บทที่ 82 เสียงถอนใจของหยุนปิง
เมื่อได้ยินคำของหยุนปิงเย่โม่ก็เงียบไปนาน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพราะเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป...ตอนนั้นเขาคิดจะเข้าไปหาหูชิวเพียงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าซ่งเฉ่าถานจะอยู่ที่นั่นด้วย อีกทั้งอาการบาดเจ็บของหนิงชิงเชวี่ยก็มาจากฝีมือลูกน้องของซ่งเฉ่าถาน...เขาจึงลงมือฆ่าซ่งเฉ่าถานไปแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้แผนการดั้งเดิมของเย่โม่จึงต่างจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ เดิมทีแล้วการฆ่าซ่งเฉ่าถานนั้นไม่อาจนับเป็นเรื่องใหญ่...เขาสามารถหลบหนีออกจากหนิงไห่ในคืนนั้นได้เลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าฝีมือของหูชิวจะเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก เขาจึงได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น...หากไม่ได้หยุนปิงพาเขากลับมาที่นี่ล่ะก็...ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะไปโผล่อยู่บ้านตระกูลซ่งแล้วก็ได้
อย่าว่าแต่ตอนนี้ตัวเขาเย่โม่เป็นเพียงหมาป่าเดียวดายเลย ต่อให้เขายังมีอิทธิพลของตระกูลเย่คอยค้ำหัวแบบสมัยก่อน หากได้ลองเข้าไปในบ้านตระกูลซ่งแล้วล่ะก็...เขาไม่มีทางกลับออกมาได้อีกเป็นแน่
แล้วตอนนี้จะทำยังไง? เย่โม่เพิ่งพบว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีหนทางอะไรอีกแล้ว เส้นทางออกจากหนิงไห่คงถูกขวางเอาไว้ ถ้าตอนนี้พลังเขาอยู่ระดับ 3 ล่ะก็...ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหลุดออกจากหนิงไห่อย่างง่ายดายก็เป็นได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังอยู่แค่ระดับ 2 ขั้นปลายเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเย่โม่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หยุนปิงก็คิดเอาว่าโย่โม่คงรับฟังคำแนะนำของเธอแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินออกไปดูของในรถให้ว่ากระเป๋าของเย่โม่อยู่ในนั้นไหม เธอกลับถูกเย่โม่คว้าเอาไว้ หยุนปิงหันมามองเย่โม่ด้วยความสงสัย
เย่โม่ส่ายหัว “อย่าลงไป”
สาเหตุที่เย่โม่ห้ามหยุนปิงเอาไว้ก็เพราะหลังจากได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ จิตสัมผัสของเขาแผ่ขยายขอบเขตไปได้ไกล 12-15 เมตรแล้ว พอเขาแผ่จิตสัมผัสออกไปก็พบว่ามีชาย 2 คนในชุดลำลองทั่วไปกำลังคอยเฝ้ามองคนเข้าออกอยู่ข้างล่างตึก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับตัวเขาไหม แต่เย่โม่ก็คิดว่าระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดี
“ทำไมล่ะ?” แน่นอนว่าหยุนปิงไม่รู้ว่าข้างล่างมีคนคอยมองอยู่ เธอสงสัยว่าเมื่อกี้เย่โม่ยังร้อนใจเรื่องกระเป๋าอยู่เลย ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจแบบนี้?
เย่โม่รู้สึกว่าหากบอกเรื่องจิตสัมผัสไปก็คงจะไม่ดี จึงได้แต่พูดว่า “ดึกดื่นป่านนี้ลงไปเอาของที่โรงรถคนเดียวไม่ปลอดภัย ถ้าคนอื่นเห็นจะน่าสงสัยเสียเปล่าๆ”
หยุนปิงเห็นว่าที่เย่โม่พูดมาก็มีเหตุผล เธอจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
เย่โม่คิดว่าในเมื่อขนาดหยุนปิงยังเดาได้ว่าเป็นเขาที่ลงมือฆ่า คนตระกูลซ่งเองก็ต้องสืบหาได้แน่นอนว่าเป็นเขาลงมือเช่นกัน ดูเหมือนว่ายิ่งออกไปจากหนิงไห่ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเสียแล้ว เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น...เขาคงไม่ได้ไปลั่วชางตามที่สัญญาไว้กับฉือหว่านชิงแล้ว
เย่โม่ทอดถอนใจ ดูท่าคงต้องเปลี่ยนแผน…ตอนแรกเขาวางแผนว่าจะหาสถานที่สงบๆ สักแห่ง ปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ แล้วจากนั้นก็ค่อยเดินทางไปทะเลทรายแห่งนั้นคนเดียว ดูท่าว่าคงต้องพับเก็บแผนนี้เสียแล้ว
“เธอไปนอนเถอะ” เย่โม่หันกลับมาพูดกับหยุนปิง
“นายไม่นอนหรือไง?” หยุนปิงคิดในใจว่าในบ้านของเธอมีเตียงนี้อยู่เตียงเดียว ถ้าเธอนอนแล้วเย่โม่ก็คงไม่มีที่นอน
เย่โม่ส่ายหัว “ผมไม่ง่วง เธอไปนอนเถอะ” เขาไม่ง่วงจริงอย่างที่ว่า เวลานี้ไหนเลยเขาจะมีแก่ใจจะมานอน ในเมื่อแผนการเดิมถูกทำลายลงแบบนี้…เขาก็ต้องกำหนดแผนการใหม่อีกครั้ง
หยุนปิงมองเย่โม่ที่ตอนนี้ไม่ได้สวมเสื้อ เธอคิดอยู่นานจึงค่อยพูดขึ้น “เหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะพ้นคืนนี้ เตียงนี้ก็กว้างมาก พวกเรานอนกันคนล่ะข้างเถอะ”
เย่โม่มองหยุนปิงอย่างประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าหยุนปิงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เธอดูไม่ใช่ผู้หญิงเปิดเผยอะไรแบบนั้นเลย แต่เขาก็กลัวว่าหยุนปิงจะคิดมากจึงได้แต่พยักหน้า “อืม…เธอนอนเถอะ ผมพิงข้างเตียงเอาก็พอ”
เขาคิดจะนั่งข้างเตียงฝึกพลังปราณเอา สำหรับเขาแค่นอนไม่กี่ชั่วโมงก็พอแล้ว อีกอย่างตอนนี้บาดแผลของเขาก็ยังไม่หายสนิท เขาไม่อาจประมาทได้
เย่โม่นั่งตรงนั้นได้พักเดียวก็เข้าสู่สมาธิ ทว่าหยุนปิงเวลานอนกลับขยับยุกยิกไปมาไม่เข้ากับภายนอกที่ดูเย็นชาแม้แต่น้อย เธอพลิกกลับมาก็คว้าเอาขาข้างหนึ่งของเย่โม่ไปกอดเสียแล้ว
ถึงตอนนี้เย่โม่จะกำลังฝึกปราณอยู่ แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงร่างกายของหยุนปิงที่แนบชิดเข้ามา รวมทั้งความนุ่มของหน้าอกคู่นั้นด้วย ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาก็ยังเวอร์จิ้น แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ฝึกลมปราณ ถึงแม้เขาจะใจสั่นอยู่บ้างแต่ก็สลัดอารมณ์ออกไปได้อย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปฝึกพลังปราณโดยไม่สนใจอีก
..........
2-3 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เย่โม่ยังคงนั่งฝึกลมปราณอย่างมีสมาธิ หยุนปิงเองกลับหลับอย่างสบายอารมณ์ มุมปากของเธอยกสูง ไม่รู้ว่ากำลังฝันดีเรื่องอะไรอยู่กันแน่
บางทีแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น...หยุนปิงไม่เคยได้นอนหลับสบายแบบตอนนี้เลย เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังคว้าจับที่ยึดเหนียวให้พักพิงได้อย่างไรอย่างนั้น เธอไม่รู้สึกว่างเปล่าเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้มือของเธอจึงกอดแน่น ไม่ความคิดจะปล่อยแม้สักนิดเดียว
หลังจากที่เย่โม่เดินลมปราณได้ 1 รอบใหญ่แล้ว เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าท้องฟ้าข้างนอกยังคงมืดอยู่บ้าง หันกลับมามองหยุนปิงที่ตอนนี้มุดหัวเข้าไปในผ้าห่มขณะที่กอดเขาไว้แน่น เย่โม่รู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดจะเอามือหยุนปิงออกไปแต่เธอกลับกอดเขาเอาไว้เสียแน่น
เมื่อเห็นท่าทางนอนหลับฝันดีของหยุนปิงแล้วเย่โม่ก็ได้แต่ถอนหายใจ ในที่สุดเขาก็ไม่คิดจะปลุกเธออีก เขาหันกลับไปเดินลมปราณอีกรอบใหญ่ต่อ เย่โม่คิดว่าถ้าเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหยุนปิงก็คงลุกออกไปแล้ว
ตอนที่เย่โม่หันกลับไปเดินลมปราณต่อนั้น หยุนปิงกลับตื่นขึ้นมาแล้ว หลังจากตื่นขึ้นก็พบว่าสิ่งที่เธอกอดเอาไว้ในอ้อมแขนคือขาของเย่โม่นั่นเอง หยุนปิงรีบปล่อยมือด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าฟ้าจะยังไม่สางแต่หยุนปิงก็รู้ได้ว่าตอนนี้หน้าของเธอต้องแดงก่ำอยู่แน่ๆ
แต่ตอนนั้นเองหยุนปิงก็คิดขึ้นมาได้ เย่โม่นั่งอยู่อย่างนี้ทั้งคืนเลย? เมื่อเห็นว่าเย่โม่กำลังหลับตาเหมือนกับหลับไปแล้ว หยุนปิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่เขาหลับอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องรู้สึกอับอายขายหน้าแน่นอน
แต่เมื่อหวนคิดกลับไป หยุนปิงก็รู้สึกว่านอนกอดขาเย่โม่เอาไว้แบบนี้ทำให้รู้สึกสงบใจ ไร้ซึ่งความกังวลและความหวาดกลัว กลิ่นกายของเขาก็หอมมาก ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเขาเหนือกว่าปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป
หยุนปิงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ที่กำลังนอนหลับอยู่ของเย่โม่ เธออดไม่ได้ที่ลูบใบหน้าอายุ 30 ของตัวเอง ถึงแม้หน้าของเธอจะยังนุ่มเนียนเหมือนวัยรุ่น แต่ในใจเธอก็เกิดรู้สึกขมเศร้าขึ้นมา หยุนปิงเกิดรู้สึกขึ้นมาว่าการกลับไปปักกิ่งเพื่อไปหาฝานหรงเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร มีบางอย่างที่เธอไม่อยากจะคิดถึงมัน...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่...
ฝานหรงยังคงเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอยู่อีกหรือเปล่า? ตัวเธอเองก็ไม่ใช่หยุนปิงคนเดิมอีกแล้ว ที่เธออยากไปพบฝานหรง...บางทีคงแค่อยากจะถามว่าทำไมเมื่อตอนนั้นถึงไม่บอกลากันเลย ถามว่าทำไมถึงไม่ติดต่อกลับมาแม้สักนิด
ในเวลานั้นเองที่หยุนปิงรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว ต่อให้เขาจำเธอได้แล้วอย่างไร...จำไม่ได้แล้วอย่างไร? ถ้ากลับมาอยู่ด้วยกันแล้วเขาหายไปอีกครั้งล่ะ? ผู้ชายแบบนี้ยังจะพึ่งพาอะไรได้อีก หรือต่อให้เขาพาเธอไปอเมริกาด้วยกันแล้วอย่างไรต่อ? บางทีคงเป็นเพราะเธอคิดถึงถิงถิงมากเกินไป...แต่ต่อให้เธอกลับไปปักกิ่งจริง...แล้วเธอจะได้พบกับถิงถิงหรือเปล่า?
เย่โม่ยังคงนอนหลับเงียบๆ หยุนปิงก้มลงมองเรือนร่างอันโค้งเว้าของตัวเอง วันนั้นเย่โม่ก็เคยเห็นมันไปแล้ว...อยู่ๆ เธอก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจ ร่างกายของเธอเริ่มสั่น หยุนปิงรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองเริ่มสับสนวุ่นวาย เธอจึงรีบลุกออกไปนอกห้องเพื่อหาน้ำเย็นๆ ดื่มสักแก้ว ทำแบบนี้แล้วเธอจึงค่อยสงบใจลงได้
หยุนปิงที่กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งไม่กล้าขึ้นไปนอนบนเตียงอีก เธอมองเย่โม่อย่างเงียบๆ ผ่านไปนานจึงค่อยผ่อนลมหายใจที่แทบจะไม่ได้ยินออกมาเฮือกหนึ่ง ตัวหยุนปิงเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเธอจะมีอารมณ์กับเย่โม่แบบนี้ แต่เธอก็ยังพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ตัวเธอกับเย่โม่นั้นเปรียบเหมือนเส้นขนาน ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต...เรา 2 คนก็ไม่มีทางจะมาบรรจบกันได้
..........
ถึงแม้จะถูกหนิงจงเฟยและหลานยู่เกลี้ยกล่อมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หนิงชิงเชวี่ยก็ยืนกรานว่าจะไม่ออกจากสวนแห่งนี้ท่าเดียว หนิงจงเฟยและหลานยู่ต่างรู้สึกอับจนหนทาง ได้แต่ปล่อยให้ลูกสาวของพวกเขาทำตามใจ ทิ้งไว้แต่หลี่มู่เหมยให้อยู่เป็นเพื่อนหนิงชิงเชวี่ยชั่วคราว พวกเขาจำเป็นต้องกลับไปหยูโจวแล้ว
“มู่เหมย เป็นยังไงบ้าง?” หนิงชิงเชวี่ยคิดไม่หยุดเรื่องที่หลู่มู่เหมยบอกว่าจะนัดนักข่าวให้ เธออยากถามความคืบหน้าของคดีฆาตกรรมนั้นจากปากนักข่าวโดยตรง เพื่อจะสืบสาวไปยังสถานการณ์ปัจจุบันของเย่โม่
“ฉันถามให้แล้ว คืนนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งหนิงไห่จะมีจัดแถลงข่าว เพื่อนของจิ้งเหวินเองก็เข้าร่วมงานนี้ด้วย พรุ่งนี้พวกเราไปหาเขาด้วยกัน ชิงเชวี่ย...อันที่จริงแล้วฉันว่าเรื่องนี้ก็ส่งผลดีกับพวกเราเหมือนกันนะ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องไปพบนักข่าวเลย” หลี่มู่เหมยพูดขึ้น
แน่นอน...หนิงชิงเชวี่ยรู้ว่าตัวเองต้องการรู้อะไร แต่เธอกลับไม่รู้จะอธิบายให้หลี่มู่เหมยฟังยังไง เธอทำได้แต่เพียงบอกว่า “ถึงยังไงก็อาจจะเกี่ยวกับพวกเราก็ได้ พวกเราลองไปดูสักหน่อยเถอะ”
คนที่ตายคือคนตระกูลซ่ง หลี่มู่เหมยเองก็รู้ดีว่าหากหนิงชิงเชวี่ยพูดแบบนี้แล้ว…เธอคงไม่อาจขัดขวางได้อีก