บทที่ 81 ลืมตาตื่น
ตอนที่เย่โม่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว เขารู้สึกว่าในอ้อมกอดเขามีคนนอนอยู่ ต่อให้ไม่มีแสงไฟแต่ด้วยจิตสัมผัสเย่โม่ก็รู้ว่าที่แท้ก็คือหยุนปิงนั่นเอง
ก่อนหน้าที่เย่โม่จะสลบไปเป็นครั้งที่ 2 เขารู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองอยู่กับหยุนปิงดังนั้นจึงได้นอนหลับเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เพราะหากไม่ทำอย่างนั้นผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายคงหนักหนาสาหัส อาจทำให้ภายหลังตัวเขาไม่สามารถไปถึงระดับ 3 ได้เลยทีเดียว
ดังนั้นหลังจากพบว่าหยุนปิงอยู่ในอ้อมอกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขากลับไปเดินลมปราณฟื้นฟูร่างกายโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เย่โม่เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ เขาคิดไม่ถึงว่าตอนที่เขาตื่นมาหยุนปิงจะมานอนกับเขาแบบนี้
แต่ใช้เวลาไม่นานเย่โม่ก็เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ หยุนปิงตอนแรกคงคิดจะนอนอยู่ข้างเตียงชั่วคราว แต่เพราะผลอยหลับไปและอากาศตอนกลางคืนก็หนาวเย็นอยู่บ้าง เธอจึงเข้ามามุดผ้าห่มโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้ แค่ดูจากเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ถอดของเธอก็พอจะเดาได้ ดูเหมือนว่า 2-3 วันมานี้เธอคงจะหลับไม่เต็มอิ่มนัก
ถึงแม้เย่โม่จะรู้แก่ใจว่าหยุนปิงช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืน แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหยุนปิงถึงหาเขาเจอตอนเช้ามืดได้แบบนั้น อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอก็ถือว่าแย่มาก เธอเกลียดเขาด้วยซ้ำ แล้วทำไมเธอถึงเต็มใจจะช่วยเขาแบบนี้?
เย่โม่คลุมผ้าห่มให้กับหยุนปิง เขาดึงมือของเธอออกเพื่อเตรียมจะลงจากเตียง ไม่ว่าหยุนปิงจะช่วยเขาเพราะอะไรก็ตาม...เขาไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้ หากว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้วหาเรื่องเขาล่ะก็...เขากลัวจะพลั้งมือทำร้ายเธอ ถึงยังไงหยุนปิงก็ช่วยชีวิตเขาไว้ ถ้าเธอไม่พอเขากลับมาล่ะก็...ไม่ว่าใครเป็นคนพบเขาเรื่องจะต้องจบไม่สวยแน่นอน
ครั้งนี้เขาประมาทศัตรูมากไปหน่อย ถึงในใจเย่โม่จะรู้ดีว่าฝีมีระดับเขาสำหรับที่นี่แล้วยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ แต่เมื่อได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือจริงๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีผู้ฝึกลมปราณ...
ขณะที่เย่โม่กำลังจะลุกออกจากเตียงนั้น เขากลับพบว่ามุมเสื้อของตัวเองถูกหยุนปิงจับไว้แน่นอีกครั้ง เย่โม่ตรวจสอบอาการของตัวเอง...กระดูกมือที่แตกนั้นเขาฟื้นฟูด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว ส่วนแผลบนหลังก็ได้หยุนปิงใช้ยาอะไรสักอย่างทาไว้ 1 ชั้น เมื่อรวมกันกับลมปราณที่เขาใช้ฟื้นฟูบาดแผล...ตอนนี้เขาฟื้นสภาพกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว
ทว่าเมื่อมองเสื้อผ้าของตัวเองแล้วเขากลับรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอยู่บ้าง เย่โม่กระทั่งสงสัยว่านี่คือเสื้อของหยุนปิงใช่หรือไม่ ตอนนี้เขาขี้เกียจจะดึงมือหยุนปิงออกแล้ว เขาถอดเสื้อออกด้วยความอึดอัดลำบากใจเล็กน้อย เย่โม่นึกถึงกระเป๋าสะพายของตัวเองใบนั้น...ไม่รู้ว่าหยุนปิงได้เอากลับมาด้วยหรือไม่ ต้องรู้ก่อนว่าของทุกอย่างของเขาอยู่ในกระเป๋าใบนั้น
ข้างในกระเป๋ามีทั้งเงิน เสื้อผ้า บัตรประชาชน นี่ยังไม่รวมพวกยาต่างๆ ด้วย อันที่จริงแล้วของพวกนี้ยังไม่ถือว่าสำคัญมากมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในนั้นยังมี ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ด้วย หากเมล็ดเหล่านั้นหายไปเขาก็จบกัน ทั้งยังมี ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ด้วย
คิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็รีบแผ่จิตสัมผัสออกไปทันที ในใจกระตุกวาบ เย่โม่ไม่พบกระเป๋าของเขาภายในห้องเลย สมมติว่าหยุนปิงไม่ได้เอากระเป๋าของเขามาด้วย...งั้นตอนนี้เขาก็ไม่มีทั้งเสื้อผ้า แม้แต่เงินก็ยังไม่มีเลย
เมื่อไม่พบกระเป๋าของตัวเอง เย่โม่ก็เตรียมจะออกไปตามหาทันที ถึงยังไงของในนั้นก็สำคัญสำหรับเขามาก เพียงแต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องถามอะไรบางอย่างจากหยุนปิงก่อน
เย่โม่ไม่สนใจว่าหยุนปิงกำลังหลับอยู่ เขารีบเขย่าตัวเธอทันที
“อืม....” หยุนปิงถูกเย่โม่เขย่าจนตื่น เธอร้องอืมออกมา แต่ไม่นานเธอก็รู้สึกตัวว่าคนที่ปลุกเธอก็คือเย่โม่นั่นเอง เธอรีบเอามือปิดปากของตัวเองทันที ทว่าตอนที่เธอยกมือขึ้นมาก็พบว่ามือของเธอกำเสื้อเอาไว้ตัวหนึ่ง อีกทั้งเสื้อตัวนี้ยังเป็นตัวเดียวกันกับที่เธอช่วยสวมให้เย่โม่ด้วย
หยุนปิงหน้าแดง เธอยันตัวขึ้นมาด้วยความขัดเขิน “นายตื่นแล้วหรือ?”
เย่โม่พยักหน้า “อืม ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมอยากรู้ว่าเธอได้เอากระเป๋าสะพายของผมติดมาด้วยหรือเปล่า?”
“กระเป๋า?” หยุนปิงขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคืนตอนที่เธอลากตัวเย่โม่ขึ้นรถ...มือของเขากำอะไรไว้อยู่ด้วย แต่เธอก็ไม่ได้สังเกตให้ละเอียดอะไร เธอแค่ยัดๆ เข้าไปในรถเท่านั้น หยุนปิงก็ไม่แน่ใจว่านั่นใช่ของที่เย่โม่กำลังหาหรือไม่ ในเมื่อเย่โม่พอตื่นมาก็ถามถึงกระเป๋าใบนั้นเลย...นั่นแปลว่าคงสำคัญกับเขามาก
หยุนปิงเปิดไฟตรงหัวเตียงทันที เธอมองไปยังเย่โม่ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วหมวดอยู่ข้างๆ เธอรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ชายหญิง 2 คนนั่งติดกันบนเตียงกลางค่ำกลางคืนแบบนี้...อีกทั้งเย่โม่ยังไม่สวมเสื้อด้วย พวกเขาดูเหมือนคู่สามีภรรยากันจริงๆ
หยุนปิงคิดถึงบทความบทหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ใครเขียนมันเธอก็ลืมไปแล้ว มันเขียนบรรยายสถานการณ์ในตอนนี้ สามีลุกขึ้นนั่งในกลางดึก เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ คิ้วของยิ่งขมวดมุ่น ฉันรู้ดี...เขากำลังกังวลเรื่องค่าเรียนของลูกชาย...
ลูกชาย? หยุนปิงคิดถึงลูกสาวของเธอถิงถิงขึ้นมาทันที คนครอบครัวนั้นใจร้ายจริงๆ ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่ยอมให้เธอพบหน้าลูกสาวเลยสักครั้ง
“เธอเป็นอะไรไป?” เย่โม่มองสีหน้าอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาของหยุนปิงด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่รอให้หยุนปิงตอบกลับมา เขาถามขึ้นอีกครั้ง “เธอคิดออกหรือยังว่ากระเป๋าใบนั้นวางไว้ไหน?”
“อา...” หยุนปิงได้สติกลับมาทันที เธอไม่คิดว่าตัวเองจะใจลอยแบบนี้ เธอรีบพูดทันที “ฉันจำได้ว่ามีของอย่างหนึ่งทิ้งไว้ในรถ ไม่รู้ว่าใช่กระเป๋าที่นายหาไหม ตอนนั้นค่อนข้างรีบน่ะเลยลืมสังเกต เดี๋ยวฉันไปดูที่รถให้”
พูดจบเธอก็เตรียมจะลุกขึ้นทันที
แต่เย่โม่กลับพูดขึ้น “รอเดี๋ยว…ให้ผมไปเองเถอะ เธอบอกมาว่ารถจอดอยู่ที่ไหนก็พอแล้ว”
หยุนปิงรีบส่ายหัว “นายห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด! ตอนนี้ข้างนอกมีประกาศจับนายอยู่ทุกที่ ออกไปตอนนี้ก็โดนจับกันพอดี!”
“เธอรู้หรือว่าฉันทำอะไรไป?” เย่โม่มองหยุนปิงด้วยความประหลาดใจ คิดในใจว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาฆ่าซ่งเฉ่าถาน?
หยุนปิงกลอกตาใส่เย่โม่ “เมื่อวานช่วงเช้ามืดในหนิงไห่มีคนพบศพของชาย 6 คนถูกฆ่าตายในคฤหาสน์หลังหนึ่ง อย่าปฏิเสธเชียว…ตอนที่ฉันออกไปตามหานายก็เห็นนายบนถนนแล้ว เย่โม่...นายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การฆ่าคนใช่เรื่องที่สมควรทำไหม? ใช้สมองคิดหน่อยสิ! ความหุนหันมันไม่ดีหรอก...เห้อ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจากนี้นายต้องทำยังไงต่อ แต่รู้ว่านายคงต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ แล้วล่ะ”
พูดจบหยุนปิงก็ส่ายหัว ถึงแม้เธอจะชื่นชมที่เย่โม่ช่วยชีวิตคนอื่น แต่กับความหุนหันพลันแล่นของเขาที่ฆ่าไป 6 ศพแล้ว...มาตอนนี้เธอก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออยู่ดี
เย่โม่ไม่สนใจประโยคหลังๆ ของหยุนปิงแม้แต่น้อย เขาถามเพียงว่า “เธอรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนฆ่า? แล้วเธอตามหาผมทำไม? อีกอย่าง...เธอรู้ที่อยู่ของผมได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินที่เย่โม่พูด หยุนปิงก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย “เย่โม่...ขอโทษนะ...ที่ฉันตามหานายก็เพราะต้องการจะขอโทษเท่านั้น วันนั้นนายช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันเพิ่งจะมารู้ทีหลังก็ตอนดูคลิปจากกล้องอันนั้นแหละ เมื่อวานที่ฉันตัดสินใจออกไปตามหานายก็เพราะฉันเห็นจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยว่าชืออิ่งคนนั้นคล้ายกับนายมาก วันนั้นฉันจึงขับรถไปมหาวิทยาลัยแบบนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเจอนายอยู่กลางถนน”
“เหมือนผมมาก?” เย่โม่คิดในใจว่าตอนนั้นเขาก็ใช้พลังปราณคลุมใบหน้าไว้ชั้นหนึ่งแล้ว ควรจะถ่ายหน้าเขาได้ไม่ชัดสิถึงจะถูก หยุนปิงจำเข้าได้ยังไง?
“ฉันรู้สึกว่ารูปร่างของเขาคล้ายกับนายอยู่บ้าง เพราะแบบนี้ฉันจึงออกไปหานาย บอกฉันหน่อยสิ...ตกลงว่านายคือชืออิ่งใช่ไหม?” หยุนปิงพูดถึงตรงนี้ก็เหมือนจะลืมเรื่องอื่นไปทั้งหมดเสียแล้ว
เย่โม่พยักหน้ายอมรับ เข้าใจแล้วว่าทำไมหยุนปิงถึงอยากช่วยชีวิตเขา ทั้งยังไม่หาเรื่องเขาอีก สาเหตุก็เพราะ SD การ์ดในกล้องอันนั้นเอง
“ในเมื่อเธอรู้แล้วว่าผมเป็นฆาตกร ทำไมถึงไม่กลัวล่ะ? เธอใจเย็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอฆาตกรหรือเปล่า?” อยู่ๆ เย่โม่ก็ถามขึ้น
หยุนปิงนิ่งงันไป เธอไม่รู้สึกหวาดกลัวเย่โม่จริงอย่างที่เขาว่า เธอเพียงรู้สึกเป็นห่วงเขาก็เท่านั้น ไม่เคยคิดเรื่องนี้ในหัวเลยด้วยซ้ำ เธอกล้าหาญขนาดนั้นเลยหรือ? แต่เวลาเธออยู่กับเย่โม่นั้นเธอไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิดเดียว พอเขาถามแบบนี้เธอก็ส่ายหัวโดยอัตโนมัติ “ฉันแค่เป็นห่วงนายเท่านั้น ไม่กลัวหรอก บางที...บางทีเพราะนายเคยช่วยฉันไว้ หรือไม่ก็เพราะนายฆ่าคนที่สมควรตาย”