DH บทที่ 4 - ติงโฮวมาเหนือเมฆ
DH บทที่ 4 - ติงโฮวมาเหนือเมฆ
เพราะความทรงจำของเจ้าของร่างทั้งสองได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ติงโฮวจึงสามารถปรับตัวให้เข้ากับร่างนี้และสิ่งรอบตัวได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะช่วยเจ้า...ไม่สิ ข้าจะช่วยพวกเราเอาตัวติงเค่อเอ๋อกลับคืนมาให้ได้”
ติงโฮวกำหมัดแน่นแล้วปฏิญาณกับตัวเอง
เมื่อได้กล่าวเช่นนั้นแล้ว ความโศกเศร้าและภาพความทรงจำก็ค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับความรู้สึกของเจ้าของร่างคนก่อน และจากนี้ ก็จะมีแต่ติงโฮวผู้ที่เดินทางข้ามเวลามานี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ติงโฮวทำอาหารค่ำอย่างง่าย ๆ เขากินจนอิ่มแปล้แล้วจึงเริ่มวางแผน
เขาต้องแข็งแกร่งกว่านี้ถ้าต้องการจะตามหาน้องสาวของเขา ติงเค่อเอ๋อ
ในดินแดนแห่งนี้ การเป็นคนพเนจรนั้นช่างสิ้นหวัง ติงโฮวจะต้องเข้าสำนักพินิจดาบเพื่อฝึกฝนวิชาและวิทยายุทธอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจากเหล่าศิษย์ที่เก่งกล้าผู้มากประสบการณ์ของสำนักนี้ แต่ในการจะเข้าฝึกนั้น เขาจะต้องผ่านการทดสอบของสำนักให้ได้ก่อน ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง เพราะร่างของเขาในตอนนี้ยังอ่อนแอมากเกินไป เด็กชายจึงจำเป็นต้องเข้าไปสถานที่อันตรายซึ่งเป็นที่ที่เขาจะสามารถเก็บสมุนไพรวิเศษได้
ติงโฮวหยิบเอาเชือกที่เขาหาเจอขึ้นมาและเอาผ้าบางส่วนมาขึง เขาผู้เชือกและผ้านั้นเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้เส้นเชือกที่ยาวมากพอ ติงโฮวพยักหน้ากับตัวเอง เขาเก็บเชือกพาดไว้บ่นไหล่ซ้ายและแบกดาบเปื้อนสนิมไว้บนหลัง ติงโฮวเปิดประตูและออกจากบ้านไป
…
ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว
ทั้งดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้าต่างก็ส่องแสงสีเงินสะท้อนลงบนพื้นดิน นี่สินะคือความงามที่แสนเยือกเย็นของการอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ติงโฮวออกแรงเฮือกใหญ่แล้วรีบออกเดินไปยังริมผา และในชั่วพริบตา ป่าหินสูงตระหง่านและอากาศเน่าเสียก็จางหายไปจากผาแห่งนั้นทำให้เด็กชายมองเห็นดวงจันทร์ในม่านหมอก
เขามีเวลาอีก 15 วันเท่านั้นก่อนจะถึงวันทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบ
ตอนนี้ทุกนาทีมีค่าอย่างมากสำหรับติงโฮว เขาต้องแข็งแกร่งกว่านี้ให้ได้อย่างเร็วที่สุด แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีใครบางคนเข้ามาขัดจังหวะ
“เฮ้ นี่มันติงโฮวเจ้าของฉายา”ไอ้หมูพินิจดาบ“ใช่ไหมเนี่ย รีบไปไหนกันล่ะ จะไปขุดอาหารหมูจากกองขยะอีกแล้วรึไง” เสียงถากถางดังขึ้น
ภายใต้ดวงจันทร์สลัว เด็กวัยอายุ 13 สี่ถึงห้าคนเดินออกมาจากป่าหินด้วยท่าทีหาเรื่องและเข้ามาขวางทางติงโฮวไว้
เจ้าของร่างคนก่อนมักจะทำอะไรโง่ ๆ เพราะเขาหัวรั้นและไม่ฉลาดเอาเสียเลย จนพวกนักเลงตั้งฉายาให้เขาว่า “ไอ้หมูพินิจดาบ” เพื่อจะสื่อว่าติงโฮวคือคนที่โง่ที่สุดในเทือกเขาพินิจดาบนี้
ทุก ๆ วัน เด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้จะเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ และคอยหาเรื่องคนอื่นในสลัม พวกเขามักแกล้งติงโฮวอย่างสนุกสนานเป็นประจำ โดยเฉพาะเด็กชายร่างใหญ่ผิวดำที่เป็นหัวโจกของกลุ่ม จาวซิงเฉิง เขาอายุ 13 ปีและอาศัยอยู่ในสลัมนั้นเช่นเดียวกัน
จาวซิงเฉิงอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเขาที่บ้าน จึงไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองอย่างติงโฮว ดังนั้นทักษะการต่อสู้ของเขาจึงถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ครั้งหนึ่งเข้าเคยเกือบผ่านการทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบมาแล้วด้วย จาวซิงเฉิงฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปีและเขาตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเข้าเป็นศิษย์ของสำนักให้ได้
และยิ่งไปกว่านั้น จาวซิงเฉิงยังโชคดีที่ได้มีโอกาสรู้จักกับศิษย์คนหนึ่งของสำนักและได้รู้ทฤษฎีการฝึกจากเขา จาวซิงเฉิงพัฒนาตัวเองด้วยการฝึกด้วยวิธีที่ได้รู้มาและเพิ่มทักษะให้ตัวเองมากขึ้นทุกวัน ๆ ดังนั้นเด็กคนนี้จึงกล้าที่จะทำตัวเกเร แสดงท่าทีโหดเหี้ยมและหาเรื่องไปทั่วสลัมหลังเขานี้ และนั่นทำให้ไม่มีใครกล้าหือกับเขาด้วยเช่นกัน
ในอดีต ติงโฮวมักจะหลีกเลี่ยงจากเด็กกลุ่มนี้เสมอ หากจำเป็นต้องเผชิญหน้า เขาจะตัวแข็งทื่อและพยายามไม่ขัดใจพวกเขา เพราะติงโฮวคงไม่กล้าตอบโต้ถ้าพวกนั้นทำร้ายเขาขึ้นมา
แต่ตอนนี้ ร่างของติงโฮวมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ติงโฮวคนนี้เมินพวกนั้นอย่างเปิดเผยและไม่แม้แต่จะชายตามอง เขากลับออกวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านเด็กห้าคนนั้นไปยังริมผา
จาวซิงเฉิงตกใจไปชั่วขณะแล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาร้าย เขาแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำของเหล่าวัยรุ่นในสลัมและได้รับการปฏิบัติราวกับว่าเขาเป็นราชา แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเจ้างั่งที่ปกติจะกลัวเขาจนหัวหดคนนี้ จู่ ๆ จะกล้าหาญขึ้นมาเสียอย่างนั้น เจ้านี่ไม่ยอมคุกเข่าต่อหน้าเขาแถมยังเมินเขาอีก แบบนี้มันให้อภัยไม่ได้แล้ว!
จาวซิงเฉิงขยิบตา
เด็กหนุ่มสองคนข้าง ๆ เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและออกวิ่งไปข้างหน้าทันทีแล้วกระชากติงโฮวจากด้านหลัง
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างกำยำผิวสีเข้ม เขาเตะขาติงโฮวจากด้านหลังทำให้ขาของเขางอทันที
“ไปให้พ้น!”
ติงโฮวดูเยือกเย็นขึ้นในทันที เขาลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดไหล่เล็กน้อย
นี่คือ “ท่าดาบผ่าเมฆา” ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายขั้นพื้นฐานของสำนักพินิจดาบ และติงโฮวเกือบจะใช้มันโดยไม่รู้ตัว
“โอ๊ย!”
“อ้อก…”
ภาพที่ติงโฮวโดนเตะจนลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นที่ทุกคนคิดไว้นั้นไม่เกิดขึ้นตามคาด แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มสองคนนั้นซึ่งมีร่างกายแข็งแรงกว่าติงโฮวที่ส่งเสียงกรีดร้องน่ากลัวออกมาแทน กว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีแรงมหาศาลพุ่งเข้าปะทะ ทำให้แขนของทั้งสองปวดร้าวจนต้องลงไปนอนกลิ้งอยู่ที่พื้นเหมือนขวดน้ำเต้าไม่มีผิด โดยเฉพาะเด็กหนุ่มคนที่เตะติงโฮว เขานอนทรมานจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เลย
ภาพที่สุดแสนจะเกินคาดนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“ไอ้เวรนี่เป็นบ้ารึไง กล้าดียังไงมาทำคนของข้า”
หลังจากอึ้งไปชั่วขณะ จาวซิงเฉิงรู้สึกอับอายและส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น เขาหน้าบึ้งและกระทืบเท้าลงกับพื้น เกิดลมพัดผ่านวูบหนึ่งแล้วจาวซิงเฉิงก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วปานเสือชีต้าและชักดาบเล่มยาวออกมาจากเอว เด็กนั่นสั่นดาบเล็กน้อยทำให้มันเปลี่ยนเป็นรังสีเย็นเยือกพุ่งเข้าใส่แขนของติงโฮว
กระบวนท่านี้เรียกว่า “ท่าลิ้นอสรพิษ” จาวซิงเฉิงได้เรียนรู้มันมาจากเพื่อนของเขาที่เป็นศิษย์ในสำนักและมันเป็นท่าที่ชั่วร้ายเป็นอย่างมาก ดาบเล่มยาวนั้นโหดเหี้ยมผิดธรรมดา มันดูเหมือนของเหลวที่เป็นพิษถูกพ่นออกจากปากของงูร้าย ดาบนั้นจะไม่มีวันหยุดเมื่อมันพุ่งออกมาเช่นนั้นแล้ว
จาวซิงเฉิงตัดสินใจฝากบาดแผลที่มีเลือดอาบไว้บนร่างของติงโฮวเพื่อระบายความแค้นของตัวเอง ยังไงติงโฮวก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีใครสนใจและเขาสมควรตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เพียงเพราะตกลงเรื่องเล็กน้อยกันไม่ได้ จางซิงเฉิงก็อยากจะเอาเขาถึงตาย ช่างเป็นเด็กที่โหดเหี้ยมโดยแท้
เหล่าวัยรุ่นต่างส่งเสียงเชียร์เมื่อเห็นจาวซิงเฉิงแสดงทักษะ กระบวนท่านั้นน่าเกรงขามมากถึงขั้นทำให้กลุ่มวัยรุ่นที่ดูอยู่ถึงกับขนลุกกราวไปตาม ๆ กัน พวกเขามีภาพในหัวว่าติงโฮวจะต้องลงไปกองอยู่บนพื้นและร้องขอความเมตตาจากจาวซิงเฉิงแน่ ๆ
แต่ทว่า...
“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!”
ติงโฮวไม่ได้หันกลับมา มีเพียงลำแสงสีแดงพุ่งออกจากมือของเขาตามมาด้วยเสียงดาบกระทบกัน
จาวซิงเฉิงไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกเวียนหัวและทันใดนั้นฝ่ามือของเขาก็ร้อนขึ้น ดาบในมือสั่นอย่างรุนแรงทำให้นิ้วมือเขาปวดไปหมด จนในที่สุดจาวซิงเฉิงไม่สามารถถือดาบของตนเอาไว้ได้อีกแล้ว เขาเสียการควบคุมและปล่อยมันตกลงบนพื้น
วินาทีต่อมา ดาบเปื้อนสนิมเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจ่อที่คอของจาวซิงเฉิง
สัมผัสจากดาบเล่มนั้นเย็นยะเยือกราวกับเป็นสัมผัสของเทพเจ้าแห่งความตาย เขากลัวจับใจจนเหงื่อออกท่วมร่างเหมือนคนกำลังฝันร้าย
ติงโฮวจับด้ามดาบเปื้อนสนิมเล่มนั้น
“ถ้าทำให้ข้าโกรธอีกละก็ เจ้าตายแน่” ติงโฮวพูดชัดถ้อยชัดคำ