ตอนที่ 112 หมู่บ้านโอปะ
“เอ่อ พี่ชายแรงค์ F เองหรือครับ”
ทิวถามขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพื่อความแน่ใจ อย่างน้อยเขาก็หวังอยู่ในใจว่าแรงค์ที่แท้จริงของเหนือภพจะสูงกว่านั้นหลายขั้น การที่เข้าหาเหนือภพตอนแรกก็เพราะมีภารกิจเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขา ทำให้เขามีความสนใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับเหนือภพ นี่เป็นโอกาสที่จะได้กลับบ้านพร้อมกับโอกาสในการหาเงินสักก้อน
“ทำไม เจ้าไม่อยากไปกับข้าแล้วเหรอ ?”
“ไม่ ๆ ข้าก็แค่ถามให้แน่ใจเฉย ๆ”
ทิวไม่กล้าสบตาเหนือภพ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรยามที่เขาอยู่ใกล้เหนือภพ เขากลับรู้สึกกริ่งเกรงบางอย่าง คิดไปคิดมาทิวก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองว่าเหนือภพมีความสามารถมากกว่านั้นแน่ ๆ เขาพยายามมองข้ามความอันตรายที่เจ้าหน้าที่คนนั้นพูด ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่
“พี่ชายพร้อมเดินทางเมื่อไหร่ครับ”
“ตอนนี้เลย และอีกอย่าง เรียกข้าว่าภพก็พอ”
เหนือภพมักเตรียมตัวพร้อมก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง สิ่งของจำเป็นทุกอย่างจึงติดกายเขาอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางมุ่งลงใต้ในทันที ส่วนทิวมีท่าทีละล้าละลัง แต่สุดท้ายเขาก็ตามเหนือภพไป ถึงอย่างไรเสื้อผ้าบางส่วนที่เขาเก็บเอาไว้ที่ห้องพักก็ไม่มีค่าอะไรมากอยู่แล้ว
ระยะทางจากเมืองอมตะนครถึงหมู่บ้านโอปะนั้นไม่ไกลมากนัก เพียงข้ามภูเขาสี่ลูก ข้ามแม่น้ำสายใหญ่สามสาย เหนือภพและทิวใช้เวลาราว 14 วันก็สามารถเข้าถึงเขตป่าของหมู่บ้านโอปะแล้ว และเลยพ้นเขตป่านี้ไปก็จะถึงตัวหมู่บ้านในทันที
ความจริงแล้วพวกเขาควรจะถึงหมู่บ้านเร็วกว่านี้สองวัน แต่สาเหตุเป็นเพราะทิว แม้ทิวจะเป็นฮันเตอร์ผู้มีพรสวรรค์ แต่ปราณอาคมที่เขามีนั้นนับเป็นระดับอาคมที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้การเคลื่อนที่ด้วยการใช้อาคมทำได้ไม่บ่อยนัก พวกเขาจึงเสียเวลาพักระหว่างทางเป็นระยะเพื่อให้ทิวพักฟื้นร่างกาย แม้เหนือภพจะสามารถแบกทิววิ่งได้ก็ตาม แต่เหนือภพเห็นว่าเขาควรจะทดสอบขีดจำกัดของเพื่อนร่วมทีมสักหน่อย และให้ทิวได้รู้จักฝึกฝนตนเองด้วย
“อ้อมป่านี้ไป ก็ถึงหมู่บ้านแล้วครับ”
ทิวพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ หลังจากผ่านการเดินทางมาอย่างต่อเนื่องร่างกายของเขาก็แทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่ไหว ปราณอาคมถูกรีดเร้นจนหมดสิ้น ส่วนกำลังกายของเขาก็อ่อนแรงราวกันบัณฑิตป่วย
ขณะที่เหนือภพยังคงดูสดชื่นแจ่มใสดี แม้เขาจะมีร่องรอยของความเบื่อหน่ายจากการเดินทางอยู่บ้างเพราะเขาไม่ได้พบเจออะไรที่น่าสนใจเลย สัตว์อสูรที่พบก็มีแต่ระดับต่ำ รังอสูรที่เขาคาดหวังจะได้เก็บเกี่ยวผลกำไรบ้างก็ไม่มีแม้แต่น้อย
เหนือภพมองสำรวจป่าของหมู่บ้านโอปะอย่างละเอียด มันเป็นป่าที่แตกต่างจากที่เขาเคยเห็น ที่นี่เป็นป่าขนาดใหญ่มาก มีพรรณไม้อุดมสมบูรณ์ ผลไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์แทรกอยู่ในดงต้นปาล์มและมะพร้าว นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ใหญ่ผลัดใบที่ให้เนื้อไม้ลายสวยอีกเป็นจำนวนมาก หากตัดเอาไปขายเพื่อสร้างอาคารละก็ คงได้กำไรมากทีเดียว
“ทำไมไม่ตัดตรงเข้าไป หมู่บ้านของเจ้าอยู่อีกฟากไม่ใช่หรอ”
“ใช่ครับ แต่ว่าในป่าแห่งนี้มีสัตว์อสูรที่มีแรงค์สูงกว่าระดับ E อยู่มาก มันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นเราควรเสียเวลาสักหน่อย อ้อมป่านี้ไปอีกสองวันก็ถึงแล้วครับ”
“เฮ้อ”
เหนือภพพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายในความขี้กลัวของทิว ก่อนจะตัดสินใจได้
“ไม่เอาอ่ะ ตัดตรงเลยดีกว่า”
จากนั้นเหนือภพก็ชักดาบแส้ที่ช่างดาบทำเลียนแบบจากดาบแส้อสรพิษขององค์หญิงบุษย์น้ำทองขึ้นมา แม้จะเป็นของเลียนแบบแต่คุณภาพของมันนั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นของปลอม เพราะมันถูกตีขึ้นด้วยโลหะผสมเหล็กไหลที่หาได้ยาก โดยใช้วิทยาการโบราณที่ได้มาจากแบบแปลนศาสตราวุธสังหารเทพ แถมยังถูกเคลือบด้วยแร่หกสีอีกด้วย
“จะ จะ ดีหรือครับ”
ทิวไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก แม้ตลอดเดินทางเขาจะรับรู้ความสามารถของเหนือภพมาบ้าง แต่ว่าสัตว์อสูรแรงค์ E กับ D แม้จะต่างกันเพียงแค่ขั้นเดียว แต่ความจริงมันต่างกันราวฟ้ากับเหว มันมีช่องว่างที่กว้างมากพอที่ทำให้ทิวรู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลเกินไป ปกติแล้วคนในหมู่บ้านของเขาจะไม่มีใครกล้าเดินดุ่มผ่านป่า นอกจากจะรวมกลุ่มฮันเตอร์ได้จำนวนมากเท่านั้น
“พี่ภพ อ้อมไปเถอะครับ !”
ทิวกางแขนทั้งสองข้างขวางหน้าเหนือภพแล้วพูดอย่างหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จนเหนือภพตะลึง แต่เหนือภพก็ไม่คิดว่าป่านี้จะมีสัตว์อสูรที่มีระดับสูงเกินเขา
“โอ้ เข้มแข็งก็เป็นนี่ แต่เจ้าจะทิ้งการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นนี้ไปได้ยังไงเล่า ตามมาแล้วข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”
เหนือภพตัดสินใจวิ่งพร้อมกับฉุดลากมือทิววิ่งตัดตรงเข้าไปในป่าทึบด้วยท่าทางร่าเริง ร่างของทิวปลิวติดมือเหนือภพไปราวกับเป็นเศษผ้าชิ้นหนึ่งที่ผูกอยู่ในมือเหนือภพเท่านั้น เหนือภพเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ทิวคาดไม่ถึง ตลอดทางที่ตัดผ่านป่านั้นทิวมองเห็นสภาพรอบกายเป็นภาพเบลอ ๆ เขาได้ยินเสียงสบถ เสียงสัตว์อสูรกรีดร้อง เสียงต่อสู้ และก็เสียงสบถอีกรอบ บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้อง จากนั้นภาพต้นไม้ใหญ่ก็พุ่งผ่านสายตาของเขาไปอย่างรวดเร็วจนเขาทนมองไม่ได้แล้วต้องหลับตาลงในที่สุด ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวเหนือภพก็พาทิวมาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้านโอปะ
เหนือภพหยุดยืนมองป้ายทางเข้าหมู่บ้าน แล้วก็หันกลับไปมองป่าทึบที่เขาเพิ่งผ่านมาด้วยสายตาหม่นหมอง สัตว์อสูรที่อยู่ในป่านั้นระดับต่ำเกินไปสำหรับการเก็บเกี่ยวผลกำไรของเขา
“น่าผิดหวังสุด ๆ”
“อ้วกกก”
ทิวปรับความคิดและอารมณ์ของตัวเองไม่ทัน เขาไม่เคยเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้ มันเร็วมากจนเขาหัวหมุนท้องไส้ปั่นป่วน
เมื่อทิวอ้วกเสร็จเรียบร้อย เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเหนือภพที่กำลังใช้ผ้าเช็ดคราบเลือดของสัตว์อสูรที่เปรอะเปื้อนใบดาบแส้ จู่ ๆ ทิวก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกว่าเหนือภพมีท่าทางคล้ายกับฮันเตอร์วัยกลางคนที่ใช้เวลาออกล่าทำภารกิจมานานตลอดชีวิตของเขา
เหนือภพควักใบภารกิจที่เป็นภารกิจซ้อนทั้งสองใบออกมา ผู้ว่าจ้างคนหนึ่งคือผู้ใหญ่บ้าน ส่วนอีกคนหนึ่งคือพ่อค้าในขบวนพ่อค้าที่จำเป็นต้องเดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งนี้
“พาไปหาผู้ใหญ่บ้านหน่อย”
“ครับ”
ทิวเช็ดปากเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาก็พาเหนือภพเข้าไปหาผู้ใหญ่บ้าน แม้หมู่บ้านนี้จะดูไม่ใหญ่โตมากนัก ไม่อาจใช้คำเรียกว่าเมืองได้ แต่ที่นี่ก็นับว่ามีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจการค้าพืชผลทางการเกษตร และการค้าของป่า และด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ที่นี่จึงได้เป็นทางผ่านของขบวนพ่อค้ามากมายด้วยเช่นกัน
เหนือภพถูกพาไปที่บ้านไม้หลังโต หากมันมีพื้นที่สวนตกแต่งรอบด้านมากกว่านี้และต่อเติมห้องเพิ่มอีกสักหน่อย มันคงจะถูกเรียกว่าคฤหาสน์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เหนือภพแสดงใบภารกิจให้คนเฝ้ายามดูจากนั้นเขาก็เข้าถึงตัวผู้ใหญ่บ้านได้โดยง่ายดาย
“ท่านรู้ไหมว่าสัตว์อสูรที่จับพวกผู้หญิงไป มีหน้าตาลักษณะเป็นยังไง”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก เพราะข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ฮันเตอร์คงต้องไปถามกับคนที่เห็นด้วยตัวเอง เขาอยู่ท้ายหมู่บ้าน หากฮันเตอร์ไปไม่ถูก เจ้าทิวมันน่าจะพาไปได้”
“ลุงจบหรือครับ”
ทิวแทรกถามขึ้น เพราะเท่าที่เขานึกออก ท้ายหมู่บ้านก็มีบ้านหลังเดียวเท่านั้นคือบ้านของลุงจบ
“ใช่ เจ้าจบนั่นแหละ งั้นข้าขอตัวก่อนนะ ข้ามีธุระต้องไปทำ”
พอผู้ใหญ่บ้านให้ข้อมูลเสร็จเขาก็จากไปทันที
เมื่อเหนือภพไม่ได้รับข้อมูลอะไรจากผู้ใหญ่บ้านอีก เขาก็ถามจากทิวแทน เขาได้รู้ว่าลุงจบเป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน เป็นพ่อม่ายลูกติดและมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อจิต เธอน่าจะเป็นหญิงสาวที่มีอายุ 22 ปี นับว่าอายุมากกว่าเหนือภพเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ทันทีที่เหนือภพกับทิวไปถึงบ้านหลังเล็กของลุงจบ เขาก็พบว่าบ้านยกสูงมุงหญ้าคาหลังนั้นมีร่องรอยการถูกงัดแงะและถูกโจมตี ฝาบ้านแตกหัก หลังคาทะลุ บันไดบ้านมีร่องรอยถูกวัตถุที่มีน้ำหนักมากกดทับจนหัก พวกเขาค้นหาอยู่สักพัก แต่ก็ไม่พบลุงจบ
เหนือภพและทิวจึงทำได้แค่ถามไถ่จากคนในหมู่บ้านที่เดินผ่านมาในบริเวณนั้น
“ลุงจบน่ะหรอ หลังจากที่ลูกสาวเขาหายไป พวกข้าไม่เห็นเขามาสิบกว่าวันแล้ว”
“เอาไงล่ะทีนี้ เบาะแสหายหมด ทิว เจ้าพอจะรู้จักคนที่สนิทกับลุงจบบ้างไหม”
ทิวพยายามคิด ก่อนจะพยักหน้า
“ดูเหมือนจะมีคนหนึ่ง แต่ข้าไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่ เขาชื่อทอง”
“งั้นไปกัน”
ณ ริมหนองน้ำท้ายหมู่บ้าน
“เจ้านี่เนี่ยนะ”
“ครับ ปกติแกจะวนเวียนไปหาลุงจบอยู่บ่อย ๆ”
เหนือภพอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่เขาก็ต้องเก็บอาการขณะมองพี่ทองที่เป็นคนสติไม่ดี พี่ทองกำลังนั่งติดและเขี่ยดินไปมาด้วยสองมือของเขา เหนือภพกุมขมับก่อนจะมองทิว
“เป็นหน้าที่เจ้า ลองถามพี่ทองดู เอาข้อมูลทุกอย่างเท่าที่ได้ เดี๋ยวข้ากลับมา”
เหนือภพพูดตัดบท จากนั้นก็เดินแยกตัวออกไปเมื่อเห็นว่ามีนกอาคมตัวหนึ่งบินมาหาเขา
เหนือภพเดินมาหาที่ลับตา ก่อนจะเปิดจดหมายที่ส่งตรงมาจากสำนักงานฮันเตอร์ เนื้อหาในจดหมายช่วงแรกไม่ได้มีอะไรสำคัญเลย นอกจากการด่าด้วยตัวถ้อยคำที่ไม่ซ้ำกันเลยสักประโยค เหนือภพอ่านไปด้วยความชื่นชมทักษะทางภาษาของเจ้าหน้าที่สำนักงานฮันเตอร์คนนั้น
เมื่อเขาอ่านมาถึงช่วงท้ายของจดหมาย เขาก็ต้องตกใจที่เห็นว่ามีใบภารกิจที่ไม่มีการจัดอันดับแรงค์แนบมาด้วย มันคือใบคำร้องให้ช่วยทำภารกิจของผู้ว่าจ้างคนใหม่ที่ส่งไปถึงสำนักงานฮันเตอร์อีกฉบับ เนื้อหาของภารกิจได้บ่งบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการหายตัวไปของสาว ๆ ที่หมู่บ้านโอปะเพียงประโยคเดียวว่า ไม่ใช่สัตว์อสูร ลงชื่อผู้ว่าจ้างชื่อจบ ช่างไม้แห่งหมู่บ้านโอปะ
เหนือภพพับเก็บจดหมายด้วยความงุนงงไปชั่วขณะ หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ลุงจบคงจะส่งจดหมายไปถึงสำนักงานฮันเตอร์ก่อนที่จะหายตัวไป
เหนือภพย้อนกลับมาหาทิวที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ หนองน้ำโดยปราศจากร่างของลุงทอง
“ได้อะไรบ้าง”
“ยังไม่ได้อะไรมากครับ พี่ทองดูเหมือนรู้เรื่องนะครับ แต่ว่าพูดไม่ได้ เขาเอาแต่ทำท่าทางอย่างกับลิง แต่ข้ายังไม่ทันรู้เรื่อง ผู้ใหญ่บ้านก็ให้คนมาตามพี่ทองไปก่อน”
“ตามลุงไปทำไม”
“ก็ไม่รู้นะครับ คงเรียกไปกินข้าวมั้ง ยังไงพี่ทองก็เป็นหลานของผู้ใหญ่บ้าน”
เหนือภพได้ฟังแบบนั้นก็เลิกคิ้วสงสัย เขาและทิวตระเวนถามเกี่ยวกับเหตุการณ์คดีคนหาย จึงพบว่ามีสิบกว่าครอบครัวที่ลูกสาวหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ แต่ที่พวกเขาพอจะจำเหตุการณ์ได้คือทุกครั้งที่จะเกิดการลักพาตัว บ้านผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายจะเห็นเงาร่างใหญ่ยักษ์มีขนคล้ายกับสัตว์อสูรจำพวกวานร
เหนือพยายามเก็บเกี่ยวข้อมูล แต่เนื้อหาในจดหมายของลุงจบมันแปลกเกินไป ไม่ใช่สัตว์อสูรงั้นหรือ หากไม่ใช่สัตว์อสูรมันก็ต้องเป็นมนุษย์ แต่บ้านที่เกิดเหตุกว่าสิบหลังพูดตรงกันว่ามันมีลักษณะคล้ายวานรตัวใหญ่ยักษ์ แล้วความจริงคืออะไรกันแน่