ตอนที่ 17 : ขาวกับดำ
โซ่ยังคงพันตัวพวกเขาต่อไป
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าคำสาปที่ทำให้อ่อนแอนั้นจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่จับพวกเขาได้, เขาก็ค่อยๆบินขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าแมลงซะอีก งานที่เหลืออยู่ก็มีแค่การกำจัดพวกเขาเท่านั้น
“ความแข็งแกร่งของแวมไพร์มาจากพลังเวทย์อันมหาศาล พวกแกอาจจะมีชีวิตยืนยาวแต่ถ้าไม่มีเวทมนตร์, ร่างกายภาพของพวกแกก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์นักหรอก หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ, ถ้าข้าผนึกเวทมนตร์ของพวกแกซะตั้งแต่ตอนนี้ก็คงจะไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว”
“นี่!!?? ทำไมโซ่พวกนี้ถึงไล่ตามข้ามาด้วยหล่ะ!?”
“...........”
อุตส่าห์คิดว่าจะได้จบแบบเท่ๆแล้วเชียว, จริงๆเลยยัยนี่
พอหันไปมองเธอ, มันก็ดูเหมือนว่าโซ่กำลังไล่ตามเธออยู่จริงๆ บางทีมันก็แค่ทำตามหน้าที่ของมันในการจับกุมคนที่คิดไม่ดีกับเขา
แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้น, ทำไมเธอยังไม่โดนจับตัวอีก? นี่เธอเป็นมนุษย์จริงๆรึเปล่า? เวทย์นี้เปิดใช้ในตอนที่เธอไม่ได้ระวังเขาเลยนะ
“ขอโทษที ดูเหมือนว่าพวกมันแค่พยายามจะจับคนที่คิดร้ายกับข้าหน่ะ”
ในตอนที่เขาใช้สายตาหยุดโซ่, เอลน่าก็หายใจหอบอย่างรุนแรงเหมือนกับหายใจไม่ทันแล้วจ้องมาที่เขา
พอเห็นแบบนี้เขาก็หัวเราะเยาะเธอ, แล้วใบหน้าของเธอก็ถูกย้อมด้วยสีแดง
“นี่เจ้า!! ทำไมถึงพยายามใช้โซ่จับพวกเดียวกันห้ะ!?”
“โซ่จะไม่ตอบสนองกับคนที่มองว่าข้าเป็นพวกเดียวกัน เจ้านั่นแหล่ะที่คิดร้ายกับข้าเอง ยิ่งไปกว่านั้น, เจ้าไม่น่าจะมีปัญหาในการจัดการกับโซ่ที่คนอย่างข้าเป็นคนร่ายไม่ใช่หรอ?”
“หนอย! นี่เจ้าเก็บความแค้นจากเมื่อกี้เอาไว้อยู่ใช่ไหม!? ช่วยเพลาๆกับความใจแคบของตัวเองหน่อยเถอะ! ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงในตอนที่เห็นเจ้าถูกไอ้เจ้าแวมไพร์นั่นอัดเละ”
“เป็นห่วงก็เลยบ่นงั้นหรอ ถ้าเป็นแบบนี้คนรอบตัวเจ้าคงจะลำบากน่าดูนะ”
ตอนนี้ใบหน้าของเอลน่าแดงก่ำ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถอธิบายระดับความโกรธของเธอได้อีกแล้ว
การทำให้เอลน่าอยู่ในสภาพนี้มันก็สนุกดี, แต่ลูกค้าที่มาก่อนกำลังรอเขาอยู่
“ขอโทษที พอดีถูกยัยผู้กล้าที่ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้หญิงตรงนั้นทำให้เสียเวลาหน่ะ ว่าแต่, พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว? อ่อใช่, ถึงตรงที่ถ้าแวมไพร์ถูกผนึกเวทมนตร์ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วใช่ไหม?”
“หนอยแหน่ะแก!! อย่ามาดูถูกพวกข้านะ!”
“ปล่อยข้าซะ! ถ้าข้าฉีกโซ่พวกนี้ได้คนอย่างเจ้าหน่ะข้าใช้เวลาขยี้ไม่ถึงวินาทีหรอก!!”
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญลองให้เต็มที่เลย แต่เอาจริงๆต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่ไหวหรอกมั้ง เอาหล่ะตอนนี้.... มันถึงเวลาสำนึกผิดแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียไหม?”
พอพูดจบ, เขาก็รวบรวมพลังเวทย์ปริมาณมหาศาลเอาไว้ที่มือ
มันคือการร่ายเวทย์ที่แตกต่างจากที่เขาใช้ก่อนหน้านี้คนละเรื่อง
พอเห็นแบบนี้, แซมกับดีนก็เริ่มเหงื่อตก
“เหวอ, เดี๋ยวก่อนสิ......! เจ้าไม่เห็นต้องแค้นอะไรพวกข้าขนาดนี้ก็ได้นี่! ถ้าเจ้ายอมปล่อยพวกข้าไปพวกข้าก็จะติดหนี้เจ้านะ!”
“แค้นหรอ.....มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ”
คนที่ยิงเวทย์ใส่ฟีเน่ก่อนหน้านี้ก็คือดีน แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่ทำให้เขารู้สึกอยากฆ่าเป็นพันๆครั้งในตอนที่เขานึกถึงความโกรธพวกนี้
ความจริงที่ว่าดีนยิงเวทย์ใส่เธอ ความจริงที่ว่าเธอต้องมาตกอยู่ในอัตราย ต่อให้ฟีเน่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนัก, แต่แค่นี้มันก็สมควรได้รับการลงโทษแล้ว
“พะ, พวกข้าไปทำอะไรให้เจ้ากัน!? เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพราะคำขอของกิลด์ใช่ไหม!? ถ้าเจ้าจะข้าพวกข้าก็ควรทำภายใต้คำสั่งของกิลด์สิ!”
“พวกแกก็น่าจะเข้าใจดีนะว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อน แกไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเอาความแค้นมาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้น, ต่อให้ข้าไม่ได้รับคำขอมาจากกิลด์, ข้าก็ยังคงเป็นนักผจญภัยอยู่ดี ความจริงนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรอกไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน มันคือหน้าที่ของข้าในการปกป้องผู้คนในทวีปนี้จากพวกมอนส์เตอร์ ไม่ว่าจะมีคำขอหรือไม่ก็ตาม”
“พะ, พวกข้าไม่ใช่มอนส์เตอร์นะ!”
“กิลด์ระบุว่าพวกแกเป็นมอนส์เตอร์ แถมการกระทำของพวกแกก็ไม่เห็นต่างจากมอนส์เตอร์ตรงไหน เอาหล่ะ, ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม? หรือไม่ถ้าพวกแกบอกตัวตนของคนที่สั่งพวกแกมาทำเรื่องแบบนี้ข้าอาจจะสามารถหยุดผผู้กล้าตรงนั้นให้พวกแกก็ได้นะ, สนใจไหม?”
ในขณะที่พูด, พลังเวทย์ของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะมองหรือคิดยังไง, มันก็เห็นได้ชัดว่าการโจมตีที่เขากำลังเตรียมอยู่นี้มันคือการโจมตีแบบทีเดียวตายแน่ๆ สองคนนี้ก็น่าจะเข้าใจดีว่าพวกเขาจะต้องตายแน่ๆถ้ารับการโจมตีนี้เข้าไป
อย่างไรก็ตาม, แม้ว่าแซมกับดีนจะมีสีหน้าหวาดกลัว, แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดออกมา
นี่พวกเขาปากแข็งหรือกลัวจนพูดไม่ออกกัน เขาไม่สามารถนึกภาพสองคนนี้หลงไหลหรือซื่อสัตย์กับคนอื่นได้เลย ดังนั้นมันต้องเป็นเพราะความกลัวแน่ๆ
ผู้บงการที่แม้แต่ค่าหัวคลาส S ยังกลัวงั้นหรอ
ใครกันนะ?
“จะทำอะไรก็รีบทำ ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะจัดการเองแล้วนะ”
“พะ, พวกข้าคือแวมไพร์ที่มีเกียรติ! อย่าคิดว่าพวกข้าจะยอมจำนนให้กับพวกมนุษย์เชียวหล่ะ!!”
“งั้นหรอ ถ้างั้นก็มาจบเรื่องกันเลย ข้าเตรียมการเสร็จแล้วด้วย”
คนที่ประหลาดใจกับคำพูดพวกนี้มากที่สุดก็คือซิลเวอร์
แวมไพร์อาจจะไม่ทันสังเกตุแต่ถ้ามีอะไรที่เอลน่าต้องใช้เวลาเตรียมหล่ะก็มันต้องเป็นสิ่งนั้นแน่ๆ
“อะ, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก!! อย่าบอกนะว่า, เจ้ากำลังจะเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์!?”
“ถ้าใช้แล้วทำไมหล่ะ?”
“แค่เวทมนตร์ของข้าก็พอแล้ว! นี่เจ้าคิดจะทำลายเมืองไปด้วยรึไง!?”
“ข้าจะปรับพลังลงมาเพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอกหน่า ถึงยังไง, ก็มีคนแถวนี้ช่วยหยุดศัตรูให้ข้าหล่ะนะข้าถึงสามารถอัญเชิญแบบระมัดระวังได้”
“หะ, เห้ย เห้ย.....”
“ข้าคือสมาชิกของบ้านแอมส์เบิร์ก การกำจัดศัตรูของจักรวรรดิคือหน้าที่ของข้า ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้พวกมันอย่างเด็ดขาด!”
เอลน่ายกมือขวาของเธอขึ้นฟ้า
จากนั้น
“จงรับฟังเสียงของข้าแล้วจุติลงมา! ดาบดวงดาราส่องสกาว! ตอนนี้, ผู้กล้าต้องการเจ้า!!”
แสงสีขาวส่องลงมาจากสวรรค์
เอลน่าคว้ามันเอาไว้แล้วด้วยประกายสีขาวมันก็เปลี่ยนเป็นดาบเงินสว่างจ้า
มันคือดาบที่ผู้กล้าใช้เอาชนะราชาปีศาจออโรร่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน, ว่ากันว่ามันถูกตีขึ้นมาจากหินดาวตก, มันคือดาบที่สามารถตัดทุกสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นมาได้และไม่ยอมรับความชั่วร้ายทุกรูปแบบ
เนื่องจากพลังอันมหาศาลของมัน, มันจึงถูกผู้กล้าบ้านแอมส์เบิร์กรุ่นแรกผนึกเอาไว้และมีแค่คนที่มีพรสวรรค์เท่านั้นถึงจะใช้ได้
พูดอึกนัยนึงก็คือ, การที่สามารถอัญเชิญดาบเล่มนี้มาได้นั้นก็หมายความว่าคนๆนั้นมีคุณสมบัติเป็นผู้กล้า
เอลน่าอัญเชิญดาบเล่มนี้มาได้ตั้งแต่อายุสิบสอง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้คนเรียกเธอว่าอัจฉริยะ
“!?”
สมกับเป็นดาบที่เคยเอาชนะราชาปีศาจมาก่อน, แค่ตัวตนของมันก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว
ถ้าถูกใช้โดยคนที่มีความสามารถเหมือนกับเอลน่า, คนๆนั้นก็คงจะเรียกว่าไร้เทียมทาน มันคือเหตุผลที่บ้านแอมส์เบิร์กเป็นที่เกรงกลัวของประเทศอื่น ด้วยการใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวนี้, แม้ว่าจะมาเป็นกองทัพก็กำจัดได้ด้วยการโจมตีเดียว แต่ในเรื่องนี้, ในอดีตมีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งที่อัญเชิญดาบเล่มนี้ออกมาเพื่อสู้กับกองทัพ
ถึงยังไงการอัญเชิญดาบเล่มนี้ออกมานั้นก็เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่อัญเชิญมันออกมาอย่างไร้ประโยชน์เพียงเพราะรู้สึกหงุดหงิดคงจะมีแค่เอลน่าหล่ะมั้ง
“เอาหล่ะ ....เตรียมใจไว้ได้เลย”
“เห้อ....ถ้างั้นข้าจะยกให้เจ้าคนนึงแล้วกันนะ”
“เชอะ! พวกมันเป็นเหยื่อของข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว! ข้าต่างหากหล่ะที่ยกให้เจ้าคนนึง”
“ก็ได้, จะคิดแบบนั้นก็ตามใจ”
เขาถอยหลังกลับแล้วเริ่มร่ายเวทย์
เขาไม่ได้ร่ายยาวนักแต่มันเป็นการร่ายที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ใช้พลังเวทย์สูงสุดและรับรองว่าจัดการเป้าหมายได้แน่ๆ
[[ข้าคือผู้ช่วงชิง・การช่วงชิงดำมืดยิงกว่าสุดห้วงลึกปถพี・ความมืดดำมืดยิ่งกว่านรก・ความมืดล้ำลึกกว่าราตรี・ความมืดแห่งการรังสรรค์・ความมืดแห่งความตาย・จงนำพวกที่เกิดจากความมืดมิดกลับไปยังที่ของมัน—ความมืดนิรันดร์]]
มีลูกบอลสีดำขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นเหนือศรีษะของเขา
ตรงข้ามกับความมืดที่กลืนกินทุกสิ่งนี้, แสงสีขาวจากดาบศักดิ์สิทธิ์ของเอลน่าก็ทอดยาวลงมาจากสวรรค์
ดำกับขาว ความมืดและแสงสว่าง
การโจมตีด้วยคุณสมบัติที่เข้ากันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม, ผลที่ตามมาของพวกที่ถูกมันกลืนกินนั้นไม่ต่างกัน
พวกเขาได้ปรับทิศทางการโจมตีด้วย เพราะมันจะช่วยให้ง่ายขึ้นถ้ากำจัดมอนส์เตอร์ไปพร้อมๆกัน ณ ตอนนี้, ลีโอยังอยู่ระหว่างการเตรียมบุกทะลวงฝูงมอนส์เตอร์
เท่าที่เขาเห็น, ยังไม่มีใครอยู่ในฝูงมอนส์เตอร์เลย
แต่เพื่อความแน่ใจ, เตือนพวกนั้นสักหน่อยน่าจะดีกว่านะ
“ถ้ามีใครยังอยู่กลางฝูงมอนส์เตอร์, ให้รีบวิ่งออกมาซะ!”
“ข้ารับประกันไม่ได้นะว่าพวกเจ้าจะไม่โดนสิ่งนี้!”
พวกเขาพูดเตือนพร้อมกัน
บางทีคนที่อยู่ข้างล่างคงรู้สึกได้ถึงอันตราย, ลีโอกับทหารของเขาถอยห่างจากมอนส์เตอร์ในทันทีในขณะที่ทหารรักษาการณ์เองก็ปีนลงมาจากป้อมปราการแล้วเริ่มหนี
ณ ตอนนี้, พวกมอนส์เตอร์ซึ่งเป็นเป้าโจมตีต่างก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
มีมอนส์เตอร์ที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆและไม่เคยได้รับอันตรายจากมนุษย์อยู่ในฝูงนี้ด้วย แต่ก็ขอโทษแล้วกันนะ ถึงพวกมันจะถูกใช้ประโยชน์มาอีกทอดนึง, แต่เขาก็ไม่สามารถมองข้ามความจริงที่ว่าพวกมันโจมตีมนุษย์ได้
เหมือนกับที่พวกมันต่อสู้กับมนุษย์เพื่อปกป้องพวกพ้อง, พวกเขาเองก็ต้องปกป้องมนุษย์เช่นเดียวกัน
สำหรับเรื่องนี้, ในใจของเขานั้นมีแต่ความรู้สึกผิด
อย่างไรก็ตาม, สำหรับสองคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นเขาไม่ได้รู้สึกผิดเลย
“เอาหล่ะ....กัดฟันให้ดีๆหล่ะ”
“ถึงเวลาชดใช้แล้ว!”
“เหวอออออ!?”
“อ้ากกกกกก!!??”
ลูกบอลสีดำกลืนกินดีนไปพร้อมกับฝูงมอนส์เตอร์
แสงจากดาบศักดิ์สิทธิ์ของเอลน่ากลืนกินแซมและกลืนฝูงมอนส์เตอร์ต่อด้วย
ด้วยความที่พวกเขาปล่อยออกมาพร้อมกัน, การโจมตีจึงลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างและในที่สุด, ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ไม่มีเสียงร้องแห่งชัยชนะ ในตอนที่พวกเขามองลงไปดู, ก็เห็นจักรพรรดิกำลังมองมาที่พวกเขาอย่างเหนื่อยอ่อน บางทีเขาคงอยากจะพูดว่า ‘พวกเจ้าทำเกินไปแล้วนะ’ หล่ะมั้ง
แต่ก็ช่างเถอะ, ถึงยังไงคนที่จะโดนบ่นก็คงมีแค่เอลน่า
นั่นสินะ, ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
“ฝ่าบาท! ครั้งนี้ข้าเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง......แต่ถ้าท่านเข็ดกับครั้งนี้แล้วก็อย่าทำเหมือนกับว่ากิลด์ไม่มีตัวตนอีกนะครับ”
“เห้อ...เข้าใจหล่ะ ขอบใจสำหรับความร่วมมือนะซิลเวอร์”
“ด้วยสิ่งนี้, กิลด์ก็จะสามารถรักษาหน้าได้, และพวกเขาก็น่าจะไม่มากดดันจักรวรรดิเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน”
จากนั้นเขาก็โค้งคำนับจักรพรรดิและเตรียมใช้เวทย์เคลื่อนย้าย, ในตอนนั้นเองเอลน่าก็เรียกเขา
“ซิลเวอร์”
“หืม? เจ้ามีอะไรจะบ่นข้าอีกรึไง?”
“ใช่, เยอะเลยหล่ะ แต่ข้าจะยังไม่พูดตอนนี้ ครั้งนี้เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้ โดยเฉพาะฟีเน่, ขอบคุณที่ช่วยเธอนะ เด็กคนนั้น....ถึงยังไงเธอก็เป็นเพื่อนของเพื่อนสมัยเด็กของข้า”
“เพื่อนสมัยเด็กที่ว่าคงหมายถึงเจ้าชายไร้ค่าสินะ?”
“เจ้านี่นะ.....ขนาดเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแวมไพร์ตัวนั้นแล้วเจ้ายังกล้าเรียกเขาแบบนั้นอีกหรอ? ถอนคำพูดซะ เพื่อนสมัยเด็กของข้าคือเจ้าชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ข้าจะไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่กล้ามาล้อเลียนเขาต่อหน้าข้า!”
เอลน่าชี้ดาบศักดิ์สิทธิ์มาที่เขา
สายตาของเธอนั้นบ่งบอกว่าเอาจริง
ดูเหมือนว่าเธออยากจะสู้กับนักผจญภัยแรงค์ SS เพื่อปกป้องชื่อของเขาจริงๆ
ในขณะที่ยิ้มให้เอลน่าอย่างขมขื่น, เขาก็ยอมอ่อนข้อ
“ขอโทษด้วย ถ้าเจ้าพูดถึงขนาดนั้นแสดงว่าการเรียกเขาว่าเจ้าชายไร้ค่าคงจะเสียมารยาทมากจริงๆ แต่ว่า, ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ มีคนอย่างเจ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กนี่คงจะเหนื่อยน่าดู”
“หา!?”
“เอาเถอะ, ตอนนี้ข้าต้องขอตัวลาหล่ะนะ”
พอพูดจบ, เขาก็ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายหนีไปก่อนที่เอลน่าจะบ่น
เขามาถึงห้องห้องที่เซบาสกำลังรออยู่แล้วทิ้งร่างที่เหนื่อยล้าของเขาพร้อมกับถอดหน้ากากและเสื้อคลุมออก
“เหนื่อยหน่อยครับ องค์ชายจะรับชาไหมครับ”
“ขอบใจ....รบกวนหน่อยนะ....”
“ท่านดูเหนื่อยมากจริงๆนะครับ”
“อืม....ก็คิดเอาไว้แล้วหล่ะนะ......”
เวทย์เคลื่อนย้าย, บาเรียรักษา, บาเรียโซ่ต้องสาป, และการโจมตีสุดท้ายนั่นอีก เขาใช้พลังเวทย์ไปเยอะจริงๆ พูดตามตรง, พลังเวทย์ของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว, สภาพร่างกายของเขาเองก็เช่นกัน
“ข้าเหนื่อยแล้ว....ของีบหน่อยนะ.....”
“เรื่องที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการให้เองครับ”
หลังจากดื่มชาไปเล็กน้อย, เขาก็เริ่มหลับคาเก้าอี้ เขาอยากจะไปหลับบนเตียงแต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะไม่ฟังเขาแล้ว
พอเห็นเขาในสภาพนี้, เซบาสก็มากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ขอบคุณที่เหนื่อยยากครับ ท่านทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ, ท่านอาร์โนลด์”
“งั้นหรอ....แสดงว่าข้าพักได้โดยที่จะไม่ถูกลงโทษสินะ......”
เซบาสไม่ได้ชื่นชมเขาแบบนี้มานานมากแล้ว
เดี๋ยวความรู้สึกนี้, เขาก็ปล่อยให้สติหลุดลอยและผลอยหลับไปด้วยความสบายใจ