าเย่โม่จะไปหาเรื่องผู้มีอิทธิพลใหญ่โตขนาดนี้!  หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกกังวลว้าวุ่นใจขึ้นมา

“ชิงเชวี่ย  เธอเป็นอะไรไป?”  หลี่มู่เหมยถามด้วยความกังวลใจ  เธอคิดว่าอาการบาดเจ็บของหนิงชิงเชวี่ยยังไม่หายดีจึงได้เป็นแบบนี้

ซูจิ้งเหวินเองก็มองออกว่าอาการของหนิงชิงเชวี่ยดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง  สีหน้าของหนิงชิงเชวี่ยดูผิดจากปกติทั่วไป  เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที  “พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว  มันเครียดเกินไป...เซียวเล่ย  เธอพูดเรื่องที่ไปหาข่าวที่หลิวเฉอเถอะ  ฉันเองก็อยากลองไปเที่ยวที่นั่นดูเหมือนกัน”

เซียวเล่ยที่เดิมมองหนิงชิงเชวี่ยอย่างสนใจก็ถูกซูจิ้งเหวินดึงดูดความสนใจไปทันที  เมื่อได้ยินคำพูดของซูจิ้งเหวินเธอก็รีบโบกไม้โบกมือทันที  “จิ้งเหวิน  เธอห้ามไปที่หลิวเฉอโดยเด็ดขาด!  ครั้งที่แล้วถ้าไม่ได้เย่โม่ช่วยเอาไว้ฉันคงตายไปแล้ว!”

“เย่โม่!?”  หลี่มูเหมยหนิงชิงเชวี่ยและซูจิ้งเหวิน...ทั้ง 3 คนพูดชื่อนี้ออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เซียวเล่ยที่เป็นคนพูดก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองพูดผิดไป  เธอรีบแก้ทันที  “เป็นเย่โม่  แต่ไม่ใช่...ของหนิงชิงเชวี่ย  ขอโทษนะ...ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย  คนที่ช่วยฉันตอนนั้นก็ชื่อเย่โม่เหมือนกัน”

หนิงชิงเชวี่ยได้สติกลับมา  เธอพูดยิ้มๆ  “ไม่เป็นอะไรหรอก  ฉันไม่ว่าอะไร  เซียวเล่ย...เธอพอจะบอกได้ไหมว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง?”

เมื่อเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยกลับไปสงบนิ่งอีกครั้งเธอก็เล่าเรื่องราวที่พบเจอในหลิวเฉอให้ฟัง  “...พูดจริงๆ นะ  ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าหวังเฉียนจุนจะเป็นคนแบบนั้น  เขาจ่ายเงินส่วนของตัวเองไป 5 หมื่นแล้วทิ้งฉันไปเลย  เขาหนีไปคนเดียวแล้วทิ้งฉันไว้กับแก๊งโจรเดนตายนั่น...”

“อา...ฉันไม่เห็นเธอเขียนเรื่องนี้ลงในบล๊อคเลย  แล้วเธอทำยังไงต่อ?”  หลี่มู่เหมยที่ฟังจนถึงตรงนี้ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

แววตาของเซียวเล่ยราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์  เธอพึมพำ  “ตอนนั้นเขาราวกับเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวลงมากจากสวรรค์เลยล่ะ  เขาซัดพวกเดนตายจนหมอบ  ท่วงท่าของเขาตอนพุ่งทะยานนั้นหล่อเหลาเหลือเกิน...ลูกเตะนั่น...ฉันไม่มีทางลืมมันได้ชั่วชีวิตแน่...แต่ไหนแต่ไรมาฉันก็ไม่เคยเจอยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้แบบนี้มาก่อน   ฉันเคยคิดว่าเรื่องพวกนี้มีแค่ในหนังเท่านั้น  แต่วันนั้นฉันได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ...”

เมื่อได้ยินคำบรรยายของเซียวเล่ย  แม้แต่ซูจิ้งเหวินและหลี่มู่เหมยเองยังรู้สึกตื่นเต้นรอคอยจะได้เจอคนแบบนั้นเข้าสักวัน  มีเพียงหนิงชิงเชวี่ยที่ยิ่งรู้สึกว่าคนๆ ยิ่งคล้ายกับเย่โม่ที่เธอเฝ้าฝันถึง

..........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด