ตอนที่ 110 ชีวิตแสนสงบของพิภพ
“เฮ้อ นี่ข้าแค่เปลี่ยนสีผมเองนะ เจ้าพวกนั้นจำข้าไม่ได้จริงดิ”
เหนือภพพึมพำกับตัวเอง หลังจากที่เขาออกมาจากสำนักงานฮันเตอร์ เขาทำแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว มันจึงเป็นความเคยชินและความสนุกในใจ ใครจะรู้ว่าคนที่พวกเขาพยายามตามหาจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแค่นี้
เหนือภพแฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงอมตะนครภายใต้ฐานะฮันเตอร์หน้าใหม่ที่ทำภารกิจไปวัน ๆ เขาเปลี่ยนชื่อเป็นพิภพ และปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ดูภูมิฐานมากขึ้น ตอนนี้เขารู้จักที่จะเก็บซ่อนอีเตอร์เอาไว้ไกลตัวเพื่อไม่ให้ใครจดจำเขาได้
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามตามหาเบาะแสของศิษย์พี่ทั้งสอง แต่ยังไร้ซึ่งทิศทาง แม้แต่กลุ่มภารดาที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่พบอะไรเช่นกัน ราวกับว่าศิษย์พี่ของเขาทั้งสองไม่เคยมีตัวตนอยู่
ส่วนสมุทรนั้น วันก่อนเหนือภพก็ได้ข่าวว่าสมุทรได้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูลไตรลักษณ์เต็มตัวแล้ว ทำให้เขาเองไม่มีโอกาสใกล้ชิดหรือติดต่อสมุทรได้อย่างอิสระอีก ไม่ใช่เพราะความห่างชั้นของฐานะ แต่เป็นเพราะการทำเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง เพราะงานแรกที่ผู้นำตระกูลคนใหม่ต้องทำก็คือการตามล่าเหนือภพ
แม้สมุทรจะพยายามปกป้องเขาทุกวิธี แต่สมุทรจะทำแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน น้ำยาเปลี่ยนสีผมที่เป็นสินค้าหายาก มีราคาแพงยิ่งกว่าแร่สี่สีเสียอีก แต่สมุทรก็ยังยกให้เหนือภพฟรี ๆ มันปิดบังตัวตนของเขาได้หนึ่งฤดูกาลเท่านั้น อีกไม่นานเมื่อสีย้อมผมลอกออกไป แล้วสีผมอันแท้จริงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาประจักษ์ขึ้น นั่นคือเวลาสิ้นสุดการหลบซ่อนของเขา
“ข้าอยากรู้จริงว่าเจ้าจะปกป้องเขาได้นานแค่ไหน”
สายธารยืนพูดอย่างสงบนิ่งอยู่ภายในห้องทำงานส่วนตัวของสมุทร สมุทรกำลังนั่งจัดการเอกสารสำคัญในฐานะผู้นำตระกูลอยู่ ก็ได้แต่รับฟังและก็คิดตามโดยที่ไม่คิดจะตอบโต้อะไร
“ศักดิ์ศรีนับร้อยปีของตระกูลถูกเพื่อนเจ้าทำลายไป เจ้าจะนิ่งเฉยไปถึงเมื่อไหร่”
เมื่อสมุทรเห็นว่าพี่สาวไม่ยอมจบ เขาก็จำเป็นต้องพูดด้วยท่าทีจริงจัง พลางจ้องมองไปที่นาง
“ขนาดกินกินยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แล้วท่านพี่จะทำอะไรได้ ปัญหาทั้งหมดมันไม่ได้เกิดจากความหยิ่งยโสของท่านพี่หรอกเหรอ หากไม่ใช่เพราะท่านพี่ต้องการสั่งสอนเพื่อนข้า เรื่องจะเลยเถิดไปแบบนี้หรือไง ท่านพี่ควรจะโทษตัวเองมากกว่าที่จะโทษสหายที่ดีของข้า ไม่เช่นข้าเองก็จะไม่เกรงใจท่านพี่เช่นกัน”
สายธารแสดงสีหน้าไม่พอใจ หากเป็นปกติเธอคงใช้กำลังแก้ปัญหา แต่ในตอนนี้สมุทรไม่ใช่น้องชายคนเดิมของเธออีกแล้ว เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลรุ่นล่าสุดและศักดิ์ศรีผู้นำตระกูลจะถูกทำลายไม่ได้ ต่อให้น้องชายทำเรื่องไม่ได้ดั่งใจเธอมากแค่ไหนก็ตาม เธอก็ได้แต่อดทนและยอมรับ เพราะกฎตระกูลคือที่หนึ่งสำหรับเธอ
“ข้าหวังว่าท่านพี่จะหยุดแค่นี้ ข้าไม่เห็นว่าศักดิ์ศรีของตระกูลเราจะเสียหายตรงไหน ยังไงเจ้ากินกินก็แค่เสียเกล็ดไปไม่กี่สิบอัน มันไม่ได้ตายสักหน่อย และอีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันบาดเจ็บจากการต่อสู้ บำรุงมันสักหน่อยเดี๋ยวมันก็กลับมาหายดีเอง”
“นี่เจ้า !” สายธารกัดฟันกรอด
“ท่านพี่ควรจะไปทำเรื่องที่ควรทำมากกว่า เรื่องการค้าระหว่างเรากับตระกูลใต้ ก็อย่าลืมว่าเป็นเพื่อนข้าที่เป็นธุระจัดการให้ ทั้งที่ท่านที่พยายามมาตลอดแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ ท่านพี่ควรจะขอบคุณเขามากกว่าที่จะมองเขาเป็นศัตรู หากท่านพี่ไม่มีธุระสำคัญอย่างอื่น ก็ปล่อยให้ข้าทำงานอยู่เงียบ ๆ เถอะ”
แล้วสมุทรก็พูดตัดจบบทสนทนาที่แสนน่าเบื่อนี้ ทำให้สายธารต้องจำยอมเดินจากไป เมื่อเธอออกมานอกห้องแล้วปิดประตู ใบหน้าบึ้งตึงของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นการอมยิ้มเล็ก ๆ อย่างน้อยเธอก็ดีใจที่เห็นน้องชายตัวเองเป็นคนใหม่ และรู้สึกวางใจในตัวเขามากขึ้น
“ขอบใจเจ้ามากจริง ๆ”
เหนือภพยิ้มแล้วก็พูดกับตัวเอง หลังจากได้รับจดหมายจากสมุทร สมุทรส่งข่าวมาบอกว่าเขาจัดการเรื่องพี่สาวตัวดีให้แล้ว แต่เหนือภพก็ยังต้องระวังตัวให้ดี เพราะอย่างไรเสียสายธารก็ไม่ใช่คนที่จะลืมอะไรง่าย ๆ เธอต้องหาวิธีเอาคืนเหนือภพแน่ ๆ
การใช้ชีวิตภายในเมืองหลวงของเหนือภพนั้นค่อนข้างสะดวกสบาย เขาได้มาพักอาศัยอยู่กับพี่พล ที่ตอนนี้ได้มาเป็นเถ้าแก่ร้านขายน้ำผึ้งที่ดังและมีชื่อที่สุดในเมืองหลวง อีกทั้งที่ร้านนี้ยังเป็นแหล่งรวมของกลุ่มภราดาที่วนเวียนมาใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องไปหาข่าวไกล
“ภพ เจ้าช่วยไปดูน้ำผึ้งเกสรดอกไม้ที่หลังร้านให้ข้าหน่อย มันมีเหลืออยู่อีกเท่าไหร่”
“ได้ ๆ สักครู่นะ”
เหนือภพลงไปยังชั้นใต้ดินที่เป็นห้องเก็บน้ำผึ้ง เขาต้องมาตรวจจำนวนน้ำผึ้งที่เหลืออยู่เป็นประจำเพื่อที่จะคำนวณได้ว่าพวกเขาจะมีน้ำผึ้งแต่ละอย่างขายได้อีกกี่วัน หากน้ำผึ้งใกล้หมดเขาก็ต้องไปสั่งเพิ่มจากฟาร์มเพาะเลี้ยงผึ้งอีกที เขาทำงานที่ร้านนี้ในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนเขาใช้เวลาไปกับการทำภารกิจทั่วไปและการฝึกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพร่างกายและเพิ่มทักษะการต่อสู้
ณ พื้นลานกว้างภายในบ้านของพี่พล
ภายในลานกว้างมีสนามฝึกและอุปกรณ์สำหรับฝึกการต่อสู้อยู่จำนวนหนึ่ง มันคือสถานที่ออกกำลังกายที่พลใช้เป็นประจำหลังเลิกงาน
“พี่ขายดีแบบนี้ ยังจะฝึกต่อสู้ไปอีกทำไม” เหนือภพถามขึ้นหลังจากที่เขาฝึกเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“สักวันอาจมีเรื่องที่ข้าต้องทำ ข้าอยากเตรียมพร้อมเอาไว้ อย่างน้อยข้าจะได้ไม่รู้สึกเสียใจในความไร้พลังของตัวเอง”
พลยังคงรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ในวันนั้น มันรุนแรงมาก ไม่ว่าเพื่อนและพี่น้องต่างล้มหายตายจาก ทุกคนต่างได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าไท อรุณ พลและคนอื่น ๆ ในบ้านฮันเตอร์ของลุงไท นั่นจึงเป็นจุดสิ้นสุดของบ้านฮันเตอร์ไท และพลเองก็มีความคาดหวังว่าสักวันบ้านฮันเตอร์ไทจะกลับมาผงาดอีกครั้ง เขาจึงพยายามฝึกฝนตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ
“เจ้าเอาแต่สนใจเรื่องของข้า แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะบอกน้องฟ้าสักทีว่าเจ้าอยู่เมืองหลวงแล้ว และอยู่กับข้า เจ้าจะปิดบังไปถึงเมื่อไหร่”
“ข้าไม่รู้” เหนือภพตอบซื่อ ๆ และเขาก็หมายความตามที่พูดจริง ๆ
“ข้าในตอนนี้ไม่สามารถทำให้ใครปลอดภัยได้ และข้าเองก็ไม่อยากให้น้องสาวข้าต้องเป็นอะไร ขอแค่ให้นางมีความสุข แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า”
“เฮอะ เจ้านี่มันเอาแต่ใจจริง ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยก็บอกละกัน ยังไงข้ากับพ่อเจ้าก็เป็นคนกันเอง”
“พ่อ ?” เมื่อเหนือภพได้ยินคำนี้เขาก็ชะงักไป
“พี่พล ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“เรื่องอะไร ว่ามาสิ”
“ข้าอยากรู้ว่าพ่อข้าตายได้ยังไง ข้าอยากให้ท่านเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด”
พลชะงักไปครู่หนึ่ง เขาขมวคคิ้วเป็นปมก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา ราวกับปล่อยวางได้แล้วว่าอะไรจะเกิดต้องเกิด
เมื่อพลได้โอกาสเขาก็เล่าความจริงออกไป สาเหตุที่ทำให้พ่อเหนือภพต้องตายก็เพราะความผิดของเขาและหัวหน้าไทสองคน หากไม่ใช่เขาและหัวหน้าไทอยากจะไปดูการทดสอบเลื่อนระดับของฮันเตอร์ในวันนั้น พวกเขาก็น่าจะช่วยชีวิตเหนือปฐพีพ่อของเหนือภพเอาไว้ได้ นี่เป็นเรื่องที่ค้างคาใจที่สุดในชีวิตของพล
เหนือภพรู้สึกโกรธพี่พลไม่น้อย แต่เขาก็โตพอที่จะรู้จักควบคุมอารมณ์และระงับอาการ แม้จะไม่อาจปิดสีหน้าได้ทั้งหมด
“แล้วท่านรู้ได้ไงว่าพ่อข้าตาย”
“พวกเราพบมือขวาของเขากำอีเตอร์ที่เขาใช้ประจำจนแน่น กับกองเลือดที่ไหลเป็นทาง มีร่องรอยของการถูกลากเข้าไปในรังของสัตว์อสูร”
เหนือภพเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าควรเชื่อไหมว่าพ่อเขาตายแล้ว หรือว่าไม่ควรเชื่อดี แต่สุดท้ายเหนือภพก็จำเป็นต้องปล่อยวางความคิดนี้ เพราะไม่ว่าความจริงจะเป็นแบบไหนมันก็ไม่ทำให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ เหนือภพลุกเดินออกไปโดยที่ไม่พูดอะไร ยิ่งเป็นการตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจของพลมากขึ้น
เหนือภพออกมาจากบ้านพี่พลที่ตั้งอยู่ศูนย์รวมความเจริญของเมืองหลวง เขาเดินไปเรื่อย ๆ บนเส้นทางสายที่เงียบสงบ ที่หาได้ยากแม้ยามค่ำคืนของเมืองหลวง ตามปกติถนนสายใหญ่หลายสายจะคึกคักไปด้วยผู้คนทั้งกลางวันและกลางคืน แต่บนถนนสายนี้มีเพียงร้านอาหารรถเข็นเล็ก ๆ ไม่กี่ร้านเท่านั้น เหนือภพจึงสามารถปล่อยกายปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับความเงียบและแสงดาว จนกระทั่งความสงบของเหนือภพถูกทำลายด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสที่เขาคุ้นเคย
“เจ้า เจ้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่”
บุคคลเบื้องหน้าของเหนือภพคือสตรีงดงามในชุดสีแดงเรียบหรูที่แนบกระชับจนเห็นรูปร่าง เธอคือพราวจันทร์ หนึ่งในสามบุปผาที่งดงามที่สุดในหอหมื่นบุปผา เหนือภพจ้องมองเธออย่างแปลกใจ เขายังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกดีใจและมีความสุขลึก ๆ
เขาปล่อยเวลาผ่านไปสักพักจึงได้เอ่ยคำทักทายอย่างสิ้นคิด
“เป็นเจ้า ?” ก็เขาไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา
พราวจันทร์มองใบหน้าอมทุกข์ของเหนือภพอย่างสนใจ เธอมีความต้องการจะคลายความทุกข์ที่อัดอั้นของเขา แต่เมื่อเหนือภพไม่พูดอะไรต่อก็ทำให้เธอได้แต่เงียบ เธอทำได้เพียงเดินเคียงคู่เขาไปอย่างเงียบ ๆ ภายใต้แสงดาว แสงจันทร์ และแสงจากโคมไฟริบหรี่ในค่ำคืนนี้
เหนือภพใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ เขาจึงไม่ทันสงสัยเลยว่าหญิงคณิกาชั้นสูงอย่างพราวจันทร์จะมาเดินอยู่บนถนนสายเล็ก ๆ แห่งนี้ได้อย่างไร และไม่สงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงยอมมาเดินเคียงคู่กับเขาได้ ขอเพียงแค่เขาได้ใกล้ชิดเธอ ได้รับความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดนี้ต่อไป เขาก็ไม่อยากคิดอะไรมากอีกแล้ว
“เจ้าหิวหรือเปล่า”
เหนือภพพูดขึ้นเมื่อเขาเห็นร้านข้าวต้มทรงเครื่องร้านหนึ่ง มันชวนให้เขาคิดถึงบ้านเกิด ยิ่งเหนือภพมอง คนขายที่เป็นเพียงหญิงม่ายกับลูก ๆ ที่ช่วยกันทำมาหากิน มันก็ยิ่งทำให้เหนือภพมีความคิดฟุ้งซ่าน
เขาเข้าไปนั่งสั่งข้าวต้มเครื่องนับสิบชาม ด้วยหวังว่าอาหารจำนวนมากจะช่วยปลดพันธการทางอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายของเขาได้ โดยไม่รอคำตอบจากพราวจันทร์แม้แต่น้อย
“เถ้าแก่เนี๊ย ข้าขอหนึ่งชาม”
พราวจันทร์สั่งอาหารก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เก่า ๆ ตรงข้ามกับเหนือภพ จากนั้นเธอก็เปิดปากพูดออกไปก่อนอย่างใส่ใจ
“เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ ข้าสามารถรับฟังเจ้าได้นะ”
เหนือภพเงยหน้ามองพราวจันทร์ด้วยความรู้สึกคุ้นเคย ก่อนเขาจะเผลอหลุดคำพูดประโยคหนึ่งออกมา
“เจ้าช่างเหมือนคนคนหนึ่ง คนที่ข้าเคยรู้จัก”
พราวจันทร์แสดงสีหน้าสงสัยอย่างใสซื่อ ทว่าแววตาของเธอกลับกระตุ้นความเร่าร้อนในส่วนลึกของเขาขึ้นมา
“ใครหรอ ?”
“ไม่มีอะไร กินเถอะ”
แม้คนตรงหน้าจะมีลักษณะคล้ายกลิ่นจันทน์ของเขามากแค่ไหน แต่เหนือภพก็รู้ดีว่าเธอไม่ใช่ ไม่ต่างจากข้าวต้มเครื่องชามนี้ แม้จะมีรสชาติอร่อยคล้ายกับข้าวต้มเครื่องที่พ่อของเขาเคยทำให้กิน แต่ข้าวต้มชามนี้มันก็ไม่ใช่ชามนั้น เหนือภพกินอย่างเงียบ ๆ เมื่อกินเสร็จเขาก็แยกจากพราวจันทร์