บทที่ 82: ลอร์ดที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม
โอดอมรอให้คนใต้บังคับบัญชาของเขาออกไปหลังจากเข้าพบวิลเลียมและเจ้าหญิงแอนนี่ จากนั้นเขาจึงเดินออกไปเช่นกัน เขาต้องคอยดูแลการขยายเมืองของเมืองนี้
ผู้วิเศษสายมิติอย่างแบนด์ไม่ได้ต้องการให้เจ้าหญิงของเขาอาศัยอยู่ในสถานที่ทรุดโทรมในเมืองแห่งรุ่งอรุณ
เขาเลือกจุดตั้งดีๆ ในเมืองใหม่แห่งนี้ จากนั้นเขาก็หยิบกล่องใบเล็กกล่องหนึ่งที่เก็บต้นแสงจันทร์ย่อส่วนเอาไว้ด้านในออกมา เขาปลูกต้นแสงจันทร์อีกครั้งบนที่ตั้งนั้น
อย่างที่คาดไว้
เพียงไม่นาน ต้นไม้ขนาดเท่าฝ่ามือก็เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ยักษ์สูง 300 เมตร มันทำให้พลเมืองแถวนั้นตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
ความเคารพของพวกเขาต่อท่านลอร์ดเพิ่มขึ้น พวกเขาเข้าใจว่า แม้แต่นักเวทย์ที่ทรงพลังก็ยังฟังคำสั่งของท่านลอร์ด…
แอนนี่ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายกับวิลเลียม แม้ว่าระดับความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเกิน 600 แต้มไปแล้ว ความคิดแปลกๆก็ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
ที่สุดแล้ว หากนับตามอายุของเอลฟ์ พวกเขาก็ยังเป็นเด็กน้อยกันอยู่ มันยังต้องใช้เวลากว่าพวกเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องของความรักยังคงไกลออกไป
แล้วท่านลอร์ดวิลเลียมผู้ยิ่งใหญ่ล่ะ ท่านลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณ?
เขาก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่
เขามีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น
เขายังคงเป็นลูกครึ่งเอลฟ์หนุ่ม
ดังนั้น สำหรับตอนนี้... เขายังไม่สามารถแข็งได้…
เป็นโชคดีที่วิลเลียมไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก สำหรับตัวเขาในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของเขาและการพัฒนาของอาณาเขตเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“ท่านลอร์ด แล้วพิมพ์เขียวต่อเรือล่ะ? ไม่ใช่ว่านี่มันต่างจากจุดประสงค์ของพวกเราไปหน่อยหรอ?” ลอทเนอร์ดูเป็นกังวล
“พิมพ์เขียว? พิมพ์เขียวอะไร? เราเคยบอกว่าเราต้องการพิมพ์เขียวหรอ?” วิลเลียมยกคิ้วของเขาขึ้น
“...” ลอทเนอร์ครุ่นคิด เขากำลังคิดว่าเขานั้นจำผิดไปงั้นหรือ แต่เขาก็เงียบไว้ การโต้แย้งไม่ใช่สิ่งที่คนใต้บังคับบัญชาที่ดีควรทำ
เมื่อวิลเลียมเห็นสีหน้ายุ่งเหยิงของลอทเนอร์ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “อย่าเครียดไป เรารู้ว่าท่านกังวลอะไรอยู่ เราคิดไว้แล้ว แต่ตอนนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือการตั้งตารอ”
“พวกเรายังคงสร้างท่าเรือเหมือนเดิม แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้พิมพ์เขียวอีกต่อไป”
“ทำไมล่ะ?” ลอทเนอร์งง เขาไม่สามารถเข้าใจความคิดของท่านลอร์ดของเขาได้ เขาคิดแผนแยบยลอะไรอีกล่ะคราวนี้?
“มีช่างหลวงที่รับใช้แอนนี่อยู่ หนึ่งในนั้นเป็นนักต่อเรือระดับมาสเตอร์!” วิลเลียมตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น เขาไม้ได้คาดหวังว่าแอนนี่จะมีคนมากมายอยู่ใต้อำนาจของเธอ
ราชาของเอลฟ์มูนไลท์เป็นชายที่อยู่เบื้องหลัง เขาทำเช่นนั้นเพื่อปูทางให้อนาคตของแอนนี่ คนที่อยู่ใต้อำนาจเธอเหล่านี้จะกลายเป็นสินสอดทองหมั้น หากเธอเลือกที่จะแต่งงานกับเจ้าชายสักคน!
“ราชาเอลฟ์เฒ่านั่นไม่โง่เลย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ถึงปัญหาของเหล่าลูกชายของเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ใช่คนโหดร้าย เขาไม่ได้เด็ดขาดเหมือนตอนที่เขายังหนุ่มเช่นกัน”
เอลฟ์มูนไลท์อาศัยอยู่บนเกาะตรงกลางของทวีปรีเจนดารี ที่ล้อมรอบพวกเขาคือทะเลสาบอันไร้ขอบเขตที่ดูกว้างราวกับมหาสมุทร
แต่เอลฟ์มูนไลท์ที่ดูเหมือนจะอยู่ในที่ๆ อันตรายน้อยที่สุดเหล่านี้กลับเป็นเผ่าพันธ์ุแรกที่ถูกจู่โจมในทวีปรีเจนดารี
เมื่อราชาเอลฟ์ตนใหม่ โครนอส ขึ้นครองบัลลังก์ ป่ามูนไลท์ก็ดูสงบปลอดภัยมากขึ้น แต่เอลฟ์ที่แข็งแกร่งบางตนก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในความมืด แม้แต่รีเจนด์ตัวจริงบางคนยังต้องจมลงไปในความมืดมิด
ใช่แล้ว
ในเวอร์ชั่นที่สอง ความมืดไม่ได้ปรากฏในชายแดนของทวีปรีเจนดารี
มันก็เหมือนกับสิ่งที่ชีวิตจากความมืดที่เมืองแห่งรุ่งอรุณพบเจอ ทั้งอ่อนแอและไม่มีค่าให้พูดถึง
แต่ในไม่ช้าความมืดที่ทำให้ผู้คนสิ้นหวังก็ได้แทรกซึมเข้ามาในอาณาจักรมนุษย์ และเลยมาถึงแม้แต่ที่ป่ามูนไลท์ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดอีกด้วย
นั่นมันคือสมรภูมิที่แท้จริง และเป็นสถานที่ที่เกิดดันเจี้ยนนับไม่ถ้วนให้ผู้เล่นในอนาคต
มันเป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้ทวีปรีเจนดารีเกิดความไม่ลงรอยกันในทางสงคราม ส่งผลให้อาณาจักรเหล็กไม่สามารถจัดหากองกำลังสำรองได้ พวกเขาถูกลดจำนวนลงโดยสิ่งมีชีวิตจากความมืดเรื่อยๆ!
โครนอส เขาเป็นราชาแห่งเอลฟ์ผู้ที่ถูกกลืนกินโดยความมืด
เขาเป็นคนที่ใช้กระดูกจากคนของเขามาสร้างบัลลังก์กระดูกขึ้น
เขาใช้เลือดจากคนของเขาเพื่ออัญเชิญกองทัพแห่งความมืด
เขาทำการบูชาดวงวิญญาณจากคนของเขากว่าพันดวงเพื่อสร้างดาบแห่งเสียงร่ำไห้สำหรับตัวเขา เขาเป็นราชาของยุคนั้น เขาเป็นเทพเจ้าแห่งความตายผู้ไม่เคยล้มแม้จะผ่านไปหลายเวอร์ชั่น… โครนอส!
ความมืดมิดยังคงแผ่ขยายไปทั่วและ เอลฟ์มูนไลท์หลายล้านตนถูกกำจัด
แม้ว่าโครนอสจะเป็นสาเหตุหลักของเรื่องนี้ สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้เกิดความตายอันเลวร้ายนี้ก็คือเจ้าชายตนอื่นๆ ที่ไม่หลีกเลี่ยงสงคราม
พวกเขาคิดว่าแสงสว่างจะเอาชนะปีศาจได้ และเริ่มสงครามมากมายที่ไม่มีใครเข้าใจเหตุผลที่แท้จริง จำนวนผู้เสียชีวิตของเอลฟ์มูนไลท์นั้นเกินกว่า 5 ล้านตน
“เอลฟ์เหล่านี้ใช้เลือดและชีวิตของพวกเขาในการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพวกเขาไม่กลัวสงคราม แม้ว่าหากศัตรูของพวกเขาจะเป็นพระราชาที่พวกเขากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณต่อก็ตาม พวกเขาก็จะยังคงเคลื่อนกองกำลังไปด้านหน้า”
“แม้ว่าเหล่าศัตรูจะแข็งแกร่งมากขนาดที่พวกเขาไม่อาจป้องกันตัวเองได้”
“พวกเขาก็จะยังคงรีบรุดไปสู่สนามรบโดยไร้ซึ่งความกลัว พวกเขาจะไม่หันหลังหนี…”
“แต่ความตายของพวกเขานั้นน่าเศร้าเหลือเกิน!” ในขณะที่วิลเลียมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
มันไม่มีทางเลือก
เขาหมกมุ่นอยู่กับเกมในตอนนั้นมากเกินไปความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่นั้นหนักหนาเกินไปสำหรับเขา
ในพริบตาเดียว ผู้เล่นทุกคนก็พ่ายแพ้ให้กับสนามรบระดับล่าง พวกเขาไม่แม้แต่จะมีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้ที่อารีน่าหลัก
เมื่อนักข่าวจำนวนหนึ่งได้ข่าว พวกเขาก็ใช้วิธีมากมายในการรีบรุดเข้าไปที่นั่นอย่างเร็วที่สุดที่พวกเขาทำได้ พวกเขาแค่ต้องการชื่อเสียงความโด่งดังจากมัน
แต่พวกเขาใช้วิธีที่แตกต่างในการบันทึกสถานการณ์ที่ยากจะลืม
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และพลุ่งพล่าน ห้องโถงจักรพรรดิที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด ความกล้าหาญที่แสดงโดยเอลฟ์มูนไลท์ผู้ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อไปสู่ชัยชนะ
สิ่งนี้ได้กินใจเหล่าผู้เล่นที่ดูการต่อสู้นี้อยู่ ถ้าผู้เล่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้กับความมืด มีคนไม่มากนักที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้
เพราะพวกเขาจะตาย
แต่ผู้เล่นก็ไม่ได้กลัวความตายขนาดนั้น
พวกเขากลัวมากกว่าที่จะเห็น NPC ที่มีชีวิตถูกส่งไปตายทีละคนๆ
สิบปีกับการเล่นเกม แต่ภายในเกม มันยิ่งกว่าสิบปี วิลเลียมไม่สามารถไล่ประวัติการณ์ที่เขาเคยเห็นได้ รวมถึงความทรงจำที่เขาได้สร้างขึ้นด้วย
ลอทเนอร์เห็นว่าวิลเลียมจมลงไปความคิดอีกครั้ง เขาจึงยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
น็อกซ์เปิดประตูออกและวิ่งเข้ามาในห้องประชุม เขาพูดขึ้นทันที “ท่านลอร์ด คนส่งสารจากอาณาจักรเหล็กมาที่นี่ครับ”
“คนส่งสาร?”
“ครับ เขามาพร้อมทหารม้า 100 นายอยู่นอกเมืองและอ้างว่าเป็นทูตจากอาณาจักรเหล็กครับ เขาบอกว่ามีเรื่องที่ต้องสนทนากับท่าน ท่านลอร์ด” น็อกซ์อธิบาย
“เรื่องที่ต้องคุยกับเรา แค่นั้นเองหรอ?” วิลเลียมหัวเราะ “รอให้เรากินอาหารเที่ยงเสร็จก่อนหลังจากนั้นก็นำตัวพวกเขามาเจอเรา”
“ครับ ท่านลอร์ด!” น็อกซ์เดินออกจากห้องประชุมไป
ลอทเนอร์พูดเสียงต่ำ “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้มาด้วยเจตนาที่ดีเท่าไหร่ เราควรเตรียมตัวเริ่มสงครามหรือไม่?”
“เราไม่เคยเป็นเพชณฆาต เราไม่อยากเริ่มสงคราม นอกจากว่าพวกเขาจะนำทั้งกองทัพมาจ่ออยู่ที่ประตูเมือง ในกรณีนั้น เราจะสั่งสอนพวกมันให้สาสมไปเลย” วิลเลียมยกคิ้วขึ้นและพูดต่อ “พวกเขาน่าจะเห็นบรรยากาศนอกเมืองแล้ว ท่านลุงคิดว่าอาณาจักรเหล็กจะกล้าโจมตีเราจริงๆ หรอ?”
เมื่อลอทเนอร์ได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาตกอยู่ในอาการช็อคและทำได้เพียงพยักหน้าขณะที่เดินออกไป
“เพชณฆาต? ไม่มีอะไรจะพูดเลย คำพูดทุกคำที่ท่านลอร์ดพูดช่างลึกซึ้งกินใจจริงๆ” ลอทเนอร์นึกภาพเผ่าหนึ่งที่วิลเลียมทำการสำเร็จโทษไป ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์และรู้สึกพึงพอใจ ตามที่คาดไว้ มีเพียงลอร์ดที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเท่านั้นที่จะทำให้เขาพัฒนาได้อีกมาก