บทที่ 84 เจ้าชายขี่ม้าขาวจากฟากฟ้า
หนิงชิงเชวี่ยไม่ชอบร้าน ‘สตาร์บัค’ สักเท่าไหร่ อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมาดื่มกาแฟร้านนี้เลย เธอไม่ชอบสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘สไตล์อเมริกาเหนือ’ อีกอย่างกลิ่นเค้กข้างในร้านก็เป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบเช่นกัน
ทว่าวันนี้เธอกลับจำต้องเดินเข้ามาในร้านสตาร์บัคอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นเพราะเพื่อนนักข่าวของซูจิ้งเหวินจากปักกิ่งชอบกาแฟสตาร์บัคเป็นอย่างมาก
“มู่เหมย ชิงเชวี่ย มาทางนี้” พอหนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยเดินเข้ามา ซูจิ้งเหวินที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก็เรียกพวกเธอทันที ที่นั่งอยู่ข้างกันคือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว
ซูจิ้งเหวินเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยเดินเข้ามาแล้ว เธอลุกก็ขึ้นแนะนำให้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้จักกัน “ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จัก คนนี้คือเพื่อนของฉันชื่อเซียวเล่ย นักข่าวที่มีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่งตอนนี้ เธอมักจะทำข่าวอยู่แนวหน้า ข่าวที่ได้มาก็มักจะเป็นข่าวมือหนึ่งล่าสุดทั้งนั้น...เสี่ยวเล่ย พวกนี้คือเพื่อนของฉัน…หลี่มู่เหมยและหนิงชิงเชวี่ย”
“สวัสดี ชิงเชวี่ย มู่เหมย ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของหนิงชิงเชวี่ยมานานแล้ว สาวงามอันดับ 1 ของปักกิ่ง วันนี้ได้เจอกันทำให้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเองขึ้นมาเลย ฮ่าฮ่า!” เซียวเล่ยเองก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน เธอยืนมือไปเช็คแฮนด์หญิงสาวทั้ง 2 ตรงหน้า
“นักข่าวใหญ่เซียว ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้วเหมือนกัน ครั้งที่แล้วฉันเห็นในบล็อกว่าเธอไปทำข่าวที่ชายแดนตรงหลิงเฉอ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่หนิงไห่เร็วขนาดนี้ โชคดีจริงๆ” เครื่อข่ายข่าวสารของหลี่มู่เหมยนั้นกว้างขวางกว่าหนิงชิงเชวี่ยนัก แค่แปปเดียวก็สนิทสนมกับเซียวเล่ยเสียแล้ว
เซียวเล่ยยิ้มบางๆ “ครั้งนั้นถ้าไม่ได้คนช่วยเอาไว้…ไม่แน่ว่าฉันอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาก็ได้” พูดจบเธอก็หันกลับมามองหนิงชิงเชวี่ย แน่นอนเธอรู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยเป็นคู่หมั้นของเย่โม่ คนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ก็ชื่อเย่โม่ แต่เซียวเล่ยกลับไม่คิดว่าทั้ง 2 เป็นคนๆ เดียวกัน นั่นเพราะในสายตาเธอนั้นทั้ง 2 คนนี้ถือว่าต่างกันมหาศาล
ชายที่หนิงชิงเชวี่ยหมั้นด้วยนั้นเป็นคนแบบไหน คาดว่าคนทั้งปักกิ่งคงไม่มีใครไม่รู้ แล้วแบบนี้เขาจะเป็นคนเดียวกับเย่โม่ที่หลิวเฉอได้อย่างไร
“พวกเธออยากดื่มอะไรไหม?” วันนี้ซูจิ้งเหวินเป็นคนเลี้ยงเอง
หลี่มู่เหมยก็ไม่ใช่คนสนใจเรื่องกาแฟมากนัก เธอจึงสุ่มเลือกลาเต้มาแก้วหนึ่ง
“ของฉันเอาอะไรก็ได้” หนิงชิงเชวี่ยไม่ชอบดื่มกาแฟ ที่เธอมาวันนี้ก็เพื่อถามข่าวคราวเกี่ยวกับเย่โม่ ส่วนเรื่องจะดื่มอะไรเธอไม่คิดจะใส่ใจสักนิด
4 สาวที่นั่งอยู่โต๊ะล้วนเป็นสาวสวยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นทำให้สายตาของคนทั้งร้านถูกดึงดูดมาทางพวกเธอ จนทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่
“เซียวเล่ย ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอมาเหมือนกัน ฉันรู้สึกชื่นชมจิตวิญญาณนักข่าวของเธอจริงๆ” ถึงแม้หนิงชิงเชวี่ยจะไม่เคยไปปักกิ่งแต่เรื่องของนักข่าวเซียวเล่ยผู้มีชื่อเสียงแล้ว เธอเองก็เคยได้ยินมาก่อน
ถึงแม้หลี่มู่เหมยจะไม่รู้ว่าทำไมหนิงชิงเชวี่ยถึงได้สนใจคดีฆาตกรรมคดีนั้นนัก แต่เธอก็เดาว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่ ง ดังนั้นเธอจึงเป็นคนช่วยหนิงชิงเชวี่ยเอ่ยปากถาม “เซียวเล่ย ได้ยินจากจิ้งเหวินว่าที่เธอมาครั้งนี้ก็เพื่อมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีนั้น แล้วตอนนี้ได้เรื่องอะไรบ้างไหม?”
หลี่มู่เหมยแค่ถามอย่างไม่ได้เจาะจงอะไร เซียวเล่ยจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เธอแค่คิดอยากจะหัวข้อสนทนาที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น เธอจิบกาแฟไปอึกหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้ยังจับตัวฆาตกรไม่ได้เลย แต่ครอบครัวของเหยื่อบอกว่ารู้แล้วว่าใครคือฆาตกร แค่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดก็เท่านั้น ฆาตกรคนนี้ระวังตัวเป็นอย่างดี ก่อนจะเข้าไปก่อคดีก็ทำลายกล้องวงจรปิดจนหมด”
หนิงชิงเชวี่ยเมื่อได้ยินว่ายังไม่สามารถจับตัวฆาตกรได้ก็รู้สึกโล่งใจ เธอดื่มกาแฟในมือเป็นครั้งแรก...ได้กลิ่นนมวัวจางๆ และค่อนข้างลื่นละมุนลิ้น หนิงชิงเชวี่ยเกิดความรู้สึกว่าที่จริงแล้วกาแฟแก้วนี้ก็รสชาติไม่เลวเลย ไม่ค่อยมีรสขมเท่าไหร่
“ซ่งเฉ่าถานถูกฆ่าตาย คาดว่าตอนนี้ตระกูลซ่งคงโกรธจนแทบบ้าแล้วล่ะ คนแซ่ซ่งพวกนี้จะหยิ่งผยองเกินไปหน่อยแล้ว ไม่น่าแปลกที่จะมีคนลงมือแบบนี้ ดูท่าว่าเกิดเป็นคนก็ไม่ควรจะหยิ่งผยองให้มากเกินไปจริงๆ” หลี่มู่เหมยไม่รู้สึกเห็นใจที่ซ่งเฉ่าถานถูกฆ่าตายแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่คิดจะปิดบังความคิดของตัวเองเช่นกัน
เซียวเล่ยกลับส่ายหัว “ที่จริงแล้วครั้งนี้คนที่โกรธจนแทบบ้าไม่ใช่ตระกูลซ่งอย่างที่เธอเข้าใจ...ถึงแม้ตระกูลซ่งจะโกรธแต่คนในตระกูลก็มีอยู่เยอะ แต่มีคนๆ หนึ่งที่ตายแล้วก่อให้เกิดความโกรธที่มากกว่าตระกูลซ่งเสียอีก เขาชื่อเชียนชื่อผิง”
เชียนชื่อผิง? หนิงชิงเชวี่ยและซูจิ้งเหวินไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน พวกเธอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แล้วคนแบบไหนกันที่เซียวเล่ยบอกว่าโกรธมากกว่าตระกูลซ่งเสียอีก?
“เชียนชื่อผิงเป็นใคร?” ถึงซูจิ้งเหวินจะรู้สึกประหลาดใจมาก…เธอก็ไม่คิดจะถามออกไป แต่สำหรับหนิงชิงเชวี่ยแล้วเธอจำเป็นต้องถาม นั่นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเย่โม่
ราวกับรู้สึกแปลกใจกับความกระตือรือร้นของหนิงชิงเชวี่ย ซูจิ้งเหวินจึงเหลือบไปมองหนิงชิงเชวี่ยแวบหนึ่ง ในสายตาของเธอนั้นหนิงชิงเชวี่ยควรจะสนใจเรื่องนี้น้อยกว่าคนอื่นๆ สิถึงจะถูก แต่นี่แสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้มากกว่าตัวเธอเองเสียอีก น่าแปลกจริงๆ
ถึงแม้เซียวเล่ยจะเคยได้ยินเรื่องของหนิงชิงเชวี่ยมาก่อน แต่เธอก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับนิสัยของหนิงชิงเชวี่ยนัก เธอจึงอธิบายเรื่องนี้ไปตรงๆ “เชียนชื่อผิง...ที่จริงชื่อนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดหรอก แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือพ่อของเขาเชียนไป๋เฮ่อ และเชียนไป๋เฮ่อก็มีอีกชื่อหนึ่งคือ...เชียนหลงโถว”
เชียนหลงโถว? หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกว่าชื่อนี้ดูคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็นใคร
“เชียนหลงโถวคือหัวหน้าแก๊งใต้ดิน ‘หนานชิง’ เขามีอิทธิพลมหาศาล ว่ากันว่าเขาอาจมีอำนาจพอจะสั่งให้คนงมเข็มในมหาสมุทธจนเจอได้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาถูกฆ่าตาย เธอว่าด้วยอิทธิพลของเขา...เขาจะหยุดมือหรือเปล่าล่ะ? เพราะอย่างนั้นคดีนี้ถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้เรายังไม่รู้ท่าทีของเชียนหลงโถว...”
เซียวเล่ยยังพูดไม่ทันจบ แก้วกาแฟในมือของหนิงชิงเชวี่ยที่เพิ่งจะยกขึ้นมาจิบก็ร่วงลง กาแฟข้างในสาดกระจายเต็มโต๊ะ ถึงหนิงชิงเชวี่ยจะไม่เข้าใจ ‘หนานชิง’ มากนักแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่รู้จักเลยเสียทีเดียว เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าเย่โม่จะไปหาเรื่องผู้มีอิทธิพลใหญ่โตขนาดนี้! หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกกังวลว้าวุ่นใจขึ้นมา
“ชิงเชวี่ย เธอเป็นอะไรไป?” หลี่มู่เหมยถามด้วยความกังวลใจ เธอคิดว่าอาการบาดเจ็บของหนิงชิงเชวี่ยยังไม่หายดีจึงได้เป็นแบบนี้
ซูจิ้งเหวินเองก็มองออกว่าอาการของหนิงชิงเชวี่ยดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง สีหน้าของหนิงชิงเชวี่ยดูผิดจากปกติทั่วไป เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว มันเครียดเกินไป...เซียวเล่ย เธอพูดเรื่องที่ไปหาข่าวที่หลิวเฉอเถอะ ฉันเองก็อยากลองไปเที่ยวที่นั่นดูเหมือนกัน”
เซียวเล่ยที่เดิมมองหนิงชิงเชวี่ยอย่างสนใจก็ถูกซูจิ้งเหวินดึงดูดความสนใจไปทันที เมื่อได้ยินคำพูดของซูจิ้งเหวินเธอก็รีบโบกไม้โบกมือทันที “จิ้งเหวิน เธอห้ามไปที่หลิวเฉอโดยเด็ดขาด! ครั้งที่แล้วถ้าไม่ได้เย่โม่ช่วยเอาไว้ฉันคงตายไปแล้ว!”
“เย่โม่!?” หลี่มูเหมยหนิงชิงเชวี่ยและซูจิ้งเหวิน...ทั้ง 3 คนพูดชื่อนี้ออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
เซียวเล่ยที่เป็นคนพูดก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองพูดผิดไป เธอรีบแก้ทันที “เป็นเย่โม่ แต่ไม่ใช่...ของหนิงชิงเชวี่ย ขอโทษนะ...ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย คนที่ช่วยฉันตอนนั้นก็ชื่อเย่โม่เหมือนกัน”
หนิงชิงเชวี่ยได้สติกลับมา เธอพูดยิ้มๆ “ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันไม่ว่าอะไร เซียวเล่ย...เธอพอจะบอกได้ไหมว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง?”
เมื่อเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยกลับไปสงบนิ่งอีกครั้งเธอก็เล่าเรื่องราวที่พบเจอในหลิวเฉอให้ฟัง “...พูดจริงๆ นะ ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าหวังเฉียนจุนจะเป็นคนแบบนั้น เขาจ่ายเงินส่วนของตัวเองไป 5 หมื่นแล้วทิ้งฉันไปเลย เขาหนีไปคนเดียวแล้วทิ้งฉันไว้กับแก๊งโจรเดนตายนั่น...”
“อา...ฉันไม่เห็นเธอเขียนเรื่องนี้ลงในบล๊อคเลย แล้วเธอทำยังไงต่อ?” หลี่มู่เหมยที่ฟังจนถึงตรงนี้ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
แววตาของเซียวเล่ยราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ เธอพึมพำ “ตอนนั้นเขาราวกับเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวลงมากจากสวรรค์เลยล่ะ เขาซัดพวกเดนตายจนหมอบ ท่วงท่าของเขาตอนพุ่งทะยานนั้นหล่อเหลาเหลือเกิน...ลูกเตะนั่น...ฉันไม่มีทางลืมมันได้ชั่วชีวิตแน่...แต่ไหนแต่ไรมาฉันก็ไม่เคยเจอยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้แบบนี้มาก่อน ฉันเคยคิดว่าเรื่องพวกนี้มีแค่ในหนังเท่านั้น แต่วันนั้นฉันได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ...”
เมื่อได้ยินคำบรรยายของเซียวเล่ย แม้แต่ซูจิ้งเหวินและหลี่มู่เหมยเองยังรู้สึกตื่นเต้นรอคอยจะได้เจอคนแบบนั้นเข้าสักวัน มีเพียงหนิงชิงเชวี่ยที่ยิ่งรู้สึกว่าคนๆ ยิ่งคล้ายกับเย่โม่ที่เธอเฝ้าฝันถึง
..........