เรื่องสยองที่ 7 : บ้านสวนของคุณยาย
บ้านสวนของคุณยายผมอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร
ปกติผมมักจะชอบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเองในตอนเช้า ๆ สักหกโมงเจ็ดโมง ช่วงนั้นอากาศมันเย็นสดชื่นดี ไม่ร้อนมาก รถก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไร ลมพัดเย็นสบาย ขับไปชิว ๆ มองวิวข้างทางไปด้วย ผมคิดว่ามันเหมือนกับเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งของผม ไอ้คีย์กับไอ้ชายังเคยถามเลยว่าทำไมผมถึงชอบการขับมอเตอร์ไซค์ขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ของผมอยากจะให้เอารถยนต์มาใช้จะตาย พวกท่านคิดว่าการขับมอเตอร์ไซค์มันอันตราย เป็นห่วงผมว่าจะโดนรถชนเข้าสักวัน ผมก็เลยให้เหตุผลแบบนั้นไป เล่นเอาโดนพวกท่านบ่นหูชาไปชุดใหญ่ แถมเจอพวกเพื่อนบอกว่า มึงมันพวกติสต์แตก อีก แต่แล้วไง มันเป็นความชอบส่วนบุคคลนี่ครับ
พวกผมมาถึงบ้านยายเกือบสิบโมงเช้าได้ ไอ้คีย์แวะไปรับไอ้ปูนที่หอในด้วย เลยมาเลทกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย ผมบอกให้พี่น้ำโทรไปหาไอ้ปูนดูว่าอยากมาด้วยหรือเปล่า เพราะมันเองก็ไม่ได้มาเยี่ยมยายผมนานแล้ว จริง ๆ ไอ้ปูนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับยายผมเลย เพราะยายผมเป็นญาติฝั่งป้าสะใภ้ของมันหรือแม่ผมนั่นเอง แต่มันก็บอกจะมาด้วย ไม่อยากอุดอู้อยู่ที่หอ
ตลอดเส้นทางสองฝั่งเข้าไปบ้านสวนของยายผมมีไร่นาเขียวชอุ่มเป็นแถวยาว ให้บรรยากาศรอบ ๆ ดูสดชื่นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ท้องฟ้าสีครามกับเมฆสีขาวลอยไปมาจนน่าหยิบกล้องถ่ายรูปมายกขึ้นถ่ายสักสี่ห้าภาพ ของแบบนี้ไม่ได้หาได้ในเมืองแน่ ๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเอง
ไม่นานบ้านไม้ใต้ถุนสูงก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าพวกเรา ข้าง ๆ เป็นบ้านปูนเปลือยชั้นเดียวอีกหลังที่แม่ผมมาสร้างไว้เมื่อสี่ห้าปีก่อน ช่างคอนทราสกับบ้านไม้ข้าง ๆ มาก แต่นั่นก็เป็นที่อยู่ผมตลอดเวลาที่เรียนอยู่ช่วงมัธยมเลยล่ะครับ
“พี่น้ำ ตอนไปไหว้คุณยาย เข้าไปหอมแก้มด้วยนะ” ผมบอกพี่น้ำขณะเจ้าตัวก้าวเท้าลงมาจากรถ เจ้าตัวหันมายิ้มให้ผม ขมุบขมิบปากเป็นเชิงว่ารู้แล้ว มองออกไปก็เห็นคุณยายผมเดินออกมาดูแล้วว่ามีรถใครมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับคุณยาย” พี่น้ำพูดออกไป พร้อมเข้าไปหอมแก้มคุณยายตามที่ผมบอกฟอดใหญ่
เมื่อคืนผมบอกไว้ว่าเจ้าตัวต้องโกรธแน่ ๆ ที่ไปรถล้มเข้าโรงพยาบาลมาแล้วไม่ยอมบอกท่าน ถ้าเป็นแบบนี้วิธีแก้คือต้องเข้าไปอ้อนชุดใหญ่ ซึ่งดูจากท่าทางแล้วพี่น้ำทำได้ดีเลยทีเดียว พี่น้ำดูไม่ค่อยเกร็งเหมือนตอนที่เจอพ่อกับแม่ของผม ผมก็เบาใจ
คุณยายผมเป็นผู้หญิงวัยหกสิบกว่าที่ดูเหมือนยังไม่ค่อยแก่เท่าไร ใบหน้าและรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนส่งมาให้ผมเสมอเวลาผมมีเรื่องอะไรไปปรึกษา ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ผมก็มีท่านอยู่คนเดียวนี่แหละตอนที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ แต่ตอนนี้ใบหน้าท่านมุ่ยจนดูเหมือนเป็นคนแก่ขี้น้อยใจไปแล้ว
“นี่แน่ะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เอารถยนต์ไปใช้ ยายเป็นห่วงมากรู้ไหม ถ้าแม่เราไม่มาหา ยายคงไม่รู้ว่าโดนรถชน” คุณยายผมพูดพร้อมตีไหล่พี่น้ำสองสามทีอย่างเคือง ๆ
“โอ๋ ๆ คุณยายครับ ผมขอโทษ ไม่โกรธอิฐน้า นะ” พี่น้ำพูดพร้อมยิ้มเข้าสู้ เข้าไปกอดแขนคุณยายเป็นเชิงอ้อน
รู้สึกว่าวันนี้พี่น้ำเล่นเป็นผมได้เก่งจัง ...
“ก็อย่างงี้ทุกทีอะเจ้าอิฐ แล้วนั่นพาเพื่อนมาด้วยหรอ” ยายผมถาม สายตามองไปยังอีกสามคนที่เดินตามเข้ามา
“ใช่ครับ” พี่น้ำตอบกลับไป ขณะเดียวกันกับไอ้คีย์ ไอ้ชา และไอ้ปูนเดินมาสวัสดีคุณยายผมพอดี
“สวัสดีครับคุณยาย” ไอ้คีย์พูด ยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับไอ้ปูน
“สวัสดีครับคุณยาย ผมชาบู จำได้หรือเปล่าครับเนี่ย” ไอ้ชาพูด ยิ้มทะเล้นพร้อมเข้าไปเกาะแขนยายผมอีกข้าง ไอ้นี่ตัวอ้อนยายผมหนักเลยสมัยมาเที่ยวบ้านผมตอนมัธยม
“แหม จำได้สิเจ้าตี๋ ฉันยังไม่แก่นะยะ ยังจำได้เลยว่าเมื่อก่อนพวกเราชอบซนปีนไปเก็บมะม่วงกัน เจอรังมดแดงล่วงใส่กางเกง วิ่งแก้ผ้ารอบสวนเลย เดือดร้อนเจ้าคีย์ถือสายยางฉีดน้ำให้” ยายผมพูดขำ ๆ เขกหัวไอ้ชาไปหนึ่งที
“โห คุณยายความจำดีจังนะครับเนี่ย งั้นก็ต้องจำได้ซิครับ ว่าผมชอบกินขนมปังหน้าหมูฝีมือคุณยาย” ไอ้ชาพูดต่อ
นั่นไง ไอ้ตี๋เห็นแก่กิน ... แต่นั่นมันก็ของโปรดผมเหมือนกัน
“รู้แล้วย่ะ เตรียมของไว้แล้วตั้งแต่เจ้าอิฐโทรมาบอกเมื่อวันก่อน” ยายผมบอก
“แล้วนั่น เพื่อนใหม่รึ” ยายผมพูดต่อหันหน้าไปมองไอ้ปูน
“นี่ปูนไงครับยาย ลูกอาชัยครับ พอดีปูนมันติดเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม” พี่น้ำพูด
สคริปท์ตรงเป๊ะ เล่นเป็นธรรมชาติ 10 10 10 เลยครับพี่น้ำ ...
“อ๋อ ยายจำได้ละ เจอคราวนี้กลายเป็นหนุ่มหล่อไปซะละ มา ๆ เข้าไปนั่งเล่นข้างในกันก่อน เดี๋ยวยายไปหาน้ำหาท่ามาให้กิน” ยายผมพูด
ว่าแล้วพวกเราก็เดินตามคุณยายเข้าไปใต้ถุนบ้าน บริเวณตรงนั้นมีโต๊ะม้าหินอ่อนพร้อมเก้าอี้อีกสี่ห้าตัวเอาไว้รับแขก ถัดจากตรงนั้นมีเปลผ้าแขวนไว้อยู่อีกหนึ่งผืนเอาไว้นอนเล่น
ลมเย็น ๆ ที่ระบายอากาศพัดผ่านมาบริเวณใต้ถุนตลอดเวลาทำให้บรรยากาศที่นี่เหมาะแก่การนอนหลับเป็นอย่างมาก ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนผมมานั่งอ่านหนังสือทำการบ้านแล้วเผลอหลับเป็นประจำ แม้ว่าเวลานั้นจะเป็นช่วงเช้าอยู่ก็ตาม พวกเราเดินไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนตรงนั้น ก่อนมีลุงสมหมายกับป้าสมรที่ผมรู้จักตั้งแต่เด็กเดินออกมาทักทายจากทางด้านหลังของสวน พวกเราเลยยกมือขึ้นไหว้ ลุงสมหมายกับป้าสมรเป็นคนสวนเก่าแก่ของที่นี่ ตอนผมเรียนมัธยมก็ได้ทั้งสองคนนี้แหละที่คอยขับรถไปรับไปส่งผมในเมือง แถมตอนนี้ทั้งสองก็รับหน้าที่ดูแลคุณยายผมด้วย ผมเองก็เคารพทั้งสองเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว
“วันนี้พี่น้ำเหมือนไอ้อิฐจนผมตกใจเลยนะเนี่ย” ไอ้ชาพูดขึ้นมาหลังจากตอนนี้เหลือแค่พวกเราเพียงลำพัง ไอ้คีย์กับไอ้ปูนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดไอ้ชา
“ก็อยู่มาตั้งหลายวันแล้ว พี่ก็พอจะเห็นบ้างแหละ ว่าอิฐทำตัวยังไง นิสัยเป็นยังไง” พี่น้ำพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่แอ๊บแมนอีกต่อไป
นี่เพื่อนผมเพิ่งจะบอกว่าเหมือนผมอยู่แท้ ๆ ...
“แล้ว ... ผมนิสัยเป็นยังไงหรอครับ” ผมถามออกไป อยากรู้เหมือนกันว่าพี่น้ำมองผมยังไง
พี่น้ำหันมามองหน้าผมที่ลอยไปนั่งอยู่ที่ไหล่ไอ้ชา เจ้าตัวทำหน้าคิดนิดหนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“ก็เป็นคนใจร้อน ชอบทะเลาะกับชาบ่อย ๆ เวลาโดนยั่วโมโห ดูเป็นคนติสต์ ๆ ห้าว ๆ ไม่ยอมคน”
ตรงทุกอย่างเลยแฮะ ... อ่านผมขาดมาก
“แต่ในบางมุม ... ก็อบอุ่นดี”
ประโยคหลังนี่คืออะไรครับ ... ชมหรอ ผมเขินนะพี่น้ำ เหลือบตาไปเห็นไอ้ชาทำหน้าครุ่นคิดพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท
ไอ้ชา อย่าชง กูขอ ...
“ฮั่นแน่ ! มองมุมไหนครับ ถึงได้เห็นว่ามันอบอุ่นได้ คิดไรกับเพื่อนผมปะเนี่ย” ไอ้ชาพูดส่งเสียงแซว
ไอ้นี่ก็ปากไวจัง ... ผมก็แค่รู้สึกดีกับพี่เขาเฉย ๆ อีกอย่างเราก็เพิ่งมารู้จักกันไม่กี่วันเท่านั้นเอง ไปพูดแบบนั้นกับพี่เขาเดี๋ยวก็ตกใจแย่ มันเร็วเกินไป อีกอย่างเรื่องแฟนพี่น้ำ ผมว่าเขายังไม่ได้เคลียร์เรื่องของตัวเองเลย
“บ้าหรอ ! ฉันไม่นิยมกินเด็กหรอกย่ะ” พี่น้ำพูดขึ้นมา สายตาเหลือบมามองผมแล้วทำหน้าแปลก ๆ
อ้าว ... มองแบบนี้หมายความว่าไงครับพี่
“หูยพี่ แต่ดูท่าเด็กอยากกินพี่นะ” ไอ้ชาพูดต่อ
“ไอ้ชา !” ผมร้องออกไป แทบจะกระโดดไปงับหัวมันทันที ปากมากจริงไอ้นี่ !
“พี่อย่าไปถือสาไอ้ชามันเลยนะ มันก็พูดกวนประสาทไปเรื่อย” ผมพูดกับพี่น้ำ ไม่อยากให้เขาเอาเรื่องที่ไอ้ชาพูดเก็บไปคิดมาก ตอนนี้พวกเพื่อนผมรวมถึงไอ้ปูนเข้าไปเดินเล่นในสวนหามะม่วงกินกัน แถมบ่นอยากกินน้ำมะพร้าวด้วย ลุงสมหมายเลยเป็นไกด์พาเข้าไป
ส่วนผมเองตอนนี้กำลังเดินตามพี่น้ำเข้ามาในครัว เห็นพี่น้ำบอกว่าอยากเข้าไปช่วยยายผมทำขนมปังหน้าหมู ผมเลยเดินตามเข้ามาด้วย
“พี่รู้น่า ไปช่วยยายเราทำขนมปังหน้าหมูดีกว่า คุณยายเรานี่ดูใจดีจังเนอะ เห็นแล้วพี่ก็นึกถึงคุณย่าตัวเองเลย” พี่น้ำพูด สงสัยที่เจ้าตัวดูไม่เกร็งวันนี้คงเป็นเพราะเจ้าตัวนึกถึงคุณย่าตัวเองแน่ ๆ เลย
“วันนี้นึกยังไงอยากมาช่วยยายทำเนี่ยเจ้าอิฐ ปกติเห็นนั่งรอกินอย่างเดียว” ยายผมพูด
ตอนนี้พี่น้ำกำลังช่วยคุณยายผมตัดขนมปังเป็นแผ่นเล็ก ๆ ขนมปังหนึ่งแผ่นตัดได้ประมาณสี่ชิ้น ก่อนจะเอาขนมปังมาตัด คุณยายบอกว่าต้องเอาไปตากแดดก่อนเพื่อให้ขนมปังมันแห้ง เวลาทอดจะได้ไม่อมน้ำมัน
“แหม ผมก็อยากมาโขมยสูตรคุณยายไงครับ” พี่น้ำพูดขำ ๆ ในที่สุดก็ตัดขนมปังแผ่นสุดท้ายเสร็จ
“จะไปทำให้สาวที่ไหนกินหรือเปล่า” ยายผมพูดแซว
พี่น้ำหัวเราะหันมามองหน้าผม ขมุบขมิบปากถามว่ามีสาวที่ไหนหรือเปล่า ผมส่ายหน้าให้เขาแล้วยืนมองคุณยายกับพี่น้ำทำขนมปังหน้าหมูต่อ พี่น้ำคุยกับคุณยายผมไปหัวเราะไปจนเพลิน มีหลุดบ้างแต่คุณยายผมก็ไม่ได้สงสัยอะไร ผมก็ได้แต่มองแล้วยิ้ม หวังว่าเรื่องราวในวันนี้มันจะทำให้พี่น้ำลืมเรื่องเศร้า ๆ เครียด ๆ ไปได้บ้าง
เกือบครึ่งชั่วโมง ขนมปังหน้าหมูร้อน ๆ พร้อมกับน้ำจิ้มอาจาดก็ถูกนำมาวางเสิร์ฟไว้ที่โต๊ะม้าหินอ่อนบริเวณใต้ถุนบ้าน พวกเพื่อนผมที่เดินไปเก็บมะม่วงกับมะพร้าวก็กลับมากันพอดี พวกเรานั่งทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ตัวผมเองก็ได้ทานด้วยเพราะมีไอ้คีย์ทำอะไรสักอย่างกับอาหาร ทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาทานได้ โดยขนมปังหน้าหมูที่ผมกินมันจะเป็นชิ้นจาง ๆ โปร่งแสงเหมือนตัวผมเลย แต่รสชาติและอะไรอย่างอื่นก็เหมือนกับผมได้กินขนมปังหน้าหมูฝีมือคุณยายจริง ๆ มันก็เคยใช้วิธีนี้ตอนช่วงไอ้แมทเป็นวิญญาณและไปเที่ยวกับพวกเรา
นั่งเล่นคุยเล่นกันจนเกือบเย็นพวกผมก็ลาคุณยายเพื่อกลับคอนโด พี่น้ำบอกว่าวันนี้สนุกมาก ได้ทำอะไรหลายอย่าง ทั้งทำอาหารและเข้าไปเดินเล่นในสวน คุณยายผมก็ใจดี คุยสนุก ผมเองก็ดีใจที่พี่น้ำชอบ แต่ก่อนจะกลับคุณยายผมก็ทักมาเหมือนกันว่าผมดูแปลกไป อย่างว่าแหละ ท่านเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะดูไม่ออกว่าหลานตัวเองเปลี่ยนไป แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเข้าไปกอดคุณยายอีกครั้งในสภาพร่างโปร่งแสงก่อนจะลอยกลับเข้าไปนั่งในรถตามพวกเพื่อนออกมา
ขากลับพวกเราไปส่งไอ้ปูนที่หอในก่อน เห็นมันบอกว่าคณะมันมีรับน้องก่อนคณะอื่นเลยในวันพรุ่งนี้ พูดถึงเรื่องรับน้อง ผมเองก็เกือบลืมไปว่าตัวเองต้องไปเป็นพี่แฝง เห็นไอ้คีย์บอกมาว่าพวกเพื่อนก็ถามเหมือนกันว่าอาการผมเป็นยังไงบ้างแล้ว หายทันวันที่มีกิจกรรมค่ายรับน้องหรือเปล่า ถ้าไม่ทันอาจจะต้องหาตัวพี่แฝงคนใหม่ ซึ่งไอ้คีย์ก็บอกไปว่าน่าจะทันเพราะสภาพของผมในตอนนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าหายเป็นปกติแล้ว จะกังวลก็แต่พี่น้ำนี่แหละที่เอาร่างผมไปใช้แล้วจะรอดหรือเปล่า
“ปูนมันเรียนคณะไรวะ ไม่เคยถามสักที” ไอ้ชาพูดขึ้นมา หลังจากไอ้ปูนเดินลงจากรถเข้าไปหอใน
“มันเรียนนิเทศ” ผมตอบไป
“หืม คณะเดียวกับกี้นี่หว่า ทำไมมึงไม่เคยบอกกูเลยวะไอ้อิฐ” ไอ้ชารีบหันมามองหน้าผมทันที ... อะไร อย่าบอกนะว่าโรคหวงน้องกลับมาอีกแล้ว
“เดี๋ยว ๆ ก็มึงไม่เคยถาม แล้วเป็นไร ไอ้ปูนมันจะเรียนคณะเดียวกับกี้ไม่ได้หรือไง”
“เปล่า ก็ดีแล้วไง กูจะได้ฝากมันช่วยดูน้องกูด้วย พวกหน้าหม้อมันเยอะ” ไอ้ชาพูด
“ทำไมกูรู้สึกว่าเหมือนมึงกำลังพูดถึงตัวเองวะชา” ไอ้คีย์ที่กำลังขับรถพูดต่อ
แล้วก็เกิดเสียงหัวเราะไปทั่วทั้งรถ ไอ้คีย์โคตรตรงประเด็น ไอ้ชาแหละตัวหม้อเลย ดีนะที่ตอนนี้มันมีแฟนเป็นใยไหมไปแล้ว อะไร ๆ มันก็เลยดีขึ้น
เสียงมือถือที่ดังขึ้นมาตอนเกือบสี่ทุ่มทำให้คีย์บอร์ดละสายตาจากหน้าจอแล็บท็อปของตัวเองแล้วกดรับสาย ปลายสายเป็นรุ่นพี่ที่เขาโทรไปติดต่อเพื่อจะให้มาช่วยกิจกรรมรับน้องในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ คีย์บอร์ดได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งบอกมาว่ารุ่นพี่คนนี้เก่งมาก แถมได้งานทำในบริษัทดี ๆ อีกด้วย น่าจะเป็นแรงบันดาลใจและให้คำแนะนำน้องใช้ชีวิตในช่วงอยู่มหาวิทยาลัยได้ดีถ้าเชิญมาพูดในช่วงกิจกรรมสุดท้าย
“ขอโทษนะครับ พอดีเบอร์นี้โทรมาเมื่อช่วงเย็น ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ปลายสายพูดออกมา
“อ่อ ... พี่เอกใช่ไหมครับ ผมชื่อคีย์นะครับ เป็นรุ่นน้องวิศวะ อยากสอบถามว่าวันเสาร์นี้พี่สะดวกมาที่มหาวิทยาลัยไหมครับ พอดีมันมีกิจกรรมพี่แนะนำน้อง พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว อยากเชิญพี่มาร่วมพูดคุยสักครึ่งชั่วโมงน่ะครับ” คีย์บอร์ดพูดออกไป
ปลายสายนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
“อืม เดี๋ยวพี่ขอเช็คตารางพี่อีกทีนะครับว่าว่างหรือเปล่า ถ้าว่างพี่จะโทรมาบอกอีกทีนะครับ”
“โอเคได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ สวัสดีครับ” คีย์บอร์ดพูดกลับไปก่อนกดวางสาย