DH บทที่ 5 - เหวนรก
DH บทที่ 5 - เหวนรก
เสียงของติงโฮวฟังดูราวกับว่าเขามาจากจุดลึกสุดของนรก มันทำให้จาวซิงเฉิงขนลุกชันและร่างสั่นเทิ้มไปหมด ส่วนพวกลูกกระจ๊อกของเขาได้หยุดส่งเสียงเชียร์ลงแล้ว พวกเด็กที่ดูบึกบึนพวกนั้นในตอนนี้ต่างก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก
ติงโฮวหัวเราะเยาะและเรียกดาบกลับคืนมา เขากลับหลังหันแล้วออกเดินต่อไปยังริมผาที่เป็นจุดทิ้งขยะ
จางซิงเฉิงและพวกสมุนยังคงประหลาดใจและตัวแข็งอยู่อย่างนั้น จนติงโฮวเดินไกลออกไปภายใต้แสงจันทร์พวกเขาจึงค่อย ๆ ได้สติกลับมาอย่างงุนงงและต่างก็สังเกตเห็นแววตาที่หวาดกลัวของกันและกัน แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องจำเหตุการณ์น่ากลัวราวกับฝันร้ายนี้ไปอีกนาน
“บ้าเอ๊ย ไอ้สารเลวนั่น…” จาวซิงเฉิงหอบหายใจและมองตาขวาง
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไอ้กระจอกอย่างติงโฮวถึงชั่วร้ายและเด็ดขาดแบบนั้นได้ อย่างกับไม่ใช่ไอ้ติงโฮวคนเดิมงั้นแหละ แล้วดาบเก่า ๆ สนิมเขรอะนั่นก็ด้วย มันมีพลังขนาดนั้นได้ไงกัน
จางซิงเฉิงนึกภาพสิ่งที่ติงโฮวทำก่อนหน้านี้และมันทำให้เขาเหงื่อออกไม่หยุด
จาวซิงเฉิงเห็นเต็มสองตา มันชัดเจนว่า “ไอ้หมูพินิจดาบ” คนนั้น ตอนนี้เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและมีทักษะดีกว่าศิษย์สำนักพินิจดาบที่เขารู้จักเสียอีก แต่เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ มันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน
“เอาไงลูกพี่ ให้พวกข้าตามมันไปไหม” สมุนคนหนึ่งหยิบดาบจากมือของจาวซิงเฉิงที่ถูกโยนไปไกลขึ้นมาแล้วถามขึ้น
“ตามมันงั้นเรอะ ทำไมต้องตาม เจ้าสู้มันได้หรือไง อยากโดนอัดจนตายเหรอ” จาวซิงเฉิงตอบอย่างรำคาญใจ เขารับดาบมาจากลูกสมุนแล้วเก็บเข้าฝัก
“งั้น เราจะปล่อยมันไปแบบนั้นงั้นเหรอ”
“ไม่ เราจะหาคนที่เหมาะสมมาจัดการกับมัน คิดเหรอว่าจะหนีไปได้ตลอด หึ หวังว่ามันจะเตรียมตัวไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน ไปพวกเรา!” จาวซิงเฉิงพูดด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
ถึงแม้พวกเขาจะทำอะไรติงโฮวไม่ได้ในเวลากลางวันที่สว่างเช่นนี้ แต่พวกเขาอาจจบชีวิตติงโฮวในเวลากลางคืนแทนก็ได้
จาวซิงเฉิงนั้นไม่ใช่คนที่จะยอมเสียศักดิ์ศรีอยู่แล้ว
วันนี้ติงโฮวทำให้เขาอับอายต่อหน้าพวกลูกกระจ๊อก วันพรุ่งนี้ก็จะถึงตาของติงโฮวบ้างที่จะต้องทรมานกว่าเขาเป็นร้อยเท่า
…
ติงโฮวออกมาไกลจนพ้นจากจางซิงเฉิงแล้ว และไม่นานเขาก็มาถึงปลายทางที่ตั้งใจไว้
มันเป็นพื้นที่ขรุขระลาดชัน ในทุก ๆ วันคนจากสำนักพินิจดาบจะทิ้งขยะผ่านบริเวณนี้ลงไปยังเหวลึกใต้ผา เหวนั้นมีชื่อเรียกว่า เหวนรก
ใต้ผานั้นเต็มไปด้วยหมอกหนาสีดำและลมกรรโชกเกิดเสียงหวีดหวิวน่าขนลุกที่พร้อมจะดึงเอาใครก็ตามที่ผ่านมาบริเวณนั้น
ว่ากันว่ามันเป็นประตูทางเข้าไปสู่ดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยปีศาจร้าย
ด้วยคำกล่าวนี้ สำนักพินิจดาบจึงเกิดความสนใจในเหวนรกแห่งนั้นและได้ส่งคนลงไปสำรวจหลายต่อหลายครั้ง แต่แล้วก็ต้องถอดใจไปหลังจากที่มีทั้งจอมเซียนและสุดยอดปรมาจารย์นักดาบอีกสามคน รวมถึงอาจารย์อีกจำนวนมากหายตัวไปหลังจากเข้าไปยังเหวนั้น
หลังจากนั้น ทางสำนักจึงได้สั่งห้ามทุกคนไม่ให้เข้าไปในเหวอย่างเด็ดขาด จนในที่สุด มันกลายเป็นที่ทิ้งขยะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เวลาผ่านไปหลายพันปี ขยะจำนวนมหาศาลถูกทิ้งลงไปใต้ผานั้นลงไปสู่เหวนรก มันมากมายจนพวกขยะกองสูงขึ้นมาถึงริมผาส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวและอากาศเน่าเสียมาเป็นปี ๆ ทำให้ป่าหินบริเวณนั้นมีสภาพเป็นพิษไปหมด ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสลัมมักมาเดินเล่นที่บริเวณนี้ในสมัยก่อน พวกเขาหายใจเอาอากาศที่เป็นพิษนี้เข้าไปทำให้ถึงแก่ชีวิตไปหลายคน ด้วยเหตุนี้ คนในสลัมจึงไม่ย่างกรายเข้ามาที่นี่อีกเลย เหล่าสาวกที่หยิ่งยโสพวกนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาไม่มีวันเฉียดมาใกล้บริเวณนี้เป็นอันขาด
ต่างกับเจ้าของร่างติงโฮวคนก่อน เขามาที่นี่ทุกคืนเพื่อหาสิ่งของที่อาจเป็นประโยชน์และมักได้บางอย่างติดมือกลับบ้านไปด้วยเสมอ เขาเก็บของบางชิ้นไว้ใช้เองและนำบางชิ้นไปขายที่ตลาด
เขาเป็นคนซื่อสัตย์ กล้าหาญ และกล้าไปในที่ที่คนอื่นไม่กล้า จนเขาได้พบกับเส้นทางที่ปราศจากอากาศที่เป็นพิษจากกองขยะทำให้เขาเดินไปยังหน้าผาได้ในอากาศบริสุทธิ์ นั่นเป็นสาเหตุที่ติงโฮวเป็นคนแรกที่พบว่ามีสมุนไพรขั้นสามอันมีค่าอยู่บริเวณผาแห่งนั้น และสมุนไพรที่ว่านั้นก็คือ “ต้นกล้าหัวใจมังกร”
หากต้นกล้านี้ไปขึ้นอยู่ที่อื่น มันคงก็ถูกถอนเอาไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และคนอย่างติงโฮวก็คงไม่มีโอกาสได้เฉียดพวกมันด้วยซ้ำ ส่วนติงโฮวร่างปัจจุบันคนนี้ก็เพิ่งพบต้นกล้ามังกรอยู่ที่ริมผาเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้เอง
สมุนไพรขั้นสามอย่างต้นหัวใจมังกรนั้นเป็นยาอย่างดีสำหรับการบำรุงเพื่อเพิ่มขีดจำกัดและประสิทธิภาพของร่างกาย ด้วยสมุนไพรนี้ ติงโฮวจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นและพัฒนาขีดจำกัดในตัวเขาให้ผ่านการทดสอบได้ภายในเวลา 15 วันที่เหลืออยู่ และสิ่งนี้เองที่เป็นความหวังสุดท้ายของเขา
ติงโฮวออกเดินไปในทางคุ้นเคยที่ปรากฏในความทรงจำ เมื่อไปถึงจึงนอนราบลงอย่างระมัดระวังและมองลงไปใต้ผา มีหมอกหนาสีดำหมุนวนและลมพัดส่งเสียงโหยหวน กว่าร้อยเมตรใต้หน้าผาแห่งนั้นมีริ้วแสงสีแดงส่องประกายอยู่ในความมืด ซึ่งนั่นก็คือจุดที่ต้นกล้าหัวใจมังกรขึ้นอยู่นั่นเอง
ติงโฮวถึงกับตะลึง ที่นี่อันตรายมากเหลือเกิน บางสิ่งบางอย่างในความมืดข้างล่างนั้นกำลังพยายามดึงเขาลงไปในเหว ทำให้มันยากมากที่จะเก็บต้นกล้านั้นขึ้นมา แต่ติงโฮวไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
เขาลงมือเตรียมการโดยนำเชือกมาผูกต่อเข้าด้วยกันแล้วผูกปลายด้านหนึ่งของเชือกไว้กับหินบนผาและโยนปลายอีกข้างลงไปข้างใต้ เขาวัดระยะที่จะไปถึงต้นกล้านั้นแล้วจับเชือกไว้มั่น ติงโฮวเริ่มไต่เชือกลงไป
“ทำไมข้าถึงมาไต่เชือกลงเหวกลางดึกแบบนี้เนี่ย สายรัดตัวก็ไม่มี ถ้าตกลงไปละก็ ไม่รอดแน่งานนี้!”
ติงโฮวไต่ลงไปได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา เขาโชคร้ายอะไรอย่างนี้
พูดไม่ทันขาดคำก็เกิดเสียงดังขึ้น ดูเหมือนว่าเชือกของเขาจะขาดเสียแล้ว!
ติงโฮวกลัวจนแทบเสียสติ และด้วยแรงโน้มถ่วง ติงโฮวร่วงลงไปอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก
ยังไม่ทันที่ติงโฮวจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็ชนเข้ากับรอยปูดที่ริมผาจนเลือดไหลออกมาทำให้เขารู้สึกปวดไปหมดราวกับร่างแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และแล้วเขาก็หมดสติไป