ตอนที่ 41 จับกุมโม่เฉียน (ฟรี)
ลู่เฟิงรู้สึกอายเล็กน้อย ตอนนั้นเขาเพียงต้องการให้โม่เต๋ารู้สึกอับอาย และกล่าวพูดไปโดยไม่ได้ยั้งคิด
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เหนือไปกว่าอำนาจของเขาอย่างแน่นอน
เขาได้ยิ้มและตอบกลับอย่างรวดเร็ว"ไม่เป็นไร ข้าคือจักรพรรดิ ดังนั้น หากใครมันกล้าที่จะพูดจาว่าอะไรต่อหน้าข้า ข้าก็จะไม่ปราณี”
ฮวามู่หลานจ้องมองไปที่ ลู่เฟิงอย่างรวดเร็ว เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าสถานะที่แท้จริงของลู่เฟิงคืออะไร เธอได้ลดศีรษะต่ำเล็กน้อยด้วยความกลัว แต่หลังจากเห็นลู่เฟิงไม่ได้โกรธเธอก็ถอนหายใจออกมา
ในไม่ช้าข้าราชบริพารกว่าสามร้อยคนที่อยู่ข้างราชวงศ์แต่ไม่ได้ออกมาช่วยเหลือก็เดินทางมาถึง
แต่ละคนมีหน้าตาและหน้าที่ทางการที่แตกต่างกันออกไป แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันหมด
ก็คือใบหน้าของพวกเขาซีดขาว!
ทุกคนหน้าซีดราวกับกระดาษ!
เนื่องเพราะ ลู่เฟิง ไม่ได้พูดอะไรบางอย่าง เพียงแค่บอกให้พวกเขารีบมาที่ห้องโถงเจิ้งหลง
ระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยกองซากศพจำนวนมาก
นอกประตูเมริเดียนโลหิตจำนวนมากได้เปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นดิน พวกเขาต้องการเข้าทางประตูอื่นแต่พวกเขากลับไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น
พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะทำต่างหาก
ข้าราชบริพารเหล่านี้ไม่มีใครโง่ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าจุดประสงค์ของลู่เฟิงคืออะไร
“พวกเราเหล่าข้าราชบริพารขอถวายความเคารพต่อฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน”
เหล่าข้าราชบริพารจำนวนมากได้คุกเข่าลงไปบนพื้นและตะโกนขึ้นพร้อมกัน
เสียงของพวกเขาได้ดังขึ้นชัดเจนเพราะกลัวว่าลู่เฟิงจะคิดว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในพวกกบฏและถูกสั่งประหาร
เหล่าข้าราชบริพารกว่าสามร้อยคนนี้คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหล่าข้าราชบริพารกว่า 1,000 คน ในอดีต นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
ลู่เฟิงไม่ได้ปล่อยให้พวกเขายืนขึ้นแต่ได้กล่าวพูดอย่างแผ่วเบาและถาม“พวกเจ้าไม่ได้กินข้าวปลามาหรืออย่างไร ทำไมถึงทำหน้าซีดเผือกราวกับไก่ต้มแบบนั้น? หรือว่าแท้จริงพวกเจ้าป่วย ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าบางคนกระทั่งบอกว่าป่วยจึงขอนอนอยู่ที่บ้าน เช่นนั้นข้าจะให้แพทย์หลวงไปตรวจเป็นการเฉพาะ มีใครพูดเช่นนั้นออกมาบ้าง ก้าวออกมาข้างหน้าได้เลย?”
เหล่าข้าราชบริพารต่างก็ก้มหน้าและกล่าวพูดพร้อมกัน“ฝ่าบาทพวกเรารู้ตัวว่าทำผิดดังนั้นพวกเราจะส่งมอบรายได้ตลอดสามเดือนไปยังคลังหลวงเพื่อบรรเทาภัยพิบัติในสามมลฑล”
“รอเดี๋ยว”
ลู่เฟิงได้จ้องมองไปที่คนเหล่านี้“ส่งมอบรายได้ตลอดครึ่งปีของพวกเจ้า!”
เพียงแค่เพิ่มมาอีกเท่านึงพวกเขามีหรือจะไม่ยอม แค่ไม่ถูกฆ่าก็ดีเกินพอแล้ว
คนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะชักช้า พวกเขารีบขานรับอย่างรวดเร็ว
แต่ลู่เฟิงไม่ได้วางแผนจะให้มันจบลงเพียงแค่นี้
เขาได้ลุกขึ้นยืนมองดูข้าราชบริพารเหล่านี้และกล่าวพูดอย่างเฉยเมย“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าพวกเจ้าอุทิศตนเพื่ออาณาจักรและเพื่อผลประโยชน์ของข้าในอนาคต ข้าจะไม่ถือความเอาเรื่องนี้อีกต่อไป”
นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นคำเตือน!
เจตนาฆ่าที่รุนแรงได้ถูกปล่อยออกมาทำให้ข้าราชบริพารกว่าสามร้อยคนต้องสั่นสะท้านพวกเขารีบตอบกลับ“พวกเราจะทำให้ดีที่สุดเพื่ออาณาจักรและเพื่อฝ่าบาทจจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“ดีมาก”
ลู่เฟิงได้นั่งลงบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง
“ฝ่าบาทเนื่องเพราะเกิดการสูญเสียเหล่าข้าราชบริพารไปจำนวนมาก ทางอาณาจักรต้องการขุมกำลังเหล่านี้ในการขับเคลื่อนอาณาจักรต่อไปหวังว่าฝ่าบาทจะช่วยจัดสรรหาคนเหล่านี้มาทดแทนอย่างเหมาะสม”เหรินหยาน ราชเลขากรมพิธีการได้กล่าวพูดขึ้น
เขากำลังบอกลู่เฟิงเป็นนัย ๆ ว่า เหล่าข้าราชบริพารนั้นจำเป็นต่อการบริพารบ้านเมืองภายในอาณาจักร
ด้วยอำนาจของเหล่าข้าราชบริพารจะทำให้อาณาจักรสามารถเติบโตขึ้นได้
ลู่เฟิง เอง ก็รับรู้ว่า เหรินหยาน หมายความว่ายังไง
แต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ในชีวิตก่อนหน้านี้เขาได้อ่านนวนิยายจำนวนมากก็จริง แต่เรื่องพิธีการแบบนี้เขาหาได้สนใจไม่
เขามองไปที่เหล่าข้าราชบริพารด้านล่างจากนั้นก็จ้องมองไปที่ เหรินหยาน“เหรินหยาน นอกจากตำแหน่งของข้าราชบริพารทั้งสามร้อยคนนี้ข้าฝากให้เจ้าจัดการมองหาตำแหน่งว่างอื่น ๆ ที่เหลือตามความเหมาะสม ไว้ข้ามีคำสั่งอะไรจะบอกกล่าวอีกที”
“ขอรับฝ่าบาท ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
เหรินหยานรู้สึกตื่นเต้นมาก ฝ่าบาททรงมอบงานจัดหาตำแหน่งด้วยพระองค์เอง นี่หมายถึงเขาได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด
ทางด้าน ลู่เฟิง เหตุผลที่เขามอบงานนี้ให้กับ เหรินหยาน อย่างแรกเลยเขาไม่ค่อยมีความรู้ในด้านนี้ และ อีกอย่าง เหรินหยาน ถือเป็น ข้าราชการอาวุโสที่รับใช้ราชวงศ์มานานอีกฝ่ายน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่าเขา
แม้ว่า เหรินหยาน จะจัดหาลูกน้องคนของตนเองเข้ามารับตำแหน่ง ลู่เฟิง ก็ไม่ได้ดังกังวล เหรินหยาน สามารถกลายเป็นราชเลขาคนแรกที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิองค์ก่อน ต่อมาเขาก็จงรักภักดีต่อราชวงศ์เสมอมาโดยไม่หาผลประโยชน์เข้าส่วนตัว
นอกจากนี้ เขายังมี กองทหาร จินยี่เหว่ย ที่คอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้กับเขา
เพียงแค่ตำแหน่งข้าราชบริพารเหล่านั้นที่ลู่เฟิงได้ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นสำหรับอื่น ๆ เขายังคงมีหน้าที่ที่จะต้องจัดการ
อย่างแรกเลยคือเขาจะต้องระมัดระวังไม่ให้มีไส้ศึกปะปนเข้ามาภายในเพื่อก่อปัญหาให้กับเขาภายหลัง
ตึก ตึก
ในเวลานี้ได้มีเสียงฝีเท้าหนาดังมาจากด้านนอกห้องโถงเจิ้งหลง
หลังจากนั้น เกาชุน และ เจี๋ยสวี่ ก็มาพร้อมกับ กองทหารจินยี่เหว่ย และ นายทหารไม่กี่คน ด้านหลังของเขามีบุรุษคนนึงถูกจับกุมตัวกลับมา
บุรุษคนนี้ตัวเล็กและบอบบางทั้งยังสวมใส่ทหารยามของอาณาจักร
“โม่เฉียน”
ลู่เฟิง ได้กล่าวพูดขึ้นทันทีเขารู้เลยทันทีว่าคน ๆ นี้เป็นใคร แม้ว่าอีกฝ่ายจะปลอมตัวมาก็ตาม
เกาชุน และ เจี๋ยสวี่ ได้คุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวพูดขึ้น“ถวายความเคารพฝ่าบาท ข้าน้อยแม่ทัพเกาชุน และ ปรมาจารย์เจี๋ย สามารถจับกุม บุตรสาวของ เสนาบดีกบฏโม่เต๋า ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำได้ดีมาก”
รอยยิ้มได้ปรากฏบนใบหน้าของลู่เฟิง เขาสามารถจับกุมตัวโม่เฉียนได้ ตอนนี้เขามีโอกาสที่จะทำภารกิจรองให้สำเร็จ
ทุกคนจ้องมองไปที่ ลู่เฟิง และ อยากรู้ว่า เขาจับโม่เฉียนมาทำอะไร
ลู่เฟิงได้จ้องมองไปที่เกาชุนและกล่าวถาม“แม่ทัพเกา บอกข้ามาว่าเจ้าจับนางมาได้อย่างไร?”
ใบหน้าของเกาชุนได้อับอายเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวพูด“ฝ่าบาทเรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับปรมาจารย์เจี๋ย หากไม่ใช่เพราะเขา เกรงว่า โม่เฉียน คงจะหลบหนีไปได้แล้ว”
“เหวินเหอ บอกวิธีมาทำไมเจ้าถึงสามารถจับนางได้”
เจี๋ยสวี่ ได้ยิ้มและตอบกลับ“ฝ่าบาทสิ่งที่แม่ทัพเกาพูดก็ออกจะเกินเลยไปหน่อย ข้าเชื่อว่าแม้จะไม่มีข้า แม่ทัพเกาก็สามารถจับ แม่นางโม่เฉียนกลับมาได้อย่างแน่นอน”
เจี๋ยสวี่ ฉลาดมาก เขาไม่ได้ละโมภโลภมากในอำนาจ
เขารู้ดีว่าเมื่อเทียบกับเกาชุนแล้ว สถานะในใจของลู่เฟิงมีความแตกต่างกันมากดังนั้นเขาจึงไม่พยายามเอาชนะเกาชุนเพื่อเครดิตชื่อเสียงเพียงเล็กน้อย
ลู่เฟิงได้จ้องมองไปที่พวกเขาทั้งสองคนโดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่เขาได้สั่นศีรษะและยิ้ม“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกัน พวกเจ้าทั้งสองคนทำได้ดีมาก รวมถึงกองทหารจินยี่เหว่ย และ นายทหารทุกคนด้วย ทุกคนที่เข้าร่วมในการจับกุมโม่เฉียน จะได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งร้อยเหรียญทอง”