ตอนที่ 34 ตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณ
ตอนที่ 34 ตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณ
เมื่อมาถึงจุดนี้ชายชราและวัยกลางคนกำลังมองดูชายวัยรุ่นที่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าชายหนุ่มผู้ลึกลับและแข็งแกร่งคนนี้จะยอมโยนเรื่องบาดหมางที่มีก่อนหน้าทิ้งและรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่พวกเขา
ชายชราอดไม่ได้ที่จะมีความสุข เขารู้สึกโชคดีเกี่ยวกับทัศนคติของเขาและการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพื่อให้ชายหนุ่มยกโทษและแสดงความจริงใจด้วยเงิน 10 ล้าน
"เสร็จแล้วล่ะ" หวังเสียนยืนขึ้นแล้วพูดกับชายชรา
เขามีความประทับใจที่ค่อนข้างดีกับชายชราและชายวัยกลางคน เมื่อตอนที่ชายวัยรุ่นโจมตีเขา เขาทั้งสองก็ตะโกนใส่ชายวัยรุ่นทันทีเพื่อให้เขาหยุด
ต่อจากนั้นชายชราก็ขอโทษด้วยความจริงใจ ในขณะนั้นหวังเสียนก็ได้ยกโทษให้พวกเขาแล้วถึงจากไปในตอนนั้น
แต่หลังจากนั้นชายชราก็มอบเงินให้เขา 10 ล้านเหรียญ! นี่คือเหตุผลหลักสำหรับเขาที่จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของกลุ่มชายชรา
"ขอบคุณน้องชาย" ชายชรา ซู เหลียนเจิ้น ยกมือขึ้นคารวะหวังเสียนแล้วกล่าวขอบคุณ
"ขอบคุณผู้มีอุปการคุณ"
"ขอบคุณพี่ใหญ่"
ชายวัยกลางคนและชายวัยรุ่นยังขอบคุณเขาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าชายวัยรุ่นคนนั้นอาจแก่กว่าหวังเสียน แต่เขาก็ยังคงเรียกหวังเสียนในฐานะพี่ใหญ่
ความแข็งแกร่งและความสามารถในด้านการรักษาของหวังเสียนทำให้เขาเกรงกลัวและเคารพหวังเสียนขึ้นมาทันที
"ไม่เป็นไรพวกคุณจ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้ว" หวังเสียนโบกมือแล้วพูดกับชายชรา
"น้องชาย หากจะพูดถึงค่ารักษาพยาบาลนั้นเทียบไม่ได้กับที่น้องชายรักษาให้ฉันเลย ฉันรู้ดีถึงอาการบาดบาดเจ็บของตัวเองซึ่งตัวฉันยังไม่เคยคิดว่าจะสามารถรักษาตัวให้จนหายได้ หากมีสิ่งใดที่ตระกูล ซู ของฉันสามารถช่วยเหลือน้องชายได้
ได้โปรดบอกเรา เราจะไม่ปฏิเสธคุณเลย" ซู เหลียนเจิ้น พูดด้วยความจริงใจ
หวังเสียนมองไปที่ชายชราและยิ้ม เขาเปลี่ยนน้ำเสียงของเขาก่อนดำเนินการต่อ "มีบางสิ่งที่ผมอยากรู้อยากเห็นและต้องการถามผู้อาวุโส คุณช่วยบอกผมได้หรือไม่"
"ถ้าฉันรู้อะไรมันจะไม่มีความลับสำหรับน้องชายเลย" ชายชราตอบอย่างรีบร้อน
"เกี่ยวกับการบ่มเพาะและวิชายุทธ์ผู้อาวุโสสามารถบอกรายละเอียดกับผมได้ไหม" หวังเสียนถามอย่างสงสัย
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้และพลังภายในเลยอย่างน้อยเขาต้องการที่จะรู้ว่ายังมีผู้ฝึกยุทธ์มากน้อยเพียงใดในปัจจุบัน
"บ่มเพาะ?" ซู เหลียนเจิ้น ตกใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและกล่าวว่า "วิธีการบ่มเพาะหรือเพาะปลูกเพื่อฝึกวิชายุทธ์ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อศิลปะการต่อสู้โบราณผู้ที่ก้าวเข้าสู่โลกของศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นเป็นที่รู้จักกันดีนั้นเราเรียกกันว่านักรบ
ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงระดับนักรบมีอยู่ปะปนกับคนธรรมดาอยู่ไม่มากนักในตัวเมือง นักรบส่วนมากที่ฝึกฝนกันนั้นจะมีหลักใหญ่ๆอยู่สองอย่างแบบคือ
หนึ่งสืบทอดกันมาในครอบครัวหรือคนในตระกูลเท่านั้นซึ่งวิชายุทธ์สำหรับการบ่มเพาะและวิชาสำหรับต่อสู้นั้นเป็นทักษะลับเฉพาะของคนในตระกูลเท่านั้น ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณหรือตั้งแต่สมัยสงคราม
สองคือถ่ายทอดกันแบบในระบบสำนักหรือนิกายซึ่งก็คือถ่ายทอดวิชายุทธ์ต่างๆผ่านระบบศิษย์และอาจารย์แบบโบราณนั้นเอง
แต่นักรบในปัจจุบันก็เริ่มถูกควบคุมและซื้อตัวโดยบริษัทเงินทุนต่างๆซึ่งทำให้บางทีนักรบ ไร้ระเบียบเหล่านี้จะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนธรรมดาทั่วไปอย่างมาก "
ชายชราหันมองหวังเสียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ
"ศิลปะการต่อสู้สามารถแยกออกเป็นเก้าระดับผ่านการดูดซับพลังทางจิตวิญญาณ การดูดซับพลังงานต้องผ่านการบ่มเพาะตามแนววิชายุทธ์ของแต่ละบุคคล เมื่อไปถึงระดับนักรบขั้นหนึ่งก็จะสามารถเปิดเส้นลมปราณในร่างกายได้แต่การที่จะเปิดเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายนั้นจำเป็นต้องเปิดจุดชีพจรก่อน
ซึ่งการเปิดจุดชีพจรได้หนึ่งจุดนั้นเราถือว่านับเป็นนักรบระดับขั้นที่หนึ่ง
เมื่อเปิดจุดชีพจรครบทั้งแปดจุดแล้วจะสามารถเชื่อมต่อกันเป็นเส้นลมปราณหนึ่งสายเราจะเรียกระดับนี้ว่าระดับนักรบขั้นเก้า เมื่อถึงขั้นที่เก้าแล้วและสะสมพลังงานและดูดซับพลังงานทางจิตวิญญาณเพียงพอและสมบูรณ์พวกเขาจะทะลางผ่านขั้นใหญ่ขั้นถัดไปซึ่งถูกเรียกว่า
"ขั้นกำเนิดลมปราณ" ผู้เชี่ยวชาญ ขั้นกำเนิดลมปราณ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงของโลกนี้ ส่วนฉัน ซู เหลียนเจิ้น ไม่ได้มีพรสวรรค์มากนัก ฉันได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณโดยบังเอิญเมื่อฉันยังเป็นเด็กอยู่ ตอนนี้ฉันอายุ 85 ปีแล้วฉันอยู่ที่นักรบระดับ 6 เท่านั้นและเป็นอันดับที่ห้าในเมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ ด้วยสิ่งนี้ทำให้ฉันสามารถสนับสนุนและสร้างตระกูล ซู ของฉันให้พอมีที่ยืนในเมืองแห่งนี้ได้ "
"โอ้.." หวังเสียนพยักหน้าและคิดอย่างรอบคอบเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายชราพูด โลกนี้มันลึกลับมากและเขาจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มากมายเป็นกองทัพ
"ลูกชายของฉัน ซู เจี่ยหัว มีความสามารถที่ค่อนข้างดีปัจจุบันเขาเป็นนักรบขั้น 5 และ ซู จิง หลานชายของฉันมีพรสวรรค์ดีที่สุดในตระกูลเราเขาเป็นนักรบระดับที่ 4" ชายชรากล่าวเสริม เขามองไปที่หวังเสียนและพูดต่อ
"ด้วยความแข็งแกร่งของน้องชายฉันกลัวว่าอย่างน้อยต้องเป็นนักรบระดับ 7 อย่างแน่นอนคุณมีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆทั้งๆที่อายุเพียงเท่านี้"
ระดับนักรบขั้น 7 หวังเสียนตกใจเล็กน้อย ระดับปัจจุบันของเขามีเพียงขั้นที่สาม
อย่างไรก็ตามระดับขั้นที่ 3 ของเขาเป็นระดับขั้นของมังกรศักดิ์สิทธิ์ กล่าวอีกนัยคือหนึ่งเขาสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ของมนุษย์สูงกว่าเขาได้ 4 ระดับอย่างสบายๆ
"ในระดับนักรบขั้น 4 สามารถหลบกระสุนในระยะไกลได้และนักรบระดับ 5 สามารถทนกระสุนปืนได้แม้บาดเจ็บก็จะไม่ถึงแก่ความตายหากไม่โดนจุดสำคัญหรือโดนระดมยิงใส่เมื่อถึงระดับ 6 กระสุนธรรมดาจะไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไปที่ระดับ 7 คุณสามารถมองเห็นวิถีกระสุนได้เลย
มีเพียงการระดมยิงด้วยปืนใหญ่หรือระเบิดเท่านั้นที่เป็นอันตราย สำหรับระดับ 8 และ 9 จะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกอย่างเท่าทวี เมื่อฝึกจนถึงขั้น ขั้นกำเนิดลมปราณ
คนนั้นผู้นั้นอาจเป็นถึงผู้ปกครองของภูมิภาคเลยก็ได้ "
ซู เหลียนเจิ้น อธิบายอย่างช้าๆ
หวังเสียนพยักหน้าและยิ้ม
"ขอบคุณสำหรับข้อมูลนี้ผมมีบางอย่างที่ต้องทำในตอนนี้ ถ้างั้นผมขอตัวกลับไปก่อนนะ"
"เอ่อ..เพื่อนตัวน้อย ฉันจะให้เจี่ยหัวไปส่งคุณก็แล้วกัน" ชายชราตอบอย่างรีบร้อน
"ไม่เป็นไรผมเรียกแท็กซี่ไว้แล้ว" หวังเสียนส่ายหัวและปฏิเสธข้อเสนอ
"พี่ชายถ้างั้นผมจะไปส่งพี่เองรถของผมอยู่ที่นั่น!"
ซู จิง พูดขึ้นทันทีและชี้ไปที่รถสปอร์ตของเขาที่จอดอยู่ข้างๆ
"ใช่ น้องชายปล่อยให้เสี่ยวจิงไปส่งคุณมันจะเร็วกว่า" ชายชราสนับสนุน
"อืม...ยังงั้นก็ได้" หวังเสียนเห็นรถแท็กซี่ขับออกไปแล้วดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธในครั้งนี้
"มาพี่ชายให้ผมช่วยถือของไปไว้ในรถให้"
ซู จิง กระตือรือร้นขณะที่เขาหยิบกุ้งขนาดใหญ่และปูที่ด้านข้างก่อนที่จะวิ่งไปที่รถสปอร์ตอย่างรวดเร็วเพื่อเปิดประตูรถ
หวังเสียนพยักหน้ากับ ซู จิง และนั่งลงฝั่งตรงข้ามคนขับ
ซู จิง ยิ้มและปิดประตูอย่างระมัดระวัง
"เสี่ยวจิง!" เมื่อพวกเขากำลังออกรถไป ซู เหลียนเจิ้น และชายวัยกลางคนเดินเข้ามาและเรียกเขาไว้
"ปู่ พ่อ" ซู จิง เดินออกมาจากรถและถามอย่างสงสัย
"นี่คือบัตรสมาชิกระดับสูงสำหรับ ซัมเมอร์ซัน รีสอร์ท ของเรานำมันมอบให้น้องชายตัวน้อย และเจ้าต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างดีนี่อาจเป็นโอกาสสำหรับตระกูล ซู ของเราจำไว้! ตระกูล ซู ของเรายังอ่อนแอมาก "
ซู เหลียนเจิ้น สั่ง ซู จิง อย่างเข้มงวด
"มั่นใจได้เลยท่านปู่ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรและจะไม่มีปัญหาแน่นอน"
ซู จิง พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
"หืมม ดี... รีบไปส่งเขาเถอะ"
ซู เหลียนเจิ้น ตบบนไหล่ของเขาเบาๆ
"ครับ" ซู เหลียนเจิ้น เข้าไปในรถของเขาทันที
"พี่ชายคุณจะไปที่ไหน"
"มหาวิทยาลัย เจียงเฉิง" หวังเสียนตอบพร้อมกับยิ้มเมื่อได้ยิน ซู จิง เรียกเขาพี่ชายใหญ่ เขาเห็นคราบเลือดบนเสื้อผ้าของ ซู จิง แล้วคิดกับตัวเอง
"หรือว่าคนรวยพวกนี้ต้องโดนตีแล้วถึงจะเชื่อง"
"เอาล่ะพี่ชาย พี่เป็นนักเรียนของ มหาลัยเจียงเฉิง งั้นเหรอผมก็จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนกัน"
ซู จิง กล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาสตาร์ทรถและเห็นหวังเสียนพยักหน้า เขาจึงหยิบบัตรสมาชิกระดับสูงสำหรับตระกูลของซัมเมอร์ซันรีสอร์ทที่ปู่ของเขาส่งให้หวังเสียน
“พี่ชายนี่เป็นบัตรสมาชิกระดับสูงสำหรับคนในตระกูลของเราเท่านั่นถึงมีมันได้ พี่ชายสามารถเพลิดเพลินกับบริการที่ดีที่สุดในซัมเมอร์ซันรีสอร์ท ของเราได้ มันฟรี ทุกอย่างสำหรับพี่ชาย หากพี่มีเวลาสามารถพาเพื่อนมาด้วยได้”
" บัตรสมาชิกครอบครัว" หวังเสียนประหลาดใจที่เห็นการ์ดใบนี้"
ซัมเมอร์ซันรีสอร์ทเป็นธุรกิจของตระกูลนายงั้นรึ?”
"ใช่ พี่ชายนอกจากนี้ยังมีโรงแรมนานาชาติซัมเมอร์ซันมี่อยู่ในใจกลางเมืองบัตรใบนี้ยังสามารถใช้ที่นั้นได้ด้วยอีกเหมือนกัน" ซู จืง กล่าว
จนถึงตอนนี้ตระกูล ซู ได้ออกบัตรดังกล่าวให้แก่คนนอกตระกูลเพียงสองใบเท่านั้น ผู้ที่ครอบครองบัตรใบนี้สามารถเพลิดเพลินกับบริการที่ดีที่สุดในซัมเมอร์ซันรีสอร์ทโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ตลอดไป
ยิ่งไปกว่านั้น "บัตรสมาชิกครอบครัว" เป็นการให้เกียรติสูงสุดของคนในตระกูลเพื่อแสดงถึงความสนิทสนมและสามารถช่วยให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาสั้นลง
“ไม่เป็นไร” หวังเสียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยเขาไม่ได้คาดหวังว่าตระกูลคนพวกนี้ นั้นจะเป็นเจ้าของซัมเมอร์ซันรีสอร์ทนี่อธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ใช้เงินชดเชย
10 ล้านเหรียญอย่างง่ายดาย
“พี่ชายคุณ ช่วยยอมรับมันเถอะครับ ผมทำตามคำสั่งของปู่และพ่อของผม ไม่เช่นนั้นผมคงจะถูกพวกเขาจัดการแน่นอนเมื่อผมกลับไป พี่ชายนึกว่าช่วยผมเถอะนะนะ..นะ”
ซู จิง หันกลับมาทำท่าทางอย่างน่าส่งสารน่าเวทนา
"เฮ้ยย..อะไรกันว่ะ!!" หวังเสียนพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าอย่างนั้น
"นายจะมาแสดงความน่ารัก น่าสงสารแบบนี้ไม่ได้นะโว้ยย!!
นี่มันแนวฮาเร็มนะเฟ้ยยย!!ไม่วาย"
หวังเสียนทำหน้าเหว๋อ และแอบด่าในใจ
และยังจะเรียกฉันว่า 'พี่ชาย' อีกด้วย
∑( ̄□ ̄;)
………
จบบท