ตอนที่แล้วDH บทที่ 12 - มนุษย์ ปีศาจ และหัวเมืองเหมันต์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 - หญิงงามในชุดขาว

บทที่ 13 - เส้นลมปราณทั้งสิบสอง


บทที่ 13 - เส้นลมปราณทั้งสิบสอง

“พลังลมปราณเป็นสิ่งน่าเหลือเชื่อ ความแข็งแกร่งที่มาจากขีดจำกัดของร่างกายนั้นเป็นพลังที่มองไม่เห็น พลังนั้นสามารถผ่าหินให้แตกออกได้ หรือแม้กระทั่งเคลื่อนท้องทะเลหรือภูเขาทั้งลูก เป็นพลังที่สามารถท้าทายฟ้าสวรรค์และเปลี่ยนแปลงโชคชะตา หรือต่ออายุให้สิ่งมีชีวิตและเสกสิ่งของขึ้นกลางอากาศ...พลังลมปราณที่น่าอัศจรรย์นี้ ยังสามารถโจมตีเส้นลมปราณทั้งสิบสองในร่างกายมนุษย์รวมถึงจุดลมปราณทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของพลังขั้นสุดยอดและรากฐานสำคัญของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์…”

ติงโฮวจมดิ่งลงสู่เนื้อหาของหนังสือเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว

ร่างกายของมนุษย์ในดินแดนไร้ขอบเขตนั้นประกอบไปด้วยเส้นลมปราณจำนวน 12 เส้น ในแต่ละเส้นเหล่านั้นจะประกอบไปด้วยลมปราณหลัก ๆ จำนวน 9 จุดด้วยกัน เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ได้เริ่มใช้พลังลมปราณในร่างแล้ว พวกเขาจะสามารถใช้มันในการพัฒนาสิ่งเหล่านั้นในร่างกายได้ โดยพลังลมปราณจากถูกส่งไปตามเส้นลมปราณเพื่อเข้าสู่จุดพลังทั้งหมด

มันเป็นการฝึกขั้นพื้นฐานที่สุด

การฝึกวิทยายุทธถูกพัฒนาเรื่อยมาอย่างยาวนานนับพัน ๆ ปี โดยยึดเอาตามการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบของแหล่งพลังในร่างกายมนุษย์ที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

กล่าวโดยรวมก็คือเส้นลมปราณทั้งสิบสองนั้นจะเรียงลำดับจากง่ายไปยาก โดยเส้นลมปราณลำดับแรกมีชื่อเรียกว่า “เส้นมือหยินที่หนึ่ง” ซึ่งถือเป็น “เส้นลมปราณแรกเริ่มของการฝึกยุทธ์” และการฝึกยุทธ์ทุกประเภทจะต้องเริ่มต้นจากเส้นลมปราณเส้นนี้เสมอ

ผู้ฝึกจะต้องฝึกฝนเส้นลมปราณนี้รวมถึงจุดลมปราณทั้ง 9 ให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถเริ่มฝึกเส้นลมปราณเส้นที่สองได้ และเส้นลมปราณทั้ง 12 รวมถึงจุดลมปราณทั้ง 9 ในแต่ละเส้นเหล่านั้นก็คือ ขั้นในการฝึกยุทธ์

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว การฝึกยุทธ์ของมนุษย์ในดินแดนแห่งนี้นั้นก็ถือว่าไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายเลย

เมื่อพิจารณาจากระดับที่ต่างกันของแต่ละคนในการฝึกฝนเส้นและจุดลมปราณ จึงทำให้แบ่งผู้ฝึกได้เป็น 12 ขั้น อันได้แก่ ขั้นก่อเกิดยุทธ์

ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ ขั้นจอมยุทธ์ ขั้นปรมาจารย์ ขั้นปราชญ์ ขั้นจอมปราชญ์ ขันราชันย์ยุทธ์ ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ ขั้นจอมจักรพรรดิยุทธ์ ขั้นมหายุทธ์ ขั้นกึ่งเทพยุทธ์ และขั้นเทพยุทธ์

ตัวอย่างเช่น คนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถเรียกพลังเหนือธรรมชาติจากเมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณและใช้มันเพื่อจะเปิด “เส้นมือหยินที่หนึ่ง” จะถือว่าอยู่ในขั้นก่อเกิดยุทธ์ และถ้าผู้นั้นสามารถเปิด “เส้นมือหยางที่สอง” ได้ก็จะเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ และระดับของการฝึกยุทธ์จะเปลี่ยนไปตามลำดับเส้นลมปราณทั้งสิบสองของร่างกายมนุษย์

นั่นแปลว่า หากผู้ใดก็ตามสามารถเปิดเส้นลมปราณทั้งหมดได้ คนผู้นั้นจะประสบความสำเร็จในการฝึกยุทธ์ทั้งสิบสองขั้น พร้อมกับกลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเทพยุทธ์ซึ่งสามารถเดินทางไปยังสวรรค์ และมีความรุ่งโรจน์และชีวิตนิรันดร์อย่างเหล่าเทพเซียนในตำนาน

ในแต่ละขั้นของการฝึกนั้นยังมีระดับย่อย ๆ แยกออกไปตามจำนวนจุดลมปราณอีกด้วย

ลองมาดูตัวอย่างของการฝึกขั้นก่อเกิดยุทธ์กัน

ใน “เส้นมือหยินที่หนึ่ง” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เส้นลมปราณแรกเริ่มของการฝึกยุทธ์” จะประกอบไปด้วยจุดลมปราณทั้งหมด 9 จุดด้วยกัน ในการเปิดจุดลมปราณจุดแรก ผู้ฝึกจะอยู่ในระดับที่เรียกว่า “ขั้นก่อเกิดยุทธ์หนึ่งจุดชีพจร” และเมื่อผู้ฝึกทำการเปิดจุดลมปราณที่สองก็จะเลื่อนระดับขึ้นเป็น “ขั้นก่อเกิดยุทธสองจุดชีพจร” ซึ่งในการเปิดจุดลมปราณลำดับต่อ ๆ ไปก็จะทำให้ผู้ฝึกเลื่อนขั้นการฝึกขึ้นไปทีละขั้นตามลำดับและพลังของผู้นั้นก็จะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ และจะสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ได้ก็ต่อเมื่อสามารถเปิดจุดลมปราณทั้งเก้าได้สำเร็จแล้วเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ฝึกจึงจะเริ่มการเปิด “เส้นมือหยาง” ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นที่สองได้

เมื่อเปิดมาถึงหน้านี้ ติงโฮวหลับตาลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง

หลังจากนั้น แทนที่เขาจะอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อ เขากลับทดลองวิธีการที่บอกใน “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” และเริ่มกดนวดตามร่างกายของตัวเอง ก่อนที่ติงโฮวจะลองเรียกพลังลมปราณในร่างรวมถึงเริ่มใช้เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณ

ตามทฤษฎีแล้ว ติงโฮวจำเป็นต้องมีองค์ประกอบหนึ่งอย่างเพื่อที่จะใช้เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณของเขาได้ และสิ่งนั้นก็คือความแข็งแกร่งของร่างกายในระดับสูงสุด ซึ่งจะต้องมีพลังอันเต็มเปี่ยม 5 อย่าง ได้แก่ “ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด กระดูกที่แข็งแรง อวัยวะที่สมบูรณ์แบบ สีของเลือกที่สดใสเหมือนคริสตัล และการควบคุมที่ไร้ที่ติ”

ในอดีตนั้นติงโฮวไม่เคยได้เข้ารับการฝึกมาก่อนเลย และคงไม่มีวันได้เข้าใกล้ความแข็งแกร่งระดับดังกล่าวได้แน่ ๆ ทว่าหลังจากที่ติงโฮวเจอกับเหตุการณ์ประหลาดที่ถ้ำใต้ผา ร่างกายของเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากมายอย่างอัศจรรย์ จนติงโฮวเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในระดับไหนกันแน่

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ติงโฮวจึงอยู่ในสภาพพร้อมที่จะทำการทดลองวิธีในหนังสือดู

เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณนั้นอันที่จริงเป็นแค่คำเปรียบเทียบเท่านั้น

ติงโฮวทำตามวิธีการในหนังสือ “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” เขาหายใจเข้าออกอย่างสงบและพยายามหาลมปราณในร่างของตัวเอง

แล้วติงโฮวก็รู้สึกถึงบางอย่างเกือบจะทันที มันเคลื่อนที่อยู่บริเวณจุดตันเถียน

นี่มันง่ายเกินไป..

มันเป็นขั้นแรกเริ่มของการเรียกใช้เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณ ขั้นตอนนี้มีชื่อเรียกว่า “การเรียกลมปราณ”

จากคำอธิบายในหนังสือ “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” โดยปกติแล้ว สำหรับคนธรรมดาที่จะทำวิธีดังกล่าว จะต้องทดลองทำซ้ำ ๆ นับหมื่นครั้งถึงจะสามารถทำการ “เรียกลมปราณ” ได้สำเร็จ

จากนั้น...

ติงโฮวเรียกพลังลมปราณที่ยังไม่แข็งแกร่งในร่างของเขามารวบรวมกันที่กลางจุดตันเถียนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาจึงเริ่มกระตุ้นบริเวณสะดือด้วยท่าทางที่ดูประหลาด

แทบจะทันทีที่ติงโฮวนึกถึงมัน ลมปราณสีขาวเหลือบเงินดูเหมือนเส้นไหมจะเกิดขึ้นบริเวณสะดือของเขาและพลังนั้นจะหมุนวนเร็วขึ้นในเวลาอันสั้น ยังไม่ทันจะได้หายใจ มันก็เกิดเป็นเมล็ดขนาดหัวแม่มือขึ้น มันมีลักษณะเป็นวงรีและส่องประกายสว่างจ้า เมล็ดนั้นหมุนช้า ๆ อย่างหนักแน่นและเป็นธรรมชาติที่จุดตันเถียนของติงโฮว

มันคือเมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณนั่นเอง!

“นี่ข้าทำสำเร็จแล้วงั้นเหรอ” ติงโฮวตกใจตัวเอง

ตามตำรา “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” แม้แต่พวกอัจฉริยะในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นพิเศษหรือมพรสวรรค์ชนิดหาตัวจับยากก็ยังต้องใช้เวลาและพลังมากมายไปในการเรียกเมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณ พวกเขามักใช้เวลากันประมาณ 10 วัน ดังนั้นการที่ใครคนหนึ่งทำสำเร็จภายในวันเดียวคงต้องเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเป็นแน่

ส่วนติงโฮว...เขาทำมันได้ในเวลาไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ?

“ฮ่า ๆ หรือว่าข้าจะเป็นอัจฉริยะหนึ่งในสิบล้าน” ติงโฮวอึ้งจนแทบพูดไม่ออก และในฐานะผู้ที่เคยเป็นพวกทำอะไรไม่เป็นมาก่อน ความทะเยอทะยานของเขาได้บรรลุเป้าหมายแล้วอย่างน่าพึงพอใจ

หลังจากดีใจกับความสำเร็จอยู่ครู่หนึ่ง ติงโฮวบังคับให้ตัวเองใจเย็นและทำให้จิตใจสงบลงอีกครั้ง เขากลับไปทดลองวิธีการใน “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” ต่อ และทำให้เมล็ดแห่งลมปราณอุ่นขึ้นเพื่อที่จะกระตุ้นพลังในตัวเขา

และการที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณนั้นเติบโตขึ้นได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเมล็ดพันธุ์จะต้องอยู่ในสภาพที่อุ่น รวมถึงต้องมีการให้น้ำกับเมล็ดอย่างเพียงพอด้วย

เมื่อถึงจุดที่เมล็ดพันธุ์รู้สึกพอใจแล้ว จึงเริ่มแตกรากและหน่อหยั่งลงไปในร่างของมนุษย์เจ้าของเมล็ด มันจะเป็นแหล่งของพลังลมปราณและพลังทางกายภาพ อันเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในที่ละเอียดอ่อนตามมาด้วย จากนั้นเมล็ดพันธุ์นี้จะเป็นกุญแจสู่ขุมทรัพย์พลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของมนุษย์

นี่เป็นสาเหตุหลักที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์อยู่ในจุดที่ต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป

และแล้วพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ของติงโฮว นั่นก็ทำให้เด็กชายสามารถทำให้เมล็ดพันธุ์พอใจได้ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง!

ที่บริเวณศูนย์กลางของจุดตันเถียน เมล็ดพันธุ์นั้นส่องประกายสีขาวสว่างจ้าเหมือนหิมะสะท้อนแสง แสงเหล่านั้นเปล่งออกมาพร้อมกับเสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ พวกมันส่องประกายสีเงินห่อหุ้มเมล็ดพันธุ์เอาไว้

ตามตำรา “ทฤษฎีเรียกลมปราณ” นี่หมายความว่าเมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณนั้นสมบูรณ์แล้ว ซึ่งตัวติงโฮวเองก็สามารถเข้าใจถึงพลังนั้นแล้วด้วย หากพิจารณาจากระดับการฝึก เด็กชายก็จัดได้ว่าอยู่ในระดับกลางของผู้ฝึกฝนแล้วนั่นเอง

ติงโฮวลืมตาแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายหลังจากเรียกใช้เมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณได้สำเร็จ จากนั้นเขาจึงเดินออกจากกระท่อมไปตรงไปยังลานหน้าบ้าน

ติงโฮวถือดาบเปื้อนสนิมไว้ในมือและฝึกซ้อมกระบวนท่าพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกท่า “ดาบผกผัน” ร่วมด้วย