เรื่องสยองที่ 1 : พรหมลิขิต VS กรรมลิขิต [Part 1]
บนโลกกลม ๆ ที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
และเรื่องไม่คาดฝันนั้นก็เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวผม ...
ผมกำลังมองร่างของตัวเองนอนสลบจมกองเลือดพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่ไม่ห่างกัน รถมอเตอร์ไซค์ผมกระเด็นไปอยู่กลางถนนในสภาพพังยับเยิน ตอนนี้มีทั้งรถพยาบาลและรถกู้ภัยต่างมาจอดบริเวณที่เกิดเหตุ พยายามจะช่วยรักษาชีวิตพวกเราเอาไว้ ผมก้มลงมองร่างของตัวเองที่โปร่งแสงจนมองทะลุผ่านได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้ผมคือวิญญาณที่หลุดออกมาจากร่าง ไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองตายไปแล้วหรือเปล่า แต่ถ้ายังไม่ตาย วิญญาณมันจะหลุดออกมาแบบนี้ไหมเนี่ย
โธ่โอ๊ย ! ไม่น่าเลย ผมไม่น่ารับผู้หญิงคนนั้นมาด้วยเลย ...
10 ชม. ก่อนหน้า
ถ้าคุณอยากรู้ว่าไอ้คนโชคร้ายในอนาคตคนนี้เป็นใคร ผมบอกให้ก็ได้ครับ ผมชื่อ อิฐ อายุ 21 ปี เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรพิเศษ หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ บ้านเกิดผมอยู่ที่เชียงใหม่ แต่มาโตที่นี่เนื่องจากพ่อแม่ผมทำงานอยู่ต่างประเทศ ผมเลยถูกส่งมาอยู่กับยายตั้งแต่ยังเด็ก แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้รู้สึกขาดความอบอุ่นหรืออะไรนะ เพราะผมเข้าใจดีว่างานที่พ่อกับแม่ทำมันต้องเดินทางตลอดเวลา ถ้ามีผมไปด้วยก็คงไม่สะดวก
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟด้านล่างของคอนโดรอเพื่อนอีกสองคน พวกเราพักอยู่ที่เดียวกัน พอดีผมออกไปข้างนอกมาก่อน เลยไม่ได้ลงมาพร้อมกับพวกมัน
คอนโดที่พวกเราอยู่เคยเป็นของเพื่อนคนสำคัญของพวกเราอีกคนครับ มันชื่อ แมทธิว แต่โชคร้ายที่พวกเราเสียเพื่อนดี ๆ คนนี้ไปแล้ว คิดแล้วก็ยังเสียใจ ยังคิดถึงเรื่องของมันอยู่เลยขนาดเวลาผ่านไปเกือบสามเดือนแล้ว แมทธิวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเลยนอกจากพวกเรา หลังจากที่จากพวกเราไป มันก็ทิ้งคอนโดไว้ให้เป็นของขวัญแทนตัวมัน พวกเราเลยได้หอใหม่ในทันทีที่ย้ายออกมาจากหอในซึ่งอยู่ได้แค่ตอนปีหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าอยู่ที่นี่สะดวกสบายกว่าตอนที่อยู่หอในมาก แถมมีห้องนอนสองห้อง ทั้งใกล้ตัวเมืองและใกล้มหาวิทยาลัย ข้าวของเครื่องใช้ก็ครบ เพราะพวกผมก็เคยมาค้างที่นี่บ่อย ๆ ตอนมันมีชีวิตอยู่
“ไอ้อิฐ สรุปมึงจะเข้าประชุมปะเนี่ย ถ้าโดดกูจะได้โดดด้วย” เสียงหนึ่งเรียกผมขึ้นมาทางด้านหลังพร้อมกับเอามือมาพาดคอผมไว้ บวกกับเอามืออีกข้างยีหัวผมเล่น นี่ถ้าไม่สนิทจริง เล่นหัวผมขนาดนี้ผมลุกไปต่อยหน้ามันแล้วนะ ผมหันไปมองหน้ามันระหว่างนั่งเอามือถือถ่ายรูปกาแฟแบบเพลิน ๆ ไว้ลงไอจี ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ถ่ายสิ่งไม่มีชีวิตนี่แหละ ส่วนสิ่งมีชีวิตก็เป็นพวกเพื่อน ๆ ที่มันชอบให้ผมถ่ายให้เพราะเห็นถ่ายรูปสวยดี
คนเรียกผมชื่อ ชาบู มันเป็นไอ้ตี๋จอมกวนตีน ที่เป็นเพื่อนสนิทผมที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ไส้รู้พุงนิสัยใจคอกันหมด ชอบยั่วโมโหผมตลอด ก็ยอมรับนะว่าผมเป็นคนใจร้อนเลยทะเลาะกับมันบ่อย ๆ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าตัดนิสัยน่ารำคาญของมันไปได้ มันก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลย
“ประธานรุ่นอยู่ตรงนี้พวกมึงยังจะกล้าโดดอีกหรอ” ตามมาด้วยอีกเสียงที่ดังขึ้นข้างตัวผม พร้อมกับใบหน้านิ่ง ๆ ที่หันไปมองหน้าคนที่พูดกับผมเป็นคนแรกเป็นเชิงตำหนิ
“เออ ๆ รู้แล้วครับพ่อ” ไอ้ชาพูดพร้อมยิ้มหน้าทะเล้น
เพื่อนคนที่สองของผมที่คุยกับไอ้ชาชื่อ คีย์บอร์ด หรือที่พวกเราเรียกมันว่าไอ้คีย์ ไอ้คีย์ดูเป็นคนจริงจัง ดูเป็นผู้ใหญ่สุดละในกลุ่ม แต่มันก็มีบางโมเม้นท์นะ ที่ทำตัวรั่ว ๆ เหมือนพวกผม มันพึ่งพาได้เสมอ ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบ คนหนึ่งก็ยิ้มตาปิดอารมณ์ดีได้ทั้งวันเหมือนดูดไปหลายบ้อง ส่วนอีกคนก็หน้านิ่งจนผมนึกว่าถ้าไม่รู้จักกันมานานผมคงคิดว่ามันตายด้าน อ่อผมลืมไปครับ ไอ้คีย์ยิ้มให้แค่คนคนเดียวคือ พี่ฟองนม แฟนมันนั่นเอง
“กูขี้เกียจอะไอ้คีย์ ไม่อยากไปเลย สั่งงานให้กูทำอะไรก็ได้ มึงเป็นประธานรุ่นนี่ เส้นใหญ่จะตาย” ผมพูดออกไป หาเรื่องโดดเพราะความขี้เกียจ
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำกิจกรรมสักเท่าไร เรียกว่าโลกส่วนตัวสูงก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลยนะ เพียงแต่มันเป็นไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล บางครั้งพวกมันยังว่าผมเลยว่าเป็นพวกติสต์แตก แถมนิสัยก็ชอบถ่ายรูปนี่นั่น ควรจะไปเรียนนิเทศหรืออะไรที่เกี่ยวกับศิลปะมากกว่าจะมาเรียนวิศวะ ก็เรื่องเรียนในสิ่งที่ชอบกับงานอดิเรกผมมันสวนทางกันนี่นา
“ไม่ได้โว้ย ไปด้วยกัน เขาประชุมอะไรกันจะได้รู้เรื่อง” ไอ้คีย์พูดดุ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของไอ้ชา ที่ทำหน้าล้อเลียนเป็นเชิงว่า เห็นปะ กูว่าแล้ว
ว่าแล้วผมกับไอ้ชาก็เดินตามไอ้คีย์ไปที่รถอย่างเสียไม่ได้ มีเพื่อนเป็นคนใหญ่คนโตก็งี้แหละครับ ไม่น่าเป็นอีกหนึ่งเสียงให้มันตอนโหวตหาคนเป็นประธานรุ่นเลย พวกเราติดรถไอ้คีย์มาถึงมหาวิทยาลัยภายในเวลายี่สิบนาที ก่อนตรงไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถานที่ประชุมของพวกเรา
ห้องประชุมของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์วันนี้แน่นขนัดไปด้วยนักศึกษาจากหลากหลายชั้นปีที่มาเข้าร่วมประชุมกัน เนื่องจากกิจกรรมรับน้องที่จะถูกจัดขึ้นในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า จากเด็กปีหนึ่งตอนนี้ก็กลายมาเป็นพี่ปีสอง จากปีสองก็กลายเป็นปีสาม จากปีสามก็กลายเป็นปีสี่ และจากปีสี่ก็กลายเป็นรุ่นพี่บัณฑิต
ตัวผมเองก็เป็นนักศึกษาที่เพิ่งก้าวผ่านพ้นชีวิตปีหนึ่งมาได้ไม่นาน ตอนนี้ก็กลายเป็นพี่ปีสองไปแล้ว ยอมรับเลยว่าการใช้ชีวิตให้อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งเรียนและกิจกรรมที่หนักหน่วง นอกจากเรื่องพวกนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องของพวกเพื่อนผมอีก ที่ตลอดเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยก็เจอแต่เรื่องวุ่นวายกันมาโดยตลอด
หลังจากจำนวนคนมีมากพอ ทุกคนก็เริ่มประชุมแบ่งงานกันเป็นฝ่ายต่าง ๆ ฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายสันทนาการ ฝ่ายดูแลน้อง ๆ เล่นเกมและอีกหลายอย่าง การประชุมดำเนินไปเรื่อย ๆ จนเกือบสองชั่วโมง ก่อนทุกคนจะได้ไปจับกลุ่มพูดคุยอยู่กับฝ่ายที่ตัวเองต้องการจะทำเป็นกลุ่มย่อย
“เอาไง พวกแกจะอยู่ฝ่ายไหนกันอะ ฉันว่าจะเป็นพี่บ้านคอยดูแลน้อง ๆ”
คนที่พูดขึ้นมาชื่อ ใยไหม ครับ ใยไหมเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มของพวกเรา แถมเป็นดาวคณะอีกต่างหาก เมื่อก่อนเคยเป็นคู่กัดกับไอ้ชาบ่อย ๆ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นแฟนกันไปเฉยเลยครับ ไม่รู้ไปโดนของจากไอ้ตี๋นั่นหรือเปล่า
“ไหมอยู่ไหนเค้าก็อยู่นั่นแหละ” ตามมาด้วยเสียงของไอ้ชาที่พูดขึ้น พร้อมกับยิ้มแป้นเอาใจแฟนตัวเองเต็มที่
“กูล่ะเหม็นความรัก ไหม ไอ้ชามันยังไม่หมดโปรใช่ปะ ไหมต้องระวังไว้นะ เมื่อวานเห็นมันแอบเข้าเฟสกลุ่มน้องใหม่ปี 61 ไปส่องเด็กอยู่เลย” ผมพูดออกไปขำ ๆ หวานกันเข้าไป หมั่นไส้ เอาให้มดมันขึ้นมากัดให้ตาตี่ ๆ บวมไปเลย
“น่าสงสารคนไม่มีคู่เนอะไหม จะทำให้ครอบครัวเราร้าวฉานอีกละ” ไอ้ชาพูดขึ้นมาพร้อมเอนตัวไปซบใยไหมเรียกร้องความสนใจ โอ้โห เห็นแบบนี้แล้วมันขึ้นเลย
“หึ ๆ อย่าให้รู้ละกัน ก็รู้อยู่ถ้าไปทำแบบนั้นจริง ๆ จะเจอกับอะไร ว่าแต่อิฐเถอะ ไม่คิดจะมีความรักใหม่บ้างหรือไง” ไหมพูด ประโยคแรกหันไปมองหน้าไอ้ชาก่อนหักนิ้วเล่นดังกร็อบ ๆ ส่วนประโยคหลังเจ้าตัวหันกลับมาคุยกับผม
“ก็ยังไม่เจอใครไงไหม คนที่ชอบ เขาก็ไม่ชอบเรา แล้วอีกอย่าง ดูคณะเราดิ ผู้หญิงโคตรน้อย อิฐจะไปเจอใคร” ผมพูด
เรื่องความรักผมเองก็เริ่มเฉย ๆ แล้วแหละ ไม่ได้อยากขวนขวายมาก ไม่ใช่เพราะผิดหวังจนชิน แต่รู้สึกว่าคนที่เรารอเขายังไม่มามากกว่า ถ้าถึงเวลาเขาคงมาเอง ผมเคยชอบน้องไอ้ชานะ เธอชื่อ สุกี้ แต่ตอนนี้ผมคิดกับกี้แค่น้องเพื่อนเท่านั้น ก็ยังติดต่อคุยเล่นกันตามปกติ ถ้าถามว่ามีใครเข้ามาคุยไหม ก็มีเรื่อย ๆ นะ แต่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจริง ๆ จัง ๆ เท่าไร บางคนไลฟ์สไตล์เราก็ต่างกันมากจนเข้ากันไม่ได้ บางคนก็เหมือนกันจนเข้ากันไม่ได้อีกนั่นแหละ แต่บอกเลย ผมไม่ได้เป็นวันไนท์แสตนด์เหมือนไอ้ชาสมัยก่อนนะ ที่เข้ากันไปแล้ว แล้วมาบอกว่าเข้ากันไม่ได้
“มึงก็ลองหันมาคบกับผู้ชายก็ได้นะอิฐ มึงอาจจะชอบก็ได้” ไอ้ชาพูดพลางขยับตัวมาลูบหลังผมเป็นเชิงปลอบ
แต่ผมคิดว่ามัน ... กำลังกวนตีน
“มึงอยากโดนตีนกูมากใช่ไหมไอ้ชา กวนไม่เลิก”
“กลัวแล้วค้าบ” พูดจบมันก็หัวเราะออกมา ไอ้นี่มันน่านัก
“หมอนี่ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว อิฐอย่าไปสนใจเลย ว่าแต่คีย์ไปคุยกับพวกรุ่นพี่นานจัง ยังไม่เห็นกลับมาเลย” ใยไหมพูด
“นั่นไง มาแล้วนั่น” ผมตอบไหมกลับไปเมื่อเห็นร่างของไอ้คีย์กำลังเดินมาทางพวกเราพร้อมกับรุ่นพี่คนหนึ่ง นั่นมันพี่รหัสผมนี่หว่า
“นี่ไงพี่ ไอ้อิฐ” ไอ้คีย์หันไปพูดกับรุ่นพี่ก่อนหันมาทางผม เหมือนพี่เขามีเรื่องจะคุยอะไรบางอย่างกับผม
“สวัสดีพี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมยกมือไหว้ทักพี่เขาไป
“ตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมนะ มึงช่วยเป็นพี่ว้ากทีดิไอ้อิฐ” พี่รหัสผมพูด
ห้ะ ! อะไรนะ จะให้ผมเป็นพี่ว้าก บ้าไปแล้ว ผมเองยิ่งไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้ด้วย ไม่ได้ถึงขนาดแอนตี้นะ แต่แค่ไม่อยากไปตะโกนดัง ๆ ใส่หูใคร แล้วก็ไม่อยากไปวุ่นวายกับชีวิตใครเยอะแยะ ผมเองก็รู้แหละ ว่าทุกระบบมันมีข้อดีข้อเสียอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันยังไงให้เกิดประโยชน์มากที่สุดมากกว่า แต่ถ้าให้เลือก ผมก็ไม่อยากจะทำ
“โห ไม่เอาอะพี่ ผมไม่อยากเป็นพี่ว้าก ผมไม่ชอบ” ผมตอบเขาไปตรง ๆ
“แต่มึงเป็นน้องรหัสกูนะเว้ยไอ้อิฐ สายเรานี่เป็นพี่ว้ากเกือบทั้งรุ่นเลยนะ” พี่รหัสผมพูดต่อ เริ่มชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมละ
“เว้นผมไว้สักคนเถอะพี่ ผมขอ”
“น่านะไอ้อิฐ พี่ขอก่อน คนไม่พอ อีกอย่างมึงจะได้ทำให้ค่าเฉลี่ยหน้าตาพี่ว้ากรุ่นนี้ดีขึ้นได้บ้าง เห็นแต่ละคนแล้วกูกลัวน้องจะหนีกลับกันหมด” พี่รหัสผมพยายามพูดต่อ
“งั้นก็ให้ไอ้ชาไปเลยพี่” ผมพูดตอบพี่เขาไป อยากได้หน้าตาดี ๆ เป็นพี่ว้ากก็เอาไอ้ตี๋ข้างผมไปเลย
“ไม่ได้เว้ย ขืนเป็นไอ้ชา รุ่นน้องไม่เกรงกลัวพอดี ถึงมันจะหน้าตาดีแบบโอปป้าเกาหลี แต่เฟรนลี่ ขี้เล่นเป็นโกลเด้น รีทรีฟเวอร์เหมือนที่บ้านกูแบบนี้ไม่ได้”
“โหพี่ แรก ๆ เหมือนจะดี ถ้าจะเปรียบผมกับหมาขนาดนี้ งั้นไอ้อิฐก็เป็นไซบีเรียน ฮัสกี้ แล้วล่ะ ใช่ไหมครับ ฮ่าฮ่า”
ยัง ไอ้ชายังมีหน้ามาตลก !
“สัสชา” ผมหันไปมองหน้ามันเคือง ๆ
“แล้วไอ้คีย์อะพี่ มันเหมาะเลย นิ่ง ๆ ขรึม ๆ” ผมพูดต่อหาเรื่องโยนไปให้คนอื่น
“หาเรื่องให้กูทำไมไอ้อิฐ แค่กูเป็นประธานรุ่นงานกูก็หนักจะแย่แล้ว ไหนจะจัดการเรื่องนู่นนี่นั่นอีก” ไอ้คีย์รีบพูดตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“นะพี่ ให้ผมทำอะไรก็ได้ ยกเว้นเป็นพี่ว้าก”
“งั้นมึงเป็นพี่แฝงไปเลย ได้ข่าวว่าไม่มีน้องโรงเรียนมึงเรียนสาขาเราด้วยปีนี้” พี่รหัสผมพูดเสนอทางเลือกใหม่ขึ้นมา โอ๊ย ... แต่ละทางเลือก ผมไม่ได้อยากทำเลยสักอย่างทั้งพี่ว้ากและพี่แฝง พี่แฝงคือพี่ที่ปลอมตัวเป็นน้องปีหนึ่งแล้วเข้าไปร่วมกิจกรรมทั้งหมดนั่นเอง
“ห้ะ ! เฮ้ยพี่ ไม่เอา ผมขี้เกียจเข้ากิจกรรม”
ให้ผมเป็นพี่แฝง กลายเป็นเด็กปีหนึ่งเข้ากิจกรรมทั้งหมดอีกรอบน่ะหรอ ไม่เอาอะ เบื่อตายเลย ...
“โว๊ะ ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เอา มึงอยากทำไรล่ะ”
“ให้ผมถ่ายภาพก็ได้พี่ ทำวีดีโอพรีเซนเตชันไรก็ได้อะ” ผมตอบพี่เขาไป นี่คงเป็นสิ่งที่ผมช่วยได้ เพราะตัวผมเองมีความสามารถในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
“มีพี่ปีสามกับสี่ถ่ายให้แล้วไง ตากล้องเพียบ มึงไม่ต้องทำแล้ว”
ดับฝันผมอีก !
“สรุปมึงเลือกมานะ ว่าพี่ว้ากหรือพี่แฝง ไอ้คีย์กูฝากด้วยนะ ทำให้มันเลือกด้วย เห็นแก่ค่าขนม ค่าเหล้าที่กูเปย์มึงตอนปีหนึ่งด้วยไอ้อิฐ” พี่รหัสผมพูดต่อกับไอ้คีย์ก่อนหันหลังแล้วเดินจากไป
“อ้าวเฮ้ยพี่ เดี๋ยว เดี๋ยว!” ผมร้องเรียกพี่เขาที่เดินจากไป
หันมาแล้ว ...
“เอ้อ ... อีกเรื่อง วันนี้ทวดรหัสมึงนัดเลี้ยง 2 ทุ่มร้านเดิม” พูดจบก็หันกลับไปเดินต่อไม่สนใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูดสักนิด โอ๊ย ... ให้ตายเถอะ
“กูว่ามึงเป็นพี่แฝงดีกว่านะไอ้อิฐ แค่สามวันก็เฉลยแล้ว แต่พี่ว้ากนี่มึงต้องซ้อม ต้องเป็นอีกเกือบเดือน” ไอ้คีย์พูดแนะนำ
“นั่นซิอิฐ สบายจะตายแค่กลับไปเป็นเด็กปีหนึ่ง แถมไม่ต้องทำอะไรมากด้วย” ไหมพูดเสริม
“เฮ้อ นี่กูไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไหม” ผมพูดออกมาเบา ๆ
“คงงั้นแหละ หน้าที่ที่เหลือมีคนจองเกือบหมดแล้ว ส่วนไหมจะเป็นพี่บ้านกับไอ้ชาใช่ปะ เมื่อกี้คีย์เพิ่งไปคุยกับพวกเพื่อนมา ไปประชุมกับกลุ่มตองด้วย” ไอ้คีย์พูด ไหมพยักหน้ารับก่อนดึงตัวไอ้ชาให้ลุกขึ้นเพื่อเดินไปประชุมกลุ่มพี่บ้านกับเพื่อนที่ชื่อตอง
ไม่วายมีเสียงดังขึ้นมาทางด้านหลังพร้อมกับมีมือมาตบบ่าผมเบา ๆ
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะครับน้องอิฐ เดี๋ยวพี่ชากับพี่ไหมที่เป็นพี่บ้านจะดูแลน้องอย่างดีเลย”
ณ จุดจุดนี้ผมเริ่มอยากเอาเท้าไปละเลงหน้าไอ้ชามากขึ้นทุกที ...