เรื่องสยองที่ 3 : ผมยังคงไม่ตื่น
คุณเคยคิดบ้างไหม ...
ว่าถ้าเรื่องบางเรื่องที่มันเกิดในนิยายหรือละครไทยมันกลายเป็นเรื่องจริงในชีวิตเรา มันจะเป็นยังไง ?
ผมพยายามตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนเดินเข้าไปหาร่างตัวเองที่ตอนนี้กำลังถูกลำเลียงขึ้นรถพยาบาลพร้อมกับพี่น้ำ แล้ววิญญาณพี่น้ำอยู่ไหน ทำไมผมกลายเป็นวิญญาณออกมาจากร่างแค่คนเดียว ผมมองร่างตัวเองที่ถูกบุรุษพยาบาลเอาเครื่องมือนู่นนี่นั่นต่อเต็มมือเต็มแขนไปหมด ก่อนรถพยาบาลจะเริ่มเคลื่อนตัวออกจากที่ตรงนั้น เท่าที่ดูผมก็ยังคงหายใจอยู่ หน้าอกยังกระเพื่อมเล็กน้อย ยังไม่ได้ตายไปแล้วแบบที่คิด พี่น้ำเองก็ยังหายใจอยู่เหมือนกัน
โธ่เว้ย !
ไอ้รถคันนั้นมันเมายาหรือไงกัน ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอุบัติเหตุแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิต มันเหมือนจงใจฆ่ากันให้ตายชัด ๆ ขับรถไล่ชนแบบนั้น แถมถนนบริเวณนี้ก็ไม่มีกล้องวงจรปิดสักตัว ผมจำได้แค่ว่ามันเป็นรถกระบะสีดำ ป้ายทะเบียนอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง
ผมนั่งลงข้าง ๆ บุรุษพยาบาล มองดูเขาทำแผล หยุดเลือดบริเวณที่มันไหลออกมา นี่คงเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตผมแล้วมั้งที่เคยได้รับมา ดีที่ทั้งผมและพี่น้ำใส่หมวกกันน็อคเอาไว้ ไม่อย่างนั้นสมองของพวกเราคงได้ไหลเยิ้มออกมาแล้วแน่ ๆ ล้มลงไปแรงขนาดนั้น
เกือบยี่สิบนาทีกว่าร่างของพวกเราทั้งคู่จะมาถึงโรงพยาบาล ผมมองร่างของตัวเองและพี่น้ำถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเป็นกังวล ไม่อยากตามเข้าไปดูข้างใน ยังทำใจไม่ได้เหมือนกันที่ต้องเห็นร่างตัวเองในสภาพปางตายแบบนั้น แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าผมจะกลับเข้าไปอยู่ในร่างยังไง ผมไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ผมควรจะอยู่ในร่างตัวเองซิ ผมยังไม่ตาย
เมื่อกี้ไม่ใช่ผมไม่ลองทำบนรถพยาบาล ผมลองแล้ว ทำทุกอย่าง ทั้งจับมือตัวเอง กระโดดลงไปนอนทับบนร่างตัวเอง แต่ทุกอย่างที่ผมทำมันไม่ได้ผลเลย ผมทะลุผ่านร่างของตัวเองตลอด
ผมนั่งทรุดตัวหมดแรงอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เดี๋ยวไอ้คีย์กับไอ้ชาก็ต้องมา พวกมันต้องช่วยผมได้แน่เรื่องแบบนี้ คิดได้แบบนั้นไม่ทันไรผมก็เห็นร่างสามร่างวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลหน้าตาตื่น เป็นไอ้คีย์ ไอ้อิฐ และไอ้ปูนน้องชายของผม พวกมันเข้าไปถามหาผมกับเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ติดต่อเรื่องนี้ เมื่อผมเห็นพวกมัน ผมจึงลุกขึ้นจากที่ตรงนั้นแล้วเดินเข้าไปหา
ขณะที่ผมเข้าไปหาพวกมัน ไอ้คีย์ก็กำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ครับแม่ ผมกับชาถึงโรงพยาบาลแล้วครับ แม่ทำใจดี ๆ ก่อนนะครับ” ไอ้คีย์พูด
นั่นคงเป็นสายของพ่อกับแม่ผม ...
ป่านนี้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงอยู่มากแน่ ๆ พวกท่านทั้งสองทำงานอยู่ต่างประเทศคงจะกะวนกะวายใจน่าดู ผมเองก็ไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วง ไหนจะยายผมอีก ถ้ารู้เรื่องเข้าคงได้เป็นลมแน่ที่หลานชายตัวเองโดนหามเข้าโรงพยาบาลนอนไอซียูแบบนี้
“เดี๋ยวได้ข่าวยังไงเพิ่มเติมผมรีบติดต่อไปนะครับ แม่ไม่ต้องคิดมาก ไอ้อิฐต้องไม่เป็นไรครับ”
ไอ้คีย์พูดสายกับแม่ผมอีกสักพักก่อนมันจะวางสายลง แล้วหันหน้ากลับมาทางหน้าห้องไอซียู มันมองมาที่ผมอย่างอึ้ง ๆ เมื่อสังเกตเห็น มันเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่เห็นผมในสภาพแบบนี้ได้
“ไอ้อิฐ ... ทำไมมึงอยู่ในสภาพนี้” ไอ้คีย์พูดออกมาเบา ๆ
“อะไรไอ้คีย์ มึงเห็นอะไร มึงเห็นไอ้อิฐเป็นผีหรอ ไม่ได้นะเว้ย แม่งเอ้ย ! จะเป็นอะไรไปไม่ได้นะ กูเพิ่งเสียไอ้แมทไป มึงจะมาทำแบบนี้กับกูไม่ได้นะไอ้อิฐ” ไอ้ชาตะโกนร้องโวยวายหันซ้ายหันขวาไปรอบด้านเหมือนมองหาผม
“ชา ! มึงใจเย็น เดี๋ยวก็ได้โดนจับโยนไปนอกโรงพยาบาลหรอก” ไอ้คีย์เข้าไปห้ามปรามมัน
“นี่ พวกพี่พูดเรื่องอะไรกันครับ มันใช่เรื่องไหม พี่อิฐนอนอยู่ในห้องไอซียูแล้วมาพูดเรื่องผีกันเล่น ๆ แบบนี้” ปูนพูดขึ้นมาแบบไม่พอใจ เมื่อเห็นพวกเพื่อนผมทำตัวแปลก ๆ มันคงคิดว่าไอ้คีย์กับไอ้ชาพูดเล่นกันล่ะมั้ง แต่หารู้ไม่ว่าผมกลายเป็นผีมายืนอยู่ตรงนี้จริง ๆ จะเรียกว่าผีก็ไม่ถูกซิ ผมยังไม่ตายนี่นา
“ไม่มีไรหรอกปูน พี่วานไปทำเรื่องเอกสารให้ไอ้อิฐหน่อยซิ เราเป็นญาติโดยตรงกับมัน น่าจะรู้ประวัติครอบครัวดีมากกว่าพวกพี่ พยาบาลเขาอยากได้ประวัติครอบครัวน่ะ” ไอ้คีย์พูด
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปจัดการให้” ปูนพูดก่อนเดินห่างออกไป
ทันที่ที่ร่างของไอ้ปูนเดินออกไปไกลจากระยะได้ยิน ไอ้คีย์ก็ยกมือของมันขึ้นมาป้ายเปลือกตาของไอ้ชา การเอามือยมทูตมาป้ายเปลือกตาของคนธรรมดาจะทำให้คนธรรมดามองเห็นวิญญาณได้ครับ
“ไอ้อิฐ ทำไมวิญญาณมึงออกมาจากร่างแบบนี้เนี่ย มึงยังไม่ตายใช่ไหม” ไอ้ชาพูดขึ้นมาเมื่อเห็นผม มันถามมาอย่างร้อนรน ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ผมเข้าใจความรู้สึกมันดีว่ามันเป็นห่วง เรื่องแบบนี้เพิ่งเกิดกับพวกเราเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ละคนยังรู้สึกแย่อยู่เลยที่ไอ้แมทได้จากพวกเราไป ถ้าหนึ่งในพวกเรามีใครหายไปอีกมันคงเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก
“มึงใจเย็นนะเว้ย กูยังไม่ตาย แต่กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน พอโดนรถชนกูก็มาโผล่อีกทีเห็นตัวเองนอนจมกองเลือดกลายเป็นวิญญาณแบบนี้แล้ว” ผมบอกมันไปตามความจริงที่รู้
“แล้วผู้หญิงอีกคนที่เขาแจ้งว่าซ้อนมึงมาเป็นใครวะ” ไอ้คีย์ถาม
“นั่นทวดรหัสกูชื่อพี่น้ำ” ผมบอกมันไป
“กูบอกกี่ครั้งแล้ว เวลาขับมอไซค์ให้ระวัง ขับช้า ๆ มึงก็ไม่เคยจะเชื่อ แล้วนี่เมาด้วยใช่ไหม ถ้าเมาก็ควรจะโทรให้กูไปรับ มึงบอกเองว่าแค่จะไปดื่มนิดเดียว จะไม่เมา แล้วไหงเป็นงี้วะ” ไอ้คีย์พูดบ่นกับผม
“กูไม่ได้ขับเร็วเลยเว้ยคีย์ กูขับไม่ถึง 40 ด้วยซ้ำ อีกอย่างกูไม่ได้เมา แม่ง มีรถกระบะที่ไหนไม่รู้วิ่งไล่ชนรถกู” ผมบอกมันไป
คิดแล้วก็ยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้รถกระบะคันนั้น ...
“คนขับมันเมาหรอวะ ถึงได้ขับไล่ชนมึง หรือมึงไปมีเรื่องอะไรกับใครไว้” ไอ้ชาถามแบบงง ๆ มันคงคิดเหมือนกันกับไอ้คีย์นั่นแหละ
“ไม่รู้เหมือนกัน กูไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครมา”
“มึงควรจะกลับเข้าร่างมึงได้แล้วนะไอ้อิฐ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ไอ้คีย์พูด
“กูทำไม่ได้ กูลองทั้งจับมือตัวเองเหมือนที่มึงทำกับวิญญาณ หรือกระโดดเข้าไปหาร่างตัวเอง กูก็ยังไม่เห็นเข้าไปในร่างเลย”
“หืม ทำไมไม่ได้วะ มึงลองหลับตาคิดถึงร่างมึงนะไอ้อิฐ มีสมาธิ” ไอ้ชาพูด
ผมจำได้ว่าตัวมันเองเคยทำบ่อยสมัยหัดถอดจิตตอนมันได้รับพลังมาจากหนังสือปีศาจอะไรนั่น ผมเองก็ทำตามที่มันบอก หลับตาลงและนึกถึงร่างของตัวเอง ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนที่จะลืมตาขึ้นมา
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ภายในห้องไอซียูโดยมีร่างของตัวเองอยู่ตรงหน้า นี่ผมไม่ได้เข้าไปอยู่ในร่างตัวเอง แต่แค่หายตัวมาหาที่ร่างตัวเองนี่นา มันไม่ได้ผล ผมเดินทะลุกลับออกมานอกห้องไอซียูมาเจอหน้าเพื่อนทั้งสองอีกครั้ง
“ไม่ได้ผลไอ้ชา กูแค่หายตัวเข้าไปหาร่างกู” ผมบอกมันไป ไอ้ชาและไอ้คีย์ดูงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก เพราะปกติเรื่องแบบนี้พวกมันสองคนจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และสิ่งที่พวกมันบอกก็ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด
“มันเป็นไปได้ไงวะไอ้คีย์ ปกติกูใช้วิธีนี้ก็ได้ผลตลอดนี่นา” ไอ้ชาพูด หันไปขอความเห็นไอ้คีย์
“นั่นซิ การที่วิญญาณมึงหลุดออกมาจากร่างทั้ง ๆ ที่มึงเองก็ยังไม่ตาย มึงน่าจะกลับเข้าไปในร่างตัวเองได้นะ มึงลองดูอีกที” ไอ้คีย์พูดกับผม
ผมถอนหายใจออกมาอย่างเซง ๆ ลองทำตามที่พวกมันบอกอีกรอบ ครั้งแรกผ่านไป ครั้งสองผ่านไป ครั้งสามผ่านไป ทุกครั้งเหมือนเดิม คือผมเข้าไปยืนมองร่างตัวเองในห้องไอซียูแล้วเดินทะลุกำแพงออกมาหาพวกมันแล้วพูดว่าไม่ได้ผล
นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย ! เริ่มหัวร้อนแล้ว
ผมลองทำแบบนั้นอยู่ประมาณเกือบสองชั่วโมงก็เริ่มถอดใจ ไอ้คีย์ขึ้นลิฟต์ไปชั้นด่านฟ้าเพื่อหาที่เงียบ ๆ สงบ ๆ ส่งวิญญาณเพราะนี่มันเวลาตีสามพอดี เป็นเวลาที่มันต้องส่งวิญญาณไปรับการพิพากษาที่นรกทุกวัน ส่วนไอ้ชานั่งหลับคาเก้าอี้รอไปแล้ว มีไอ้ปูนนั่งหลับอยู่ด้วยที่ที่นั่งถัดไป เอนหัวซบกันแล้วนั่น เห็นแล้วก็ขำ
ผมเองก็รู้สึกดีที่ไอ้ปูนมันดูเป็นห่วงผมขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ระยะหลัง ๆ มา เราสองพี่น้องไม่ค่อยได้สนิทกันสักเท่าไร หลังจากผมถูกส่งมาอยู่กับยายที่นี่ พวกเราก็ไม่ได้โตมาด้วยกัน เจอกันแค่ปีละครั้งสองครั้งด้วยมั้งตอนเทศกาลสำคัญหรือตอนผมกลับไปเที่ยวเชียงใหม่ อาจจะเป็นเพราะระยะทางและอะไรอีกหลายอย่างที่ทำให้ผมเกือบลืมเรื่องราวสนุก ๆ สมัยเด็ก ๆ ไปหมด
ผมยิ้มมองหน้าน้องชายตัวเอง ไอ้เด็กตัวกะเปี้ยกที่วิ่งไล่ผมตอนนั้นมันโตขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ...
สักพักก็มีร่างของคุณหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมรีบปลุกไอ้ชาขึ้นมาเพราะอยากรู้อาการของตัวเอง ไอ้ชางัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนหันไปมองคุณหมอที่กำลังส่งยิ้มให้
“คุณเป็นญาติคนไข้ใช่ไหมครับ” คุณหมอพูด
“อ่อ ... ไม่ใช่ครับ แต่ก็เหมือนใช่นั่นแหละ เพื่อนผมเป็นไงบ้างครับหมอ” ไอ้ชาถาม
ข้าง ๆ มันไอ้ปูนก็เริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วด้วย
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่คนไข้ก็ใส่หมวกกันน็อก เลยไม่มีอะไรกระทบกระเทือนศีรษะมาก แต่ก็มีหัวแตกที่เราต้องเย็บ มีแผลถลอกภายนอกบางส่วน และแขนคงต้องเข้าเฝือกอีกสักสองอาทิตย์ครับ เพราะตอนล้มดูท่าคนไข้จะเอาแขนลงแรงมากครับ” คุณหมอพูด
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ... อย่างน้อย ๆ ผมก็รอด
“พี่น้ำ ไอ้ชา ถามอาการพี่น้ำด้วย” ผมรีบบอกมันเพื่อให้ถามอาการของพี่น้ำให้
“เอ่อ แล้วผู้หญิงที่ซ้อนมอไซค์มากับเพื่อนผมอาการเป็นไงบ้างครับ”
“ปลอดภัยดีเหมือนกันครับ แต่ ...” คุณหมอพูดออกมาทำหน้าไม่สู้ดีเท่าไร ผมเกลียดคำว่าแต่ของคุณหมอจัง ไม่ต้องรอให้ผมเร่งไอ้ชาก็รีบถามต่อขึ้นมา
“แต่อะไรครับหมอ”
“คนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองมาก ต้องรอดูอาการอีกสักระยะหนึ่งครับ มีโอกาสสูงมากที่อยู่ในสภาวะ Vegetative State หรือเจ้าหญิงนิทราครับ”
อะไรนะ !
คำพูดของคุณหมอทำให้ผมนิ่งอึ้งไปหมด นี่พี่น้ำจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหรอเนี่ย ผมไม่อยากคิดเลยว่าผมเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่เขาเป็นแบบนี้ ตอนนี้ผมรู้สึกสงสารพี่น้ำมาก ทั้งเพิ่งรู้ว่าแฟนตัวเองนอกใจ แถมยังต้องมาพบเจอเรื่องอะไรกับตัวเองแบบนี้อีก นี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนชัด ๆ
แล้วญาติพี่น้ำไปไหนหมด ทางโรงพยาบาลไม่ได้โทรแจ้งหรอ ผมถึงยังไม่เห็นมีใครมาซักที ...
เหมือนสิ่งที่ผมคิดจะได้ผลทันตาเห็น ผมเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางภูมิฐานเดินตรงเข้ามาทางหน้าห้องฉุกเฉินพร้อมกับ ผู้หญิงที่อายุราว ๆ 40 ต้น ๆ กับเด็กสาววัยเดียวกันกับผมอีกหนึ่งคน ใบหน้าของชายคนนั้นดูกระวนกระวายเหมือนห่วงใครบางคนมาก ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่เดินมาข้าง ๆ เขา ทั้งคู่เดินเถียงกันมาตลอดทางเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่
“ทำไมคุณไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้ ถ้าลูกสาวผมเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ถ้าเขาไม่โทรเข้าเบอร์ผม ผมคงไม่รู้” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูด ดูหงุดหงิดมากเมื่อหันไปมองหน้าภรรยาตัวเอง
“ค่อยมาพรุ่งนี้ก็ได้ไหมคะ ยัยน้ำคงไม่ตายเร็ว ๆ นี้หรอก ตัวเองก็ทำตัวไม่ดี ติดเที่ยว ซ้อนมอเตอร์ไซค์ผู้ชายกลับคอนโดตีหนึ่งตีสอง ลูกสาวคุณทำตัวเหลวแหลกขนาดนี้แล้วยังให้คนอื่นมาพลอยเดือดร้อนด้วย มันใช่เรื่องหรอคะ ถ้าไม่ติดยัยมิ้งค์จะมาด้วย ฉันก็ไม่เข้ามาหรอกค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ
“คุณ !” ผมเห็นคุณพ่อของพี่น้ำหันไปตะคอกใส่ผู้หญิงคนนั้นจนคนรอบ ๆ มองไปทั่ว
“คุณแม่คะ พี่น้ำไม่ใช่คนแบบนั้นนะคะ คุณพ่อกับคุณแม่หยุดทะเลาะกันก่อนเถอะค่ะ แล้วเรารีบไปหาคุณหมอถามอาการพี่น้ำดีกว่า” เด็กสาวที่เดินมาด้วยพูด
ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแม่พี่น้ำจะพูดถึงเธอในทางเสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้น ครอบครัวนี้ดูแปลกประหลาดพิลึก เป็นแม่ยังไงไม่ได้ดูห่วงลูกตัวเองเลย
ไม่นานทั้งสามคนก็เดินมาถึงบริเวณที่ไอ้ชากับไอ้ปูนนั่งอยู่ คุณหมอเองก็ยังยืนคุยเกี่ยวกับอาการผมอีกสักพัก เห็นบอกว่าถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วจะย้ายผมออกจากห้องไอซียูไปห้องปกติ พอดีกับไอ้คีย์ที่ลงลิฟต์มาหลังจากส่งวิญญาณเสร็จก็ตรงเข้ามาหาพวกเรา
ครอบครัวของพี่น้ำคุยกับคุณหมออีกแปบหนึ่ง ก่อนคุณพ่อของพี่น้ำจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เอามือกุมขมับตัวเองเมื่อรู้ว่าพี่น้ำอาจจะอยู่ในสภาวะเจ้าหญิงนิทรา ไอ้คีย์ที่เห็นแบบนั้นก็เข้าไปคุยด้วยเพราะผมบอกว่าคนพวกนี้เป็นครอบครัวของพี่น้ำ ไอ้คีย์เล่าให้คุณพ่อพี่น้ำฟังว่าผมเป็นรุ่นน้องพี่น้ำที่มหาวิทยาลัยและเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์พาพี่น้ำกลับคอนโด แต่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน คุณพ่อพี่น้ำไม่ได้ดูโกรธผมสักนิด เขาดูเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีจนผมเองอดขอบคุณไม่ได้ ตอนนี้ผมเองก็ได้แต่ภาวนา
ว่าอาการของพี่น้ำในวันพรุ่งนี้จะไม่เป็นเจ้าหญิงนิทรา พี่น้ำต้องฟื้นขึ้นมา ...
และตัวผมเองสมควรที่จะได้เข้าร่างและฟื้นในวันต่อไปเช่นกัน ...