เรื่องสยองที่ 2 : พรหมลิขิต VS กรรมลิขิต [Part 2]
กว่าการประชุมรับน้องจะจบลงก็เกือบเย็นพอดี ผมล่ะปวดหัวเลย สรุปแล้วผมก็ต้องกลายเป็นพี่แฝงที่ต้องไปแฝงตัวร่วมทำกิจกรรมอีกสามวันในค่ายรับน้องที่จะเกิดขึ้นในอีกสองสามอาทิตย์ข้างหน้า โดนบรีฟเรื่องการเป็นพี่แฝงมาอีกหนึ่งชุดใหญ่ จะว่าสบายก็สบายนะ ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่มันยากตรงที่ว่าเราห้ามไปสนิทกับใครเป็นพิเศษ พูดง่าย ๆ คือเหมือนเป็นสปายเข้าไปสอดแนมน้อง ๆ ว่ารู้สึกยังไงกับกิจกรรมที่พวกเราจัดให้ น่าเบื่อไหม สนุกไหม อะไรแบบนี้ คอยเชียร์อัพให้น้องทำกิจกรรม นอกจากนี้ก็ห้ามทำตัวมีพิรุธเด็ดขาด ทำเหมือนว่าเราไม่เคยรู้จักใคร ณ ที่นี้มาก่อน
“ไอ้อิฐกูมีข่าวดีมาบอก กูไปขอตองให้มึงมาเป็นน้องในบ้านกูแล้ว ดีใจไหมครับน้องอิฐ” ไอ้ชาพูดขึ้นมาตบบ่าผมแปะ ๆ
คืองี้ครับ เวลาทำกิจกรรม น้อง ๆ ก็จะถูกแบ่งออกเป็นบ้านต่าง ๆ ซึ่งจะมีพี่บ้านคอยดูแล แต่ละบ้านก็จะมีพี่แฝงหนึ่งคนแฝงตัวอยู่ในนั้นร่วมทำกิจกรรมกับน้อง ๆ
“ดีใจจนน้ำตาไหลเลย ได้เจอรุ่นพี่แบบมึงเนี่ยไอ้ชา” ผมตอบมันไป
“เอาน่า อย่างน้อยก็ดีกว่าไปเป็นพี่ว้ากไม่ใช่หรอวะ” ไอ้คีย์พูดต่อ ก็จริงของมัน เป็นพี่ว้ากนี่ผมได้บ้าตายจริง ๆ แน่ เหมือนมีกฎเกณฑ์มากมายแถมต้องซ้อมอีกเยอะแยะ
“แล้วจะไปไหนกันต่อพวกมึง ไปกินข้าวเย็นกันเลยปะ” ผมถามพวกมันเพราะเห็นว่าตอนนี้ก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี เหลืออีกตั้งสามชั่วโมงกว่าผมจะต้องออกไปตามที่ทวดรหัสนัด หาอะไรลองท้องไว้ก่อนดีกว่า เพราะร้านเดิมที่พี่รหัสผมพูดถึงมันไม่ใช่ร้านอาหาร แต่มันเป็นร้านเหล้า
“กูนัดฟองไปดูหนังว่ะวันนี้” ไอ้คีย์พูด
“ไหมชวนกูไปซื้อรองเท้า” ตามมาด้วยไอ้ชา
ดีจังเลยครับเพื่อน ไอ้พวกคนมีคู่ ...
“ครับเพื่อน” ผมตอบพวกมันกลับไป ทำหน้าเซง ๆ
“โอ๋ ๆ เพื่อนอิฐไม่ต้องน้อยใจนะครับ ถ้าไม่อยากกินข้าวคนเดียวก็ไปกับเพื่อนชาคนนี้ก็ได้” ไอ้ชาพูดพร้อมกับเอามือมาคล้องคอผมเหมือนปลอบใจ
“พอเลยมึง กูไม่อยากไปเป็น กขค. ใคร”
“รู้ด้วยนี่หว่า ฮ่าฮ่า”
ขณะที่ผมกำลังคุยเล่นอยู่กับไอ้คีย์และไอ้อิฐ เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้นมา ทำให้ผมเอามือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมือถือออกมาเพื่อกดรับสาย เบอร์โทรที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอแสดงชื่อผู้ที่โทรมา ‘Poon’
เฮ้ย ... นี่ผมลืมไปสนิทเลยนะเนี่ยว่าวันนี้จะมีญาติลูกพี่ลูกน้องมานอนค้างที่ห้องด้วย คนที่โทรมาชื่อ ปูน ครับ ไอ้ปูนเป็นลูกของอาผมที่อยู่ที่เชียงใหม่ แต่มาสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม มันเลยขอมาอยู่ด้วยสองสามวันก่อนจะย้ายเข้าไปอยู่หอใน เพราะหอในยังไม่เปิดให้เขาไปพัก อยากมาเที่ยวล่วงหน้านั่นแหละครับพูดง่าย ๆ ตอนแรกผมก็เกือบได้อยู่กับอาที่เชียงใหม่นั่นแหละ แต่ยายผมขอแม่ว่าอยากเอาหลานมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันที่นี่ ผมก็เลยได้มาอยู่ที่นี่ตามที่ทุกคนรู้นั่นแหละครับ
"ฮั๋นโหล อ้ายอิฐใจ่ก่อครับ" ปลายเสียงทุ้มห้าวดังมาจากมือถือของผม ก็ใช่น่ะซิ ... เป็นขอเบอร์ผมไปเองแท้ ๆ ทำไมมันจะไม่ใช่เบอร์ผมล่ะ
"ใจ่แล้ว ๆ ถึงแล้วก๋า" ผมพูดตอบกลับไป พลางนึกขึ้นได้ว่ามันก็บอกเวลาผมไว้แล้วนี่หว่า ว่าจะมาถึงกี่โมง มันคงโทรมาตามเพราะรอนานแล้วไม่มีใครไปรับแน่ ๆ โทษทีนะเว้ยปูน
"ครับอ้าย ๆ มาฮับน้องกำ" ไอ้ปูนพูด
"ได้ ๆ กำเน้อ เดี๋ยวอ้ายไปฮับตี้สนามบิน" ผมตอบมันกลับไปก่อนกดวางมือถือตัวเองลง
หลังจากวางสายลงก็รีบหันไปคุยกับไอ้คีย์พร้อมกับบอกว่าก่อนกลับคอนโดให้แวะไปรับไอ้ปูนที่สนามบินก่อน ว่าแล้วพวกผมก็รีบเดินออกจากคณะตรงไปยังรถไอ้คีย์เพื่อไปรับไอ้ปูนที่สนามบิน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง พวกผมก็มาถึง ผมมองหาน้องชายตัวเองรอบ ๆ ไม่นานก็พบ เห็นไอ้ปูนยืนโบกมือยิ้มกว้างพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้ผมอยู่
จะว่าไปผมก็ไม่เจอตัวจริงมันมาเกือบปีกว่าแล้ว ได้แต่คุยกันผ่านเฟสบุ๊คบ้าง อินสตาแกรมบ้าง มาเจอคราวนี้ดูเปลี่ยนไปเยอะเลย จากที่เมื่อก่อนเป็นเด็กนักเรียนหัวเกรียน ตอนนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มสไตล์เกาหลีเหมือนไอ้ชาไปแล้ว ถ้าถามถึงเรื่องหน้าตาก็คล้าย ๆ ผมนั่นแหละครับ ก็เป็นญาติกันนี่เนอะ ผมเดินเข้าไปหามันพร้อมกับขอโทษขอโพยที่ลืมมารับมันได้ลง
"บ่ปะกั๋นเมิน สบายดีก่ออ้าย" ไอ้ปูนทักผมพลางยิ้มกว้างให้
"สบายดี ๆ พี่ขอพูดกลางเน้อปูน นี่เพื่อนพี่ พี่คีย์ ส่วนนี่ไอ้ชา ขอโทษด้วยที่มารับเราช้าอะ พี่ติดประชุมเรื่องรับน้องอยู่" ผมบอกไอ้ปูนไปพร้อมกับแนะนำเพื่อนอีกสองคนให้มันรู้จัก
“เดี๋ยว ๆ ทำไม พี่คีย์ พอกับกูเป็นไอ้ชาอะ” ไอ้ชาพูดโวยวาย
“มึงมันไม่น่าเคารพไง”
“อ่อ ฮ่า ๆ สวัสดีครับพี่คีย์ พี่ชา”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมรอแค่ชั่วโมงกว่าเอง ดีนะที่โทรไป ผมก็ว่าพี่ลืมแน่ ๆ” ไอ้ปูนพูดต่อ
“งั้นเราไปคอนโดเลยปะ พี่ต้องออกไปข้างนอกตอนสองทุ่มด้วยเดี๋ยวไม่ทัน ส่วนไอ้สองตัวนี้ก็มีนัดกับสาวต่อ” ผมพูดกับปูนพลางหันไปมองหน้าไอ้คีย์กับไอ้ชา
“ได้ครับ”
พูดจบผมก็ช่วยน้องถือถุงของฝากที่เห็นหิ้วมาอีกสองสามถุงไปยังรถไอ้คีย์เพื่อที่จะกลับคอนโดกัน ดูท่าจะได้กินอาหารเหนือสมใจอยากก็คราวนี้ ไส้อั่ว แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม มื้อเย็นนี้ไม่ต้องไปหาข้าวกินข้างนอกแล้วล่ะ ผมอยู่กินข้าวเย็นกับน้องก็ได้ ปล่อยให้ไอ้พวกมีคู่ไปกินข้าวเย็นข้างนอกอดกินของอร่อยดีกว่า
พอทานข้าวเย็นเสร็จผมก็บอกให้ไอ้ปูนนั่งเล่น นอนเล่นอยู่ที่คอนโดคนเดียวไปก่อน เนื่องจากผมต้องออกไปข้างนอก จะพาไปเปิดหูเปิดตาด้วยก็กลัวจะไม่สนุกเพราะไม่รู้จักใครสักคน ผมเองก็ไม่ได้กะไปกินจนเมาหรืออยู่จนดึกอยู่แล้ว แค่แวะไปทักทายทวดรหัสที่นึกอยากจะเลี้ยงสาย ยังไงวันนี้ต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปเอง ถ้าเมาไม่มีใครลากผมกลับห้องแน่ รุ่นพี่แต่ละคนนี่ก็ดื่มกันหนักใช่ย่อย
เวลาสองทุ่มกว่า
ร้านเหล้าร้านเก่า ร้านเดิมร้านประจำของพวกเด็กวิศวะก็ยังคงคับคั่งไปด้วยผู้คนเหมือนเดิมเช่นทุกวัน ผมเดินเข้าไปภายในร้านก่อนมองหากลุ่มสายรหัสของตัวเอง ผมมาเลทจากเวลาที่นัดไปนิดหน่อย เห็นว่าทวดรหัสนัดเลี้ยงทั้งที เป็นผู้หญิงคนเดียวในสายแถมสวยด้วย ผมก็อยากจะเห็นหน้าขึ้นมา ผมเองก็ยังไม่เคยเจอหน้าพี่เขาหรอก แต่คิดว่าอายุน่าจะห่างจากผมสัก 4 ปีได้เพราะพี่รหัสผมบอกว่าเขาจบไปได้ปีกว่าแล้ว
“เฮ้ยอิฐ ทางนี้” เสียงพี่รหัสของผมดังขึ้น ทำให้ผมหันไปมองก็เจอพี่เขาโบกมือให้อยู่ ผมเลยเดินตรงไปยังโต๊ะนั้น ไปถึงก็พบว่ามีพี่สองคนนั่งอยู่ มีพี่แม็คพี่รหัสผม กับพี่ไทพี่รหัสของพี่แม็คอีกที ขาดรุ่นพี่อีกคนที่เป็นรุ่นพี่ของพี่ไท
“พี่โจยังไม่มาหรอพี่แม็ค” ผมถามถึงคนที่ขาดไป
“ยังเลย พี่โจไปรับทวดรหัสมึงไง” พี่แม็คตอบ
ผมนั่งคุยกับพวกพี่อีกสองคนไปเพลิน ๆ อีกสักพักก็มีเสียงดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“โอ๊ย กว่าแกจะมารับฉันได้ไอ้โจ รอจนรากฝอยกลายเป็นรากแก้ว” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาเหวี่ยง ๆ
“โหพี่ ผมรีบสุดละค้าบ คอนโดพี่มันอยู่คนละทางกับพวกผมเลย แล้วนี่เป็นไร วันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีจัง บ่นตั้งแต่ขึ้นรถละ เมนส์มาหรอ”
“ไอ้โจ !”
นั่นมันเสียงพี่โจนี่หว่า ว่าแล้วผมก็หันหน้าไปมองก่อนยกมือไหว้ เสียงผู้หญิงอีกคนน่าจะเป็นทวดรหัสของผมเอง และแล้วผมก็ได้เห็นหน้าทวดรหัสของผมอย่างเต็มตา
เฮ้ย !
ผมยาวสลวยถูกมัดรวบไว้ข้างหลัง ปากนิด จมูกหน่อย ใบหน้าเชิดนิด ๆ ดูเป็นผู้หญิงห้าว ๆ เหมือนคลุกคลีอยู่กับพวกผู้ชายมานาน ก็แหงล่ะพี่แกเรียนวิศวะนี่ครับ สวยเผ็ดเหมือนพี่แม็คบอกจริง ๆ แต่ว่า ...
เราเคยเจอกันมาก่อนครับ 3 ครั้งแล้วถ้าผมจำไม่ผิด และแต่ละครั้งที่เจอ มันก็เป็นการพบกันที่ไม่ค่อยน่าจะประทับใจเลยสักครั้ง
ครั้งแรก ... รถมอเตอร์ไซค์ผมน้ำมันหมดกลางทาง พี่เขาคิดว่าผมเป็นโจรดักปล้น เอาเครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตผม
ครั้งที่สอง ... เมาเละเทะแล้วไปอ้วกทิ้งไว้บนรถเขาเพราะคิดว่าเป็นคนขับแท็กซี่ ไอ้คีย์เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นพี่เขาอารมณ์เสียสุด ๆ
ครั้งที่สาม ... ที่สนามบินประมาณสามเดือนที่แล้วตอนไปเที่ยวเลยกับพวกเพื่อน ๆ ชนกันจนกระเป๋าเดินทางล้ม แล้วไอ้คีย์เล่าให้ฟัง ผมถึงจำเขาได้นั่นแหละ
เขาว่ากันว่าคนเราบังเอิญเจอกันสามครั้งขึ้นไปเรียกว่าพรหมลิขิต ... แต่ผมว่ามันน่าจะเป็นกรรมลิขิตแล้วล่ะ
“นาย !” ทวดรหัสผมอ้าปากค้างก่อนพูดขึ้นมา มองหน้าผมเหมือนเรื่องที่ผมทำผิดไว้เขายังไม่ลืม และเขาจำผมได้
“เอ่อ ... ครับ ดีครับพี่” ผมพูดออกไป ยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่เขา
“พี่น้ำรู้จักกับไอ้อิฐมาก่อนหรอครับ นี่เหลนรหัสพี่ไง” พี่โจพูดพร้อมกับดึงพี่น้ำนั่งลงที่เก้าอี้
“ห้ะ ! เวรกรรม ไม่อยากจะเชื่อ หมอนี่เคยเมาเรี่ยราดแล้วอ้วกทิ้งไว้บนรถฉัน เหม็นไปสามวันแปดวัน” พี่น้ำบ่นขึ้นมามองผมเคือง ๆ นี่เขาโกรธจริงจังขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
“จริงหรอวะไอ้อิฐ ฮ่าฮ่าฮ่า มาฮายไฟว์หน่อย” พี่โจพูดพร้อมชูมือห้านิ้วเตรียมพร้อมแปะมือกับผมเหมือนว่ามันตลกมาก
“ตลกนักหรอไอ้โจ แกเลี้ยงนะวันนี้” พี่น้ำพูดตวัดหางตาไปมองพี่โจ
“เฮ้ยอิฐ มึงไปทำกับรถพี่เขาแบบนี้ได้ไงวะรีบขอโทษพี่น้ำเลย”
ไอ้พี่โจ ...
“โหยพี่ เรื่องมันก็นานมาแล้ว ผมขอโทษ อภัยให้เหลนรหัสคนนี้เถอะนะ นะ” ผมพูดทำตาปริบ ๆ ใส่พี่น้ำ ตอนนั้นก็ใช่ว่าผมจะตั้งใจเมาซะเมื่อไร อารมณ์ตอนนั้นมันเหมือนพายุลูกใหญ่เลยกินเหล้าไปซะเมาเละเทะ ต้องไปโทษไอ้ปีศาจตัวนั้นที่มันเข้าสิงผมต่างหาก
“ก็ได้ นี่เห็นว่ากลายมาเป็นเหลนรหัสฉันแล้วนะถึงได้ยอม ไม่คิดเลยอะว่าจะเป็นนาย”
หลังจากคุยกันไปสักพัก ผมก็พบว่าพี่เขาทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัดมาได้เกือบปีแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ค่อยชอบงานที่ทำอยู่สักเท่าไร ประกอบกับการที่พ่อของพี่น้ำเขาป่วย พี่น้ำเลยตัดสินใจกลับมาเรียนต่อปริญญาโทที่นี่ พวกเราก็พูดคุยเรื่องของแต่ละคนไปเรื่อยจนสักพักพี่น้ำแกก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“อิฐมึงไปดูพี่น้ำหน่อยดิ ทำไมเขาหายไปนานจังวะ” เสียงพี่โจทักผมขึ้นมา ตอนนี้พี่แม็คกับพี่ไทชนแก้วกันไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว ผมว่าแต่ละคนเริ่มเมาแล้วล่ะ ผมเองก็คิดว่าพี่น้ำแกไปนานจริง ๆ เหมือนกัน เลยลุกเดินไปทางห้องน้ำอย่างที่พี่โจบอก ผมเองดื่มไปนิดเดียวยังไม่เมาเท่าไรเพราะตัวเองเอารถมอเตอร์ไซค์มา เดี๋ยวจะกลับไม่ได้เป็นภาระไอ้คีย์มารับอีกเปล่า ๆ
เดินไปด้านหลังร้านบริเวณห้องน้ำผมก็เจอพี่น้ำทรุดตัวร้องไห้อยู่ที่พื้นแถวนั้น ผมเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าพี่น้ำร้องไห้ทำไม ในมือของพี่น้ำกำมือถือตัวเองแน่น พร้อมกับเสียงข้อความในไลน์ที่ดังขึ้นมาไม่หยุด คนแถวนั้นต่างมองพี่แกแต่พี่น้ำไม่ได้สนใจ ผมเลยรีบเข้าไปประคองพี่น้ำให้ลุกขึ้นมา
“พี่ใจเย็น ๆ นะ เป็นไรครับเนี่ย ร้องไห้ทำไม” ผมถามพี่เขา เห็นแล้วรู้สึกไม่ดีเลยเห็นผู้หญิงร้องไห้แบบนี้
“ฮึก ฮือ มัน ... มันนอกใจฉัน เลว ไอ้เลว !” พี่น้ำพูดออกมาเสียงสั่นเครือ ผมหยิบมือถือพี่น้ำขึ้นมาดูก็พบว่าข้อความที่เด้งขึ้นมาเป็นคลิปของผู้ชายกับผู้หญิงกำลังนัวเนียกันอยู่เห็นหน้าชัดเจน และถ้าผมเดาไม่ผิดผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นแฟนพี่น้ำ
“พี่น้ำคนมองหมดแล้ว ไป กลับโต๊ะเราเถอะครับ”
ผมเช็ดน้ำตาให้พี่น้ำก่อนพากลับมาที่โต๊ะของตัวเอง ตอนนี้เจ้าตัวหยุดร้องไห้แล้ว แต่ที่หน้าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือพี่แกสั่งเหล้าเพิ่มไม่หยุดพร้อมกับกรอกของเหลวเหล่านั้นเข้าปากแบบไม่คิดชีวิตยิ่งกว่าพี่แม็คกับพี่ไท ที่ตอนนี้คุยกันไม่รู้เรื่องเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ยอิฐ มึงทำไรพี่น้ำเขา ทำไมกลับมากระดกเหล้าเข้าปากไม่หยุดแบบนี้อะ” พี่โจที่นั่งข้างผมถามขึ้นมาแบบเป็นห่วง
“พี่แกจับได้ว่าแฟนนอกใจอะพี่” ผมตอบพี่เขาไป
“ห้ะ ! ไอ้พี่เอกมันนอกใจพี่น้ำหรอ ไอ้เลวเอ้ย” พี่โจพูดขึ้นมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
“พี่ช่วยห้ามหน่อยดิ ผมว่าพี่น้ำดื่มเยอะไปแล้วนะ” ผมพูด เห็นแล้วกลัวแทนเลยดื่มไปเยอะขนาดนั้น
“อาการแบบนี้ปล่อยเขาไปก่อนเถอะว่ะ ทวดรหัสมึงคอแข็งมาก” พี่โจพูด ผมเองก็รู้เหมือนกันว่าห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ท่าดูจากอารมณ์พี่น้ำในตอนนี้เพราะผมพูดห้ามไปหลายสิบรอบแล้วเขาก็ไม่ฟัง
จากสองทุ่มเปลี่ยนไปเป็นสามทุ่ม สามทุ่มเปลี่ยนไปเป็นสี่ทุ่ม และท้ายที่สุดผมมองเวลาอีกทีนี่ก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว พี่น้ำคอแข็งเหมือนที่พี่โจพูดจริง ๆ ผิดกลับพี่แม็คและพี่ไทที่สลบคาโต๊ะไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
“ผมว่ากลับกันเถอะพี่” ผมหันไปบอกพี่โจ ดูสภาพแต่ละคนแล้วสมควรแก่คำว่าพอ
“งืม จากลับแล้วหรอ” เสียงพี่น้ำพูดขึ้นมา ผมว่าตอนนี้พี่เขาคงมึน ๆ แล้วล่ะ
“กลับเถอะพี่ ตีหนึ่งแล้ว แต่ละคนทำไมเมาเละเทะแบบนี้วะ กูจะไปส่งใครยังไงดีเนี่ย คนละทิศละทาง มึงอยู่คอนโดแถว XXX ใช่ปะอิฐ กูวานไปส่งทวดรหัสมึงด้วย ไม่ไกลจากที่นี่มาก ทางเดียวกัน” พี่โจพูด ประโยคแรกเหมือนบ่นกับตัวเอง ประโยคหลังหันมาคุยกับผม
“เฮ้ยพี่ ผมเอามอไซค์มา จะไปยังไง พี่เขาเมาขนาดนี้” ผมตอบพี่เขากลับไป
“พี่น้ำ เดี๋ยวให้ไอ้อิฐไปส่งนะ ยังซ้อนมอไซค์ไหวปะเนี่ย” พี่โจถามพี่น้ำ
“หวาย ฉันหวายเซ่” คนถูกถามตอบกลับมา
“ไหวอยู่มั้ง ถ้าบอกว่าไหวก็น่าจะได้อยู่ มึงให้พี่เขานั่งหน้าแล้วมึงก็ขับไปละกัน” พี่โจพูด
“เอางั้นหรอพี่” ผมตอบไปพลางมองพี่น้ำอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“เออ ฝากหน่อย พาไปส่งถึงคอนโดแล้วไลน์มาบอกด้วย ไอ้สองตัวนี้ก็เหลือเกิน มาทีไรกูต้องแบกพวกมันกลับทุกที” พี่โจพูดบ่น ก่อนลากตัวรุ่นน้องอีกสองคนของตัวเองที่เป็นรุ่นพี่ผมแยกจากไป ผมเองก็ค่อย ๆ พยุงรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้าเดินออกมาจากร้านในสภาพทุลักทุเลไม่แพ้กัน
“พี่นั่งหน้านะ ผมกลัวพี่เซตกอะถ้านั่งหลัง” ผมพูดเมื่อพาพี่น้ำเดินมาถึงมอเตอร์ไซค์ตัวเอง
“ฉ้านจะนั่งข้างหลาง”
“เชื่อผมน่าพี่ พี่นั่งหน้า”
“ไม่อาวเว้ย จะนั่งข้างหลาง”
ทำไมดื้องี้วะ ...
“โอเค ๆ ข้างหลังก็ข้างหลัง” ผมพูด ว่าแล้วก็ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ก่อนพี่น้ำจะขึ้นมาซ้อนข้างหลังผม มีเซนิดหน่อยแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไรมั้ง ดูพี่แกก็ยังมีสติครบถ้วนอยู่ ผมจะขับไปช้า ๆ ละกัน ที่ถามพี่โจเมื่อกี้ คอนโดพี่น้ำก็อยู่ใกล้กับคอนโดผมนิดเดียวเองน่าจะไปได้อยู่
“งั้นพี่กอดเอวผมไว้นะ ผมจะขับช้า ๆ 10 นาทีก็ถึง พร้อมนะพี่ ไปละนะ” ผมพูด สักพักก็มีมือของพี่น้ำอ้อมมากอดเอวผมไว้พร้อมกับเอาหน้ามาพิงหลังผม
“ทามมายพวกผู้ชายมันต้องเลวทุกคนด้วยวะ ! ห้ะ ! เจ้าชู้ ปลิ้นปล้อน กระล่อน #@!##@$$#”
เสียงพูดตะโกนด่าพร้อมกับสายลมเข้ามาในหูผม ดังมาเรื่อย ๆ พร้อมกับผมรู้สึกเย็น ๆ ที่หลัง นี่ร้องไห้อีกแล้วหรอเนี่ย เฮ้อ ...
“พี่ ยังไม่หลับนะ ยังอยู่นะ” ผมพูดถามไปด้านหลัง เมื่อพบว่าเสียงที่พูดมาตลอดทางเงียบไปแล้ว
“อืออ” เสียงครางงึมงำดังขึ้นมา อย่าบอกนะว่าจะหลับ ... เฮ้ย ยังหลับไม่ได้นะ นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย ผมขับช้าเป็นเต่าอยู่เนี่ย
“พี่เอามือขึ้นไปหน่อย มันต่ำไปละ” ผมพูดออกไป เมื่อพบว่ามือของพี่น้ำที่กอดเอวผมอยู่มันไม่ได้อยู่ตรงเอวอีกต่อไป แถมมันไปอยู่ตรงที่ไม่ควรจะอยู่ แบบนี้ไม่ดีนะ ...
“หมอนข้าง งือ”
“พี่ ! ตรงนั้นจับไม่ได้นะ”
“เฮ้ย อย่าบีบ !”
อยู่ดี ๆ รถกระบะคันหนึ่งก็พุ่งเบียดมอเตอร์ไซค์ผมมาด้านข้าง ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเกือบขับหลบไม่ทัน นี่มันขับรถยังไงของมันวะเนี่ย จะแซงก็แซงไปดิวะ ผมขับช้าจะตาย แถมแถวนี้ก็แทบจะไม่มีรถสักคันอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนรถคันนั้นมันไม่ได้จะจงใจจะแซงรถของผมแล้วล่ะ แต่มันตั้งใจจะขับเบียดรถผมมากกว่า
นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย มันขับตามมอเตอร์ไซค์ผมมาอีกรอบ ผมว่านี่มันไม่ปกติละ ผมเลยบิดแฮนด์มอเตอร์ไซค์ขับให้เร็วขึ้น แต่ก็เร็วกว่าเดิมไม่ได้มากเพราะคนไม่มีสติอยู่ด้านหลังอีกหนึ่งคน
“เฮ้ย !!!”
ผมร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อมองไปยังกระจกรถของตัวเองด้านหลัง รถกระบะคันนั้นพุ่งเข้าชนมอเตอร์ไซค์ผมอย่างแรง จนผมเสียหลัก แรงกระแทกทำให้ทั้งผมและพี่น้ำกระเด็นออกจากตัวรถ ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องราวบ้าบอคอแตกแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับตัวผม มันเจ็บจนชาไปหมดทั้งตัว สายตาของผมพร่าไปหมด สมองมึนงง แต่ก็รู้ว่าตอนนี้กำลังนอนอยู่บนถนนในสภาพปางตาย สักพักสติผมก็เริ่มดับไป
ปัจจุบัน ...
ผมกำลังมองร่างของตัวเองนอนสลบจมกองเลือดพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่ไม่ห่างกัน รถมอเตอร์ไซค์ผมกระเด็นไปอยู่กลางถนนในสภาพพังยับเยิน ตอนนี้มีทั้งรถพยาบาลและรถกู้ภัยต่างมาจอดบริเวณที่เกิดเหตุ พยายามจะช่วยรักษาชีวิตพวกเราเอาไว้ ผมก้มลงมองร่างของตัวเองที่โปร่งแสงจนมองทะลุผ่านได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้ผมคือวิญญาณที่หลุดออกมาจากร่าง ไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองตายไปแล้วหรือเปล่า แต่ถ้ายังไม่ตาย วิญญาณมันจะหลุดออกมาแบบนี้ไหมเนี่ย
โธ่โอ๊ย ! ไม่น่าเลย ผมไม่น่ารับผู้หญิงคนนั้นมาด้วยเลย ...
พี่น้ำ !