DH บทที่ 3 - ความทรงจำ
DH บทที่ 3 - ความทรงจำ
ติงโฮวกำหมัดแน่นและรู้สึกฮึกเหิม เขาสาบานกับตัวเองเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมีทักษะที่เก่งกาจที่สุดในประวัติการณ์และกลายเป็นปรมาจารย์ที่เก่งที่สุดให้ได้ เด็กชายจะเอาชนะนักดาบทุกคน พวกนั้นจะต้องยอมสิโรราบให้เขา
แต่แน่ล่ะ ตอนนี้ติงโฮวเป็นแค่เด็กกวาดพื้นเท่านั้น ไม่มีใครมาสนใจเขาหรอก
ติงโฮวเดินออกมาจากบริเวณนั้น เขาเดินผ่านทางคดเคี้ยวไป และไม่นานนักก็พบกับเนินเขาที่ตั้งอยู่ด้านหลังสำนัก เมื่อเทียบกับดินแดนที่สวยงามด้านหน้าเมื่อนี้ เนินเขานี่ช่างสกปรกและดูเป็นสลัมที่เละเทะเสียจริง ระหว่างทางคดเคี้ยวที่นำมาสู่ที่นี่นั้นก็เต็มไปด้วยพุ่มไม้มีหนามและหินขรุขระมากมายเหมือนที่อยู่ของเหล่าสัตว์ร้ายไม่มีผิด
อาคารเก็บขยะขนาดมหึมาของสำนักเองก็ตั้งอยู่แถวนี้ในอีกฝั่งของหน้าผา มันคอยทำหน้าที่รองรับขยะที่ถูกทิ้งจากสำนักในทุก ๆ วัน ขยะเหล่านั้นสะสมและพอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ปีแล้วปีเล่า มันหมักหมมและเหม็นเน่าจนกลายเป็นที่อยู่ของพวกแมลง และเป็นต้นตอของอากาศเสียที่มีกลิ่นเหม็นเหมือนปลาเน่า ที่นี่มันนรกดี ๆ นี่เอง
ที่ที่น่าขยะแขยงแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยกระท่อมไม้เล็กใหญ่จำนวนมากตั้งอยู่เรียงราย มันดูเหมือนกับที่ติงโฮวเคยเห็นในร่างเดิมของเขา ที่แบบนี้มีคนอาศัยอยู่มากถึงสองหรือสามพันคนเลยทีเดียว และติงโฮวคนก่อนที่เป็นเจ้าของร่างนี้อาศัยอยู่ที่ชุมชนแออัดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
“นี่มันสลัมชัด ๆ ให้ตายเถอะ หนีไปไหนไม่ได้ด้วยสิ คงต้องไต่เต้าด้วยสภาพนี้สินะ!”
จากความทรงจำที่ติงโฮวนึกได้นั้น คนที่อาศัยในสลัมนี้คือพวกแรงงานชั้นต่ำของสำนักพินิจดาบผู้ทำงานให้กับแผนกดูแลและสนับสนุน ซึ่งคนพวกนี้ไม่เคยฝึกวิทยายุทธและไม่มีทักษะการรบเลย พวกเขาจำไม่อาจอาศัยอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเสนอตัวให้กับสำนักพินิจดาบ กลายมาเป็นคนใช้แรงงานเพื่อแลกกับความปลอดภัยและที่อยู่อาศัยหลังด้านหลังสำนักแห่งนี้ คนพวกนี้เป็นคนธรรมดา ๆ ที่มีชีวิตอย่างลำบากในโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย
สองข้างของเส้นทางที่คดเคี้ยวนั้นเต็มไปด้วยกระท่อมที่มีหลังคามุงด้วยใบจาก หลังคาพวกนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำจากการตากแดดตากฝนมาเป็นเวลานาน มีเด็ก ๆ วิ่งไปมาอยากสนุกสนานในร่างที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด ขณะเดินผ่านกระท่อมเหล่านั้น ติงโฮวได้กลิ่นที่ไม่น่าพิสมัยตลอดทางและพบควันลอยอยู่ทั่วไปหมด นั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนอาศัยอยู่มากมายในสถานที่ที่แสนแออัดแห่งนี้
ระหว่างทางกลับบ้าน ผู้คนมากมายทักทายเขาอย่างอบอุ่น มีเพื่อน ๆ ของเจ้าของร่างคนก่อนเข้ามาทักทายเขาด้วย ติงโฮวยิ้มและทักทายตอบทุกคนอย่างกระตือรือร้น
เขาผ่านทางแคบ ๆ มาไม่ไกลนักก็มาถึงยังที่ทิ้งขยะหลังสลัมและไกลออกไปอีกราวสามถึงสี่พันเมตรถัดไปก็คือเหวลึก แต่แล้วติงโฮวก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าบริเวณสุดริมของที่ทิ้งขยะ มีพื้นที่สีเขียวดูสดชื่นอยู่ตรงนั้นด้วย
พืชพันธุ์สีเขียวมากมายปลิวล้อไปกับสายลมภายใต้แสงแดดราวกับเทวดาตัวน้อยที่กำลังเต้นระบำ กระท่อมหลังคามุงจากที่ถูกสร้างอย่างดีสองหลังตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวนั้น และถึงแม้มันจะอยู่ใกล้กับที่ทิ้งขยะมากก็ตาม ติงโฮวมองว่าที่นี่เป็นเหมือนโอเอซิสในทะเลทรายเลยก็ว่าได้ เขาทั้งประหลาดใจและดีใจที่ได้พบกับที่แห่งนี้
และที่นี่ก็คือบ้านของติงโฮวนั่นเอง
เขาเปิดประตูและเดินเข้าสู่ลานสีเขียวแห่งนั้น ในนั้นมีกระถางต้นไม้กว่ายี่สิบต้นวางเรียงกัน พวกมันเป็นดอกไม้ป่าที่พบได้ทั่วไปตามริมทางที่บริเวณจัตุรัสของสำนัก โดยปกติแล้ว พวกมันไม่ได้สวยสะดุดตาอะไรเลย บางครั้งพวกมันยังถูกถอนทิ้งไปพร้อมกับวัชพืชด้วยซ้ำ แต่เมื่อวางอยู่ตรงนี้ มันกลับดูงดงามมากทีเดียว
ติงโฮวเพลิดเพลินกับต้นไม้พวกนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดประตูเข้าไปในกระท่อม
พระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินส่องแสงเข้ามาผ่านทางหน้าต่างทำให้ห้องดูสลัว มีข้าวของเครื่องใช้สองสามชิ้นอยู่ภายในบ้านหลังนั้น มีเตียงไม้เก่า ๆ ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าบาง ๆ โต๊ะสามขาตัวหนึ่ง เตาดินเผาทำจากหิน กระทะสีดำ และอุปกรณ์ทำครัวธรรมดาอีกสองสามชิ้น มีโหลสำหรับใส่ผักดองกับเนื้อสัตว์ และมีลวดเก่า ๆ ขึงไว้บนผนัง สิ่งเดียวที่สะดุดตาในบ้านนี้ก็คือเสื้อคลุมของเด็กผู้หญิงที่ถูกแขวนไว้ข้างประตู เจ้าของเสื้อน่าจะอายุราว 5 ถึง 6 ขวบ เสื้อนั้นทำด้วยผ้าพื้นเมืองและถูกเย็นขึ้นอย่างไม่ละเอียดมากนักแต่มันสะอาดเอี่ยม อ่อง แสงสีแดงที่ส่องสว่างเข้ามานั้นทำให้ภายในกระท่อมดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
เมื่อติงโฮวเปิดประตูเข้ามา เขาก็สังเกตเห็นเสื้อตัวนั้นในทันที มันเป็นของติงเค่อเอ๋อผู้เป็นน้องสาวของเขาและเด็กหญิงมักใส่มันเป็นประจำก่อนที่จะหายตัวไป
เขานึกขึ้นได้ถึงบ่ายวันหนึ่งเมื่อสามปีก่อนขณะที่หิมะตกหนัก เด็กชายทำงานของตัวเองเสร็จแล้วจึงกลับมาหาน้องสาวที่รออยู่ที่บ้าน แต่กลับไม่พบเด็กหญิงที่ไหนเลย ติงโฮวออกตามหาทั่วสลัมอย่างเสียสติ จนได้พบว่ามีพยานมากมายเห็นบุคคลปริศนาในชุดขาวมาพาน้องสาวของเขาไป บุคคลปริศนาผู้นั้นปรากฏขึ้นมาจากไหนอย่างไรไม่มีใครรู้ และเมื่อผ่านกระท่อมของติงโฮว คนคนนั้นก็นำตัวติงเค่อเอ้อที่กำลังร้องไห้ไปกับเขาด้วย ติงโฮวผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมในตอนนั้นได้สังเกตเห็นข้อความที่สลักไว้บนเสาบ้านในภายหลังโดยข้อความนั้นเขียนไว้ว่า
“เด็กคนนี้ถูกกำหนดให้เดินในเส้นทางของข้าและเรียนรู้ในวิธีของข้า จากมู่ฮวงเทียนจีแห่งแดนทักษิณา”
ข้อความนั้นถูกเขียนด้วยลายมือที่บรรจงและมันแสดงให้เห็นถึงพลังที่ไม่ธรรมดาของผู้เขียน เพราะเมื่อคนทั่วไปได้มองก็จะต้องตาลายหากจ้องมันนานเกินไป ด้วยเหตุนี้ คนในสลัมจึงยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าข้อความนั้นจะต้องถูกเขียนโดยจอมยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน
ส่วนมู่ฮวงเทียนจินคือผู้ใดนั้นไม่มีใครทราบได้
สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ก็คือแดนทักษิณานั้นอยู่ไกลออกไปมาก ไกลถึงขั้นที่ว่า หากคนธรรมดาขี่ม้าตลอดทั้งชีวิตก็ยังไปไม่ถึงที่แห่งนั้นได้
หลังจากติงเค่อเอ๋อหายตัวไป ติงโฮวคนก่อนหน้าก็ได้แต่เก็บเสื้อคลุมสีแดงนั้นไว้เพื่อระลึกถึงน้องสาวของเขาตลอดเวลาสามปี
เมื่อติงโฮวมองไปที่เสื้อคลุมสีแดงตัวนั้น ความทรงจำมากมายก็พลันพรั่งพรูออกมาในหัวของเขาอย่างท่วมท้นราวกับคลื่นทะเล ภาพชีวิตของทั้งสองตัดสลับในหัวติงโฮวมากมายเหมือนกับว่าเขากำลังดูภาพยนตร์ ทำให้เกิดความโหยหาขึ้นในใจเขามากมายและมันฝังรากลึกราวกับโรคเรื้อรัง
“พี่ติงโฮว ทำไมพ่อกับแม่ไม่อยากอยู่กับพวกเราแล้วล่ะ พวกเขาไปอยู่ที่ไหนเหรอ”
“พี่ติงโฮว หนูหิว ทำข้าวต้มให้หน่อยได้ไหม”
“โห เสื้อคลุม! สวยจัง! นี่ของหนูเหรอ ขอบคุณนะคะ!”
“พี่ติงโฮว พอโตขึ้น หนูจะทำกับข้าวดี ๆ ให้พี่กินทุกมื้อเลย…”
“พี่ติงโฮว...”
ติงโฮวได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของน้องสาวในหัวของเขา เขายืนอยู่ข้างประตูและน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง ตอนนี้เขารู้สึกอยากจะออกตามหาน้องสาวของเขาเดี๋ยวนี้เลย
ติงโฮวไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้แต่เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จริง ๆ จิตใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า มันทำให้ติงโฮวรู้ว่าในความทรงจำที่ถูกแบ่งปันกันนี้ เขากำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าของร่างคนเดิมผู้ซึ่งคิดถึงน้องสาวของเขาเป็นอย่างมาก