ตอนที่ 14
ตอนที่ 14
หนึ่ง สอง สาม… ทั้งหมด 6 ตัวสินะ ซูฮยอนนับจำนวนลูกอสรพิษที่พึงฝักออกจากไข่
พวกมันฝักออกมาจากไข่อย่างปลอดภัย
อสรพิษมีลำตัวขนาดใหญ่มาก นี้ขนาดมันยังเกิดได้ไม่นานนะ
ขนาดตัวของมันยังใหญ่กว่าอนาคอนด้าถึงสองเท่า
ฟ่อ ฟ่อ
เมื่ออสรพิษทั้ง 6 ตัวสังเกตเห็นผู้มาเยือนคนใหม่
พวกมันก็พากันคลานเข้าไปหาทันที
แม้ว่าชาวบ้านที่ซูฮยอนพามาด้วยจะตัวใหญ่
แต่มันก็ยังเล็กอยู่ดีเมื่อเทียบกับขนาดของอสรพิษ
ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
ถึงขั้นต้องไปหลบอยู่หลังซูฮยอน
“เจ้า อสรพิษน้อย ใจเย็นๆ”
ฟ่อ ฟ่อ
ซูฮยอนเดินไปหาพวกมันอย่างไม่กลัวตายและพูดย้ำอีกครั้งว่า “อสรพิษน้อย เบาได้เบานะ พวกฉันมาดี”
ฟ่อ ฟ่อ
ภายในถ้ำที่มืดมิด มีมนุษย์กับมอนสเตอร์ เผชิญหน้ากัน
ฟ่อ ฟ่อ
เมื่อเจ้าอสรพิษน้อยเห็นนัยน์ตาของซูฮยอนเต็มไปด้วยพลังเวทย์
พวกมันก็เกิดอาการสั่นกลัวขึ้น
ชาวบ้านที่ตามหลังซูฮยอนมา มองซูฮยอนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
'เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมพวกมันถึงกลัวหล่ะ'
‘ถึงข้าจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าเขาฆ่าตัวแม่ของพวกมันไปแล้ว แต่ว่า..’
‘เขายังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหม’
มนุษย์สามารถเอาชนะมอนสเตอร์ด้วยสายตาเนี้ยนะ มันเป็นไปได้เหรอ
ต้องไม่ลืมว่าเจ้าอสรพิษมันแข็งแกร่งขนาดไหน
แค่หลุดออกไปนอกหมู่บ้านแค่ตัวเดียว หมู่บ้านคงถูกทำล้ายในพริบตา
“เป้าหมายต่อไปคืออะไรล่ะ”
“อย่าบอกนะว่า จะให้พวกเป็นอาหารของพวกมัน…”
ความกังวลปรากฏขึ้นมาในสายตาของชาวบ้าน
พวกเขากลัวว่าซูฮยอนจะจับพวกเขาโยนไปให้เจ้าอสรพิษน้อย เพื่อเป็นอาหารของพวกมัน
“พวกคุณคิดมากเกินไปแล้ว”ซูฮยอนกล่าวหลังจากเห็นอาการ จิตตกของชาวบ้าน
“พวกเราจะฝึกเจ้า อสรพิษ น้อยพวกนี้”
“อะไรนะ”
“คุณจะฝึกฝนพวกมันงั้นเหรอ เอาจริงดิ”
ซูฮยอนเริ่มอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น
“เอาหล่ะ ผมจะอธิบายแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังให้ดี เจ้าอสรพิษพวกนี้จะกินเหยื่อทุก 3 วัน ส่วนวันที่เหลือพวกมันจะใช้ไปกับการนอนพักผ่อน จุดสำคัญคือ มันจะไม่กินผู้มีพระคุณของมันหรือก็คือผู้ที่เลี้ยงมันนั่นแหละ”
“อืม..”
“ถึงแม้พวกมันจะเป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้าย แต่มันก็มีนิสัย ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ธรรมดาทั่วไป เช่น หมา แมว”
“เรื่องจริงเหรอ”ชาวบ้านทุกคนที่ตั้งใจฟัง ยังไม่อยากจะเชื่อมามันจะมีนิสัยเหมือนสัตว์ธรรมดาทั่วไป
“เรื่องจริง ถ้าพวกคุณตั้งใจฝึกมันให้ดี พวกมันจะคิดว่าพวกคุณคือ พ่อ แม่ ของมัน”
สิ่งที่ซูฮยอนต้องการคือ ให้ชาวบ้านฝึกมันให้เชื่องเพื่อเป็นมอนสเตอร์ผู้พิทักษ์หมู่บ้าน
แต่ในสมัยนี้ มอนสเตอร์เกือบทุกชนิดล่ามนุษย์เป็นอาหาร เพราะฉะนั้นการฝึกมันให้เชื่องจึงเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน
“คุณบอกจะฝึกมันให้เชื่อง ถ้าอย่างงั้นอาหารของพวกมันก็คือมนุษย์สินะ…”
“ใครบอกว่ามันกินแต่เนื้อมนุษย์กัน”ซูฮยอนตอบกลับไป
“หืม?”
“ข้างนอกหมู่บ้านไม่มีอาหารเลยหรือไง”
“ข้างนอกหมู่บ้านงั้นเหรอ..”ชาวบ้านที่ฟังอยู่ยังคงจับใจความไม่ค่อยได้
ซูฮยอนจึงตัดสินตอบกลับอีกครั้ง
“พวกมันชอบกินเนื้อมนุษย์ก็จริง แต่ก็ไม่มีกฎข้อไหน ห้ามพวกมันกินมอนสเตอร์ด้วยกันซะหน่อย”
“คุณกำลังจะบอกว่าในพวกชาวบ้าน ออกไปล่ามอนสเตอร์นอกหมู่บ้านเพื่อนำกลับมาเป็นอาหารของเจ้า อสรพิษ นี้สินะ”
“ไม่มีทาง คุณจะให้ชาวบ้านออกไป แกว่งเท้าหาเสี้ยนทำไม”
“ใครบอกว่าให้ชาวบ้านไปล่ามอนสเตอร์กัน”
“หาาา.”
ซูฮยอนมองดูการแสดงออกของสีหน้าที่งงงันของชาวบ้าน
เขาคิดว่าเขาเลือกชาวบ้านที่ดูแข็งแรงที่สุดแล้วแท้ๆ
แต่พวกเขากลับปอดแหกมากกว่าที่ซูฮยอนคิดมากนัก
“เรื่องล่ามอนสเตอร์เดียวผมจัดการเอง ส่วนเรื่องการป้อนอาหาร พวกคุณจัดการเองก็แล้วกัน”ซูฮยอนกล่าว
ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วทำไมเจ้าอสรพิษถึงออกลูกมาตอนนี้
เพราะเจ้าอสรพิษล่าเนื้อ คือกุญแจสำคัญในการผ่านชั้นที่ 10
ซึ่ง ซูฮยอนต้องใช้ข้อได้เปรียบจากจุดนี้ เพื่อทำภารกิจในเสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์
บททดสอบของชั้นที่ 10 มันยากสมคำร่ำลือจริงๆ
ถ้าเขาไม่รู้สึกถึงเจ้า อสรพิษตัวนี้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องปกป้องหมู่บ้านจากอะไร
ถึงแม้ซูฮยอนจะมั่นใจว่า ถ้าเขาอยู่ที่นี่นานวันเข้า ไม่แน่สักวันหนึ่งเขาก็คงจะค้นพบกับความลับของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้ แต่มันก็เสียเวลาจนเกินไป
โชคที่ซูฮยอนได้รู้ข้อมูลลับจากปากของผู้อารักขา
ทำให้เขาสามารถเคลียร์เรื่องที่เขาสงสัยได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าหากเขาไม่ได้ข้อมูลจากผู้อารักขา เขาคงถูกหัวหน้าหมู่บ้านหลอกไปเป็นอาหารเจ้า อสรพิษ อย่างแน่นอน
[สำเร็จแล้ว:30 เปอร์เซ็นต์]
[คุณมีความมั่นใจที่จะทำมันให้สำเร็จหรือไม่]
นี่คือข้อความที่เขาได้ยินหลังฆ่าอสรพิษผู้เป็นแม่ไป
มันเป็นข้อความที่ผู้ทดสอบสามารถไปชั้นถัดไปได้ทันที
ขึ้นอยู่ที่ผู้ทดสอบว่าจะเลือกแบบใด
ในชีวิตที่แล้ว เขาเคยเจอบททดสอบแบบนี้มามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เขาเลือกที่จะผ่านไปชั้นถัดไปเลยทันที
แค่คุณสามารถเปิดโปงความลับของหัวหน้าหมู่บ้านและฆ่ามอนสเตอร์อสรพิษ เพียงแค่นี้บททดสอบของคุณก็ผ่านแล้ว
ทว่าครั้งนี้มันต่างกัน ซูฮยอนไม่อยากปล่อยปละละเลยอีกต่อไป
หัวหน้าหมู่บ้านโดนโบยจนตาย แถมเจ้าอสรพิษตัวแม่ก็ไปตายตามไปอีก
ทำให้หมู่บ้านในตอนนี้ไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป
ไม่นานเกินรอ พวกมอนสเตอร์ต้องบุกหมู่บ้านแห่งนี้แน่ๆ
***
ความสำเร็จตอนนี้มันมีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
มันหมายความว่าหมู่บ้านแห่งนี้พร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อ
นับแต่นี้ไป ซูฮยอนคงต้องพยายามให้หนักขึ้น เพื่อปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้
ช่วงเวลานี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับซูฮยอน
เขาต้องฝึกเจ้า อสรพิษ น้อยให้เชื่องโดยเร็วที่สุด
โชคดีที่ซูฮยอนพอรู้ของมูลของเจ้าอสรพิษมาบ้าง เลยทำให้เรื่องต่างๆง่ายขึ้นไปอีก
เห็นได้ชัดว่าการทดสอบชั้นที่ 10 ไม่เพียงแต่ยากเท่านั้น มันยังต้องอาศัยไหวพริบ แล้วความรู้รอบตัวอีกด้วย
เมื่อซูฮยอนและชาวบ้านออกมาจากชั้นใต้ดิน มันก็ถึงช่วงเวลาเย็นแล้ว
เมฆสีดำเริ่มปกคลุมท้องฟ้าอย่างช้าๆ
“นี่ฉันต้องดูแลเจ้า 6 ตัวนั้นไปอีกนานแค่ไหนกัน”ซูฮยอนบ่นพึมพำเบาๆ
เขาก้าวออกไปนอกหมู่บ้าน เพื่อไปล่ามอนสเตอร์สำหรับเป็นอาหารแกเจ้าตัวเล็ก
เจ้าอสรพิษล่าเนื้อจะปล่อยฟีโรโมนออกไปบริเวณรอบๆ เพื่อสร้างอาฌาเขตของมัน
ด้วยกลิ่นที่เหม็นหืนของมัน ทำให้มอนสเตอร์ที่อ่อนแอไม่กล้าเข้าใกล้อาณาเขตของมัน
ซึ่งกลิ่นที่มันปล่อยออกมามีอายุแค่ 15 วันเท่านั้น
“ลูก อสรพิษ 6 ตัว งั้นเหรอ”
เนื่องจากอายุของเจ้า อสรพิษ ยังเด็กอยู่ มันจึงต้องกินอาหารมากเป็นพิเศษ
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเหนื่อยไปอีกหลายเดือนเลย เฮ้อ”
ฟรึบ ฟรึบ
ซูฮยอนหยุดอยู่กลางป่ารกทึบ “ดูเหมือนจะ เจอเหยื่อเข้าแล้ว”
โฮกกกก
ทันทีที่ซูฮยอนออกจากอาณาเขตของ อสรพิษ เขาก็พบว่ามีมอนสเตอร์มากมายอยู่บริเวณรอบตัวเขา
“ก็ดีเหมือนกัน ได้เวลายืดเส้นยืดสายซักที”
ซูฮยอนไม่จำเป็นต้องค้นหามอนสเตอร์
เพราะไม่ว่ายังไงพวกมันก็อยู่แถวๆนี้อยู่ดี
“เฮ้ มอนสเตอร์ ทั้งหลายอาหารมาเสิร์ฟแล้ว ออกมาเร็ว”
[คุณใช้สกิล “กระโดด”]
[มอนสเตอร์โดยรอบรับรู้การคงอยู่ของคุณ]
โฮกกกกก
ฟรึบ ฟรึบ
เมื่อมอนสเตอร์เห็นการมาถึงของซูฮยอน น้ำลายของมันก็หยดลงเต็มพื้น
โฮกกก
ซูฮยอนหยิบทั้งดาบและหอกเอาไว้ในมือ
จากนั้นเขาก็ใช้สกิล 'กระโดด' ไปหามอนสเตอร์ที่เขาหมายตาไว้
ฟุ่บ
ฉึก
มอนสเตอร์ที่มีร่างกายเป็นหมาป่ามีหัวเป็นสิงโต ถูกแยกเป็นสองซีก
เมื่อตัวแรกตายไปตัวทีสองก็ตามมา ซูฮยอนใช้สกิลกระโดดอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งใช้สกิลมากเท่าไหร่ความชำนาญก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
พอความชำนาญเพิ่มขึ้นสกิลก็ยิ่งพัฒนาขึ้นอีก
“เขามาเลยเจ้ามอนสเตอร์”
ซูฮยอนตะโกนกลางอากาศ แล้วเล็งอาวุธไปที่เป้าหมาย
ฉัวะ
โฮกกก
ซูฮยอนแลนดิ้งลงพื้นอย่างสวยงามแล้วหยิบธนูคันเล็กขึ้นมา
เขาวางหอกลงแล้วเล็งธนูไปที่มอนสเตอร์
ฟิ้ว
ลูกศรวิ่งผ่านอากาศตรงไปที่หัวใจของมันอย่างรวดเร็ว
เมื่อหัวใจที่หล่อเลี้ยงร่างกายถูกทำลายมันก็จบชีวิตลงอย่างอนาถ
กี้ กี้ กี้
เหยื่อรายต่อไปของซูฮยอนโผล่มาอีกตัว คราวนี้มันคือ ก๊อบลิน มันชูคฑาเวทย์มนต์ขึ้นฟ้า
ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มหมองหม่นลง
ดูเหมือนเจ้า ก๊อบลิน มันจะสามารถใช้คาถาความมืดได้
ถ้าให้มนุษย์ธรรมดามายืนอยู่ภายในอาฌาเขตเวทย์ของมัน
มนุษย์ผู้นั้นจะถูกดูดอายุขัยลงไป จนถึงขั้นแก้ชรา
ตู้ม
แต่จังหวะนั้นเอง ดาบของซูฮยอนก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงขึ้น
[คุณใช้สกิล 'เพลิงพิโรธ' เรียบร้อยแล้ว]
เมื่อดาบของซูฮยอนมีเพลิงลุกขึ้น ความมืดที่ปกคลุมเมื่อครู่ก็ค่อยๆหายไป
ซูฮยอนใช้สกิลกระโดดยันพื้นแล้วพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเจ้าก็อบลินสัมผัสได้ถึงความตายมันก็ถอยล้นกลับไปทันที
ดาบในมือของซูฮยอนยังคงร้อนแรงดุจไฟจากนรก
แต่มีหรือที่ซูฮยอนจะปล่อยเหยื่อของเขาให้หนีไปได้
“แกจะไปไหนมาคุยกันก่อน”
[คุณใช้สกิล 'ยั่วยุ' เรียบร้อยแล้ว]
เมื่อซูฮยอนใช้สกิล 'ยั่วยุ' เจ้าก็อบลินที่กำลังวิ่งหนี้ อยู่ดีๆก็วิ่งกลับมาหาซูฮยอนด้วยแววตาโกรธจัด
“ดีกลับมาหาฉันซะ”
สกิล 'เพลิงพิโรธ' เขาได้รับมันมาจากชั้นที่ 8
ถึงแม้ซูฮยอนจะผ่านมาหลายชั้นแล้ว
แต่สกิลที่เขาเรียนก็ยังมีไม่เยอะ
เพราะถ้าหากเขาเรียนรู้สกิลมากเกินไป
มันจะทำให้เขารีดประสิทธิภาพของมันออกมาได้ไม่เต็มที
เพราะฉะนั้นซูฮยอนจึงเลือกสกิลที่เขาชอบเท่านั้น
และใช้มันจนชำนาญให้มากที่สุด
สกิล กระโดด และ สกิลยั่วยุ เป็นสกิลที่ถูกใช้มากที่สุดในหมู่ผู้คน
เพราะมันถูกแนะนำจากผู้มีประสบการณ์จากกิลด์ต่างๆมากมาย
ส่วนสกิล 'เพลิงพิโรธ' มันเป็นสกิลที่คนไม่ค่อยนิยมใช้กันสักเท่าไหร่
แต่ซูฮยอนกลับชอบมัน
[เพลิงพิโรธ]
-ระดับเวทย์ : 4
-เลเวล 1.
-อบิลิตี้:15.5%
-เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่เผาไหม้ด้วยเวทย์มนต์ สามารถสร้างบาดแผลที่ร้ายแรงแกมอนสเตอร์ ธาตุมืด ได้เป็นอย่างดี ความแรงของสกิลขึ้นอยู่กับระดับเวทย์
มันเป็นสกิลที่ซูฮยอนถูกใจจริงๆ โดยเฉพาะ คุณสมบัติของมันทีสามารถสร้างบาดแผลแกมอนสเตอร์ธาตุมืดได้
เพราะในอนาคตมอนสเตอร์ธาตุมืดจะมีมากขึ้น เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นมันจึงจำเป็นต่อซูฮยอนมากๆ
ไม่ใช่แค่นั้นมันยังสามารถแผดเผาวิญญาณชั่วร้ายได้อีกด้วย
เพราะวิญญาณชั่วร้าย ไม่สามารถใช้ดาบเปล่าๆฟันมันได้
มันเป็นสกิลที่ทรงพลังจริงๆ ทุกครั้งที่ซูฮยอนใช้สกิล 'เพลิงพิโรธ' เขาจะค่อยประเมินความสามารถของมันทุกครั้ง
ซึ่งผลที่ออกมา มันน่าพอใจมากๆสำหรับซูฮยอน
สกิลนี้ข้อเสียของมันก็มีเหมือนกัน
ข้อเสียของมันก็คือ
เมื่อใช้สกิล 'เพลิงพิโรธ' ออกมา ร่างกายของผู้ใช้ต้องแบกรับภาระอย่างหนัก
มันไม่คุ้มเลยที่ใช้สกิลนี้กลับมอนสเตอร์ปลายแถว
แต่ที่ซูฮยอนตัดสินใจใช้มัน
เพราะว่า..
จะมีที่ไหน เหมาะไปกว่าที่นี่
ในการทดสอบประสิทธิภาพของสกิลกันล่ะ จริงไหม