บทที่ 79 ใช่เย่โม่หรือเปล่า?
“ชิงเชวี่ย เธอหายดีแล้ว!?” เสียงของหลี่มู่เหมยที่ทั้งประหลาดใจและยินดีลอยเข้ามาในห้อง คนเดินตามหลังเธอมาก็คือหลานยู่ที่ยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่นั่นเอง แม้แต่ซูจิ้งเหวินก็ยังมา…กระทั่งพยาบาลอีก 2 คนที่ยังมีสีหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อก็มองมายังหนิงชิงเชวี่ยเช่นกัน
“เข้ามาเถอะ” หนิงชิงเชวี่ยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ สีหน้าของเธอดีขึ้นเล็กน้อย ถึงในใจจะยังรู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายแต่ก็ตัดสินใจได้ว่าจะเลิกคิดเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ชิงเชวี่ย? ขอฉันดูหลังหน่อย” หลี่มู่เหมยเคยเห็นอาการบาดเจ็บของหนิงชิงเชวี่ยกับตาตัวเอง กับเรื่องที่อยู่ดีๆ หนิงชิงเชวี่ยก็หายดีแบบนี้...ต่อให้มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อแต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยแต่อย่างใด
หนิงชิงเชวี่ยส่ายหัว “ไม่ต้องดูแล้ว ฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวเองหายดีแล้วจริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อวาน...” หนิงชิงเชวี่ยที่ตอนแรกคิดจะพูดว่าเมื่อวานอาจมีคนเข้ามารักษาเธอก็ได้...แต่เมื่อคำพูดมาอยู่ที่ปากเธอกลับไม่ได้พูดมันออกไป
ส่วนหลานยู่ที่ถึงแม้จะตรวจสอบไปแล้วรอบหนึ่ง แต่เธอก็ยังไม่วางใจเดินไปดูหลังของหนิงชิงเชวี่ยอีกครั้ง เธอเลิกเสื้อของหนิงชิงเชวี่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็ยังเป็นผิวหลังอันขาวเนียนไร้ตำหนิ ตอนนี้เองเธอถึงค่อยเชื่ออย่างสนิทใจ...ลูกสาวของเธอหายดีแล้วจริงๆ เธอรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา สวรรค์คุ้มครอง! ลูกสาวของเธออาการดีขึ้นภายในคืนเดียว!
พยาบาลสาวทั้ง 2 คนรีบเข้ามาช่วยตรวจเช็คอาการของหนิงชิงเชวี่ยอย่างตื่นเต้น แล้วก็พบว่าหนิงชิงเชวี่ยหายดีแล้วจริงๆ คนอื่นๆ อาจไม่รู้อาการของหนิงชิงเชวี่ยแต่พวกเธอทั้ง 2 รู้ดี พวกเธอคอยดูแลหนิงชิงเชวี่ยมาตลอด...แน่นอนต้องรู้ว่าอาการของเธอนั้นหนักหนาสาหัสขนาดไหน แต่พวกเธอกลับคาดไม่ถึงว่าอาการหนักขนาดนั้นอยู่ๆ จะหายดีได้แบบนี้…จะมีอะไรแปลกประหลาดไปมากกว่านี้อีกเล่า! หรือว่าจะวินิจฉัยอาการผิด?
ตอนที่หนิงชิงเชวี่ยรู้ว่าหมอจากโรงพยายาลกำลังจะมาถึง เธอก็ปฏิเสธการตรวจเช็คร่างกายอีกครั้งทันที อาการของร่างกายตอนนี้ตัวเธอรู้ดีกว่าใครทั้งหมด ตอนนี้เธอสุขภาพดี 100% แล้ว เธอไม่อยากให้คนทั้งโลกรู้เรื่องนี้
วันนั้นเองที่หนิงจงเฟยรีบมาที่หนิงไห่ อยู่ๆ ลูกสาวของเขาก็หายดีแบบนี้เขาย่อมต้องรู้สึกดีใจเหนือกว่าใครทั้งหมด ตัวเขามีลูกสาวเพียงคนเดียว...เธอเป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเขา ทว่าหนิงชิงเชวี่ยก็ยังปฏิเสธคำขอของครอบครัวที่อยากให้เธอย้ายออกจากหนิงไห่อยู่ดี เธอยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ
ส่วนเรื่องคนที่มาช่วยรักษาเธอเมื่อคืน...หนิงชิงเชวี่ยนั่งคิดอยู่ครึ่งวันก็มีเพียงภาพอันเลือนรางในหัวเท่านั้น
หนิงชิงเชวี่ยจำได้แม่นว่าตอนนั้นตัวเธอกำลังบันทึกเสียงและคิดจะฆ่าตัวตาย เหมือนกับว่ามีดเล่มนั้นไม่ได้แทงเข้าคอของเธอแต่กลับแทงเข้าแขนของอีกคนแทน หลังจากนั้นเธอก็สลบไป หรือว่าคนที่เธอแทงแขนคนนั้นจะเป็นเย่โม่? หรือว่าเธอจะคิดถึงเขามากเกินไปจนคิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่าคนๆ นั้นคือเย่โม่?
เย่โม่เป็นวิชาแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทั้งยังมีฝีมือร้ายกาจแบบนี้อีก? หนิงชิงเชวี่ยจำขึ้นมาได้ทันทีว่าเย่โม่ก็เคยวางแผงลอยตรงถนนคนเดินเพื่อขายยาอะไรสักอย่าง…หรือว่าจะเป็นเขา? เขาเข้าใจวิชาแพทย์จริงๆ? ถ้าหากว่าเป็นเขาจริงล่ะก็..รอยเลือดบนเตียงเหล่านั้นก็คงจะเป็นของเขาด้วย
เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอและคนอื่นๆ เดินออกจากห้องไปแล้ว หนิงชิงเชวี่ยก็เรียกให้หลี่มู่เหมยรั้งอยู่ก่อน ถึงตอนนี้เธอจะรู้สึกว่าตัวเองลุกได้แล้ว...กระทั่งว่าสุขภาพร่างกายก็ดีเยี่ยม แต่เธอก็ไม่อยากจะทำเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นๆ เป็นห่วงเอาได้
“มู่เหมย...เธอช่วยฉันตรวจสอบรอยเลือดบนผ้าปูที่นอนพวกนี้หน่อยสิ” หนิงชิงเชวี่ยฉีกผ้าปูที่นอนตรงที่มีรอยเลือดออกมาแล้วยื่นส่งให้หลี่มู่เหมย เธออยากจะรู้ว่าเลือดพวกนี้กับเลือดของเย่โม่เหมือนกันหรือเปล่า ต่อให้การตรวจกรุ๊ปเลือดก็ยังไม่อาจแน่ใจได้เต็มร้อยว่าใช่เลือดของเย่โม่จริงหรือเปล่า...แต่อย่างน้อยก็ยังช่วยได้ระดับหนึ่ง หากว่าเลือดพวกนี้เป็นของเย่โม่จริง…หนิงชิงเชวี่ยก็จะแน่ใจได้ทันทีว่าเป็นเขาที่ช่วยรักษาเธอ คนที่เห็นร่างกายเธอก็คือเย่โม่ หากเป็นแบบนั้น...เธอจึงจะค่อยวางใจได้
หลี่มู่เหมยที่รับชิ้นส่วนผ้าปูที่นอนไปก็ไม่ได้ถามอะไร สิ่งที่หนิงชิงเชวี่ยไม่อยากพูด...ต่อให้ถามเธอก็คงไม่บอกอยู่ดี
..........
เมื่อคืน…เรื่องที่หนิงชิงเชวี่ยหายดีแล้วสำหรับพ่อกับแม่ของเธอนั้นเรื่องนี้ถือว่าเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุด แต่สำหรับนักศึกษาในหนิงไห่นั้น...เรื่องที่ชืออิ่งโค่นผู่ตงเหวินนั้นถือเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับ 2 เรื่องข้างบนแล้ว เรื่องที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการและคนใหญ่คนโตในหนิงไห่รู้สึกสะท้านสะเทือนก็คือข่าวการฆาตกรรมในคฤหาสน์หลังหนึ่ง นั่นก็เพราะเหยื่อ 2 คนในคดีฆาตกรรมนี้กลับเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมาก คนหนึ่งคือสมาชิกของตระกูลซ่งที่ถือได้ว่าเป็น 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ของจีน...ซ่งเฉ่าถาน ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่า เพราะชื่อของเขาก็คือเชียนชื่อผิง
ด้วยชื่อเชียนชื่อผิงนั้นเดิมทีไม่น่าแปลกประหลาดแต่อย่างใด สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือพ่อของเขาเชียนหลงโถวยังมีสมญานามอีกอย่าง นั่นคือเพียงแค่กระทืบเท้าครั้งเดียวก็ทำให้พื้นปฐพีสั่นสะเทือนได้ หากว่าแก๊งยากูซ่ายามากุชิ-กุมิ(องค์กรยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น)และพวกมาเฟียตะวันตกมีอิทธิพลยิ่งใหญ่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นแล้วคำว่า ‘หนานชิง’ ก็ถือเป็นตัวแทนของแก๊งที่มีอิทธิพลมากที่สุดของตะวันออก
และเชียนหลงโถวก็คือหัวหน้าแก๊ง ‘หนานชิง’ นั่นเอง เชียนชื่อผิงคือลูกชายเพียงคนเดียวของเขา อีกทั้งเขายังมีเชียนชื่อผิงตอนอายุได้ 40 ปีอีกด้วย
ชื่อจริงของเชียนหลงโถว (มังกรพันเศียร) คือเชียนไป๋เฮ่อ เป็นคนจากหูจง อายุ 11 ปีก็เข้าสู่วงการใต้ดินแล้ว ตอนนี้แม้แต่โลกบนดินเขาก็ยังถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งยังมีกองกำลังส่วนตัวอีกด้วย แต่คนเหล่านั้นก็คือกองกำลังรับจ้างที่ประจำการอยู่ที่แอฟริกา และตัวเขาเองก็มักจะพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สุดหรูที่แอฟริกาเช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องของ ‘หนานชิง’ นั้นเดิมทีก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องออกโรงจัดการเองแล้ว เรื่องทั่วๆ ไปก็มักจะเป็นลูกน้องของเขาจัดการ จากนั้นค่อยส่งรายงานมาให้เขาก็พอแล้ว
คนปกติทั่วไปยังไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ประเทศเล็กๆ ยังไม่กล้าหาเรื่องบอสของ ‘หนานชิง’ อย่างเชียนหลงโถวเลย ทว่าวันนี้ลูกชายเพียวคนเดียวของเขากลับถูกฆ่าตายในหนิงไห่ นี่ถือเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าจะเป็นการตายของเชียนชื่อผิงหรือซ่งเฉ่าเหวิน มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลของหนิงไห่จะแบกรับได้เลย
..........
วินาทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกหยุนปิงก็เป็นเวลา 9 โมงกว่าๆ แล้ว เมื่อมองไปยังเย่โม่...เขาก็ยังนอนหลับอยู่อย่างเดิมเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่ใบหน้าที่เคยขาวซีดก็เรื่มมีเลือดฝาดขึ้นบางแล้ว หยุนปิงค่อยรู้สึกโล่งใจแล้วหันไปรับโทรศัพท์
คนที่โทรมาคือเพื่อนร่วมงานของหยุนปิงชื่อหวังยู่ เขาถามแค่ว่าทำไมวันนี้เธอถึงไม่ไปสอน เธอจึงรีบขอให้เขาช่วยลางานให้เธอหน่อย พอวางสายไปก็หันกลับมาช่วยเช็ดตัวเย่โม่อีกรอบ พอเช็ดเสร็จเธอก็เตรียมทำโจ๊ก เผื่อว่าถ้าเย่โม่ตื่นขึ้นมาจะได้มีอะไรกิน
เธอช่วยชีวิตเย่โม่เมื่อคืน ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็นอนสลบอยู่อย่างนี้...มีเพียงครั้งเดียวที่เขาลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็กลับไปนอนสลบต่อทันที หยุนปิงไม่กล้าส่งเขาให้โรงพยาบาล ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงดี เธอยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าชืออิ่งที่เธอเห็นจากข่าวเมื่อวานใช่เย่โม่จริงหรือเปล่า เธอเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีกครั้งแล้วเข้าไปในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ทว่าข่าวที่ปรากฏสู่สายตากลับทำให้เธอแทบทำเมาส์หล่น
เมื่อคืนวาน...พบคดีฆาตกรรมในคฤหาสน์ส่วนตัวแห่งหนึ่ง มีผู้เสียชีวิต 6 ราย...
เรื่องเมื่อคืน...ไม่ใช่ว่าเย่โม่ก็ได้รับบาดเจ็บมาเมื่อคืนเหมือนกันหรอกหรือ? หรือว่าเป็นฝีมือของเขา? หยุนปิงหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เย่โม่จัดการเจิ้งเหวินเฉียวและรุ่นพี่ที่มอมเหล้าเธอคนนั้นให้กลายเป็นคนเสียสติ...เธอพอจะแน่ใจได้ว่าเป็นฝีมือของเย่โม่ ทำไมเขาถึงได้ป่าเถื่อนขนาดนี้?
หยุนปิงหันกลับไปมองเย่โม่ด้วยแววตาซับซ้อน เธอค้นหาข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกครั้ง จนกระทั่งค้นไปเจอเว็บไซต์ของทางการเธอถึงได้รู้ความจริง เมื่อคืนวานเนื่องจากคุณชาย 2 คนจาก 2 ตระกูลใหญ่ลักพาตัวหญิงสาว 2 พี่น้องไปข่มขืนในคฤหาสน์ หลังจากนั้นก็ถูกคนบุกเข้าไปฆ่าตายถึง 6 ศพ มีเพียงหญิงสาว 2 พี่น้องที่ยังมีชีวิตรอด
หยุนปิงถอนหายใจ...ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือเย่โม่จริงๆ เขามักจะต่อสู้กับความอยุติธรรมแบบนี้เสมอ เรื่องของเธอคราวที่แล้วก็เหมือนกัน ต่างกันตรงที่กรณีของเธอเขาไม่ได้ฆ่าใคร แต่ครั้งนี้กลับลงมือฆ่า หรือเขาเป็นพวกมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง?
แต่ไม่ว่าเย่โม่จะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงหรือไม่...เขาก็เป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้อยู่ดี สำหรับหยุนปิงแล้ว...สิ่งที่เขาทำมันสำคัญเสียยิ่งกว่าแค่ช่วยชีวิตเธอไว้เสียอีก แล้วอีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเธอก็รู้สึกเข้าข้างเย่โม่ เธอรู้สึกเพียงว่าเย่โม่ไม่ควรฆ่าคนก็เท่านั้น การฆ่าคนตามอำเภอใจสำหรับสังคมแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ หยุนปิงแอบรู้สึกดีใจที่ไม่ได้ส่งตัวเย่โม่ให้กับโรงพยาบาล ถ้าหากเธอส่งตัวเขาไปล่ะก็เรื่องของเย่โม่จะต้องถูกเปิดโปงแน่นอน