DH บทที่ 2 - โลกใบใหม่
DH บทที่ 2 - โลกใบใหม่
ไม่ทันไรดาบในมือติงโฮวก็สั่นขึ้นอีกครั้ง เขาเริ่มฝึกชุดกระบวนท่าป้องกันตัวเบื้องต้น ดาบของเด็กชายปล่อยแสงวิบวับจำนวนมากอีกแล้ว และนั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าติงโฮวไม่ได้จินตนาการทั้งหมดนี้ขึ้นมาเองอย่างแน่นอน
คราวนี้ติงโฮวใช้ท่าดาบผ่ามิติ ท่าดาบทลายเหมันตร์ ท่าดาบผ่าเมฆา และท่าดาบสลายวายุอย่างคล่องแคล่วมากขึ้น ทุกกระบวนท่านั้นลื่นไหลและว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนั้นติงโฮวยังเพิ่มพลังในแต่ละท่วงท่าของดาบเป็นสองเท่าอีกด้วย ใบมีดนั้นแหวกอากาศส่งเสียงหวีดหวิวพร้อมปล่อยแสงสีแดงสว่างจ้า ทำให้ติงโฮวมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า นอกจากเขาจะรู้จักกระบวนท่าทั้ง 4 เป็นอย่างดี เขายังสามารถใช้มันได้อย่างช่ำชองอีกด้วย
“แปลกดีแท้ การย้อนเวลานั่นทำให้ข้ากลายเป็นอัจฉริยะไปแล้วงั้นเหรอ?”
ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดแล้วในตอนนี้ หรืออาจเป็นไปได้ว่า เพราะการรวมกันของวิญญาณจากสองชีวิตนั้นทำให้เกิดอัจฉริยะที่ไม่มีใครเปรียบขึ้นก็ได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงโฮวก็เกิดความมั่นใจที่จะร่วมการทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบในอีกครึ่งเดือนข้างหน้านี้แล้ว
เมื่อเขาได้เข้าเป็นสมาชิกของสำนักอย่างเต็มตัวแล้ว ติงโฮวจะได้รับการฝึกสอนและเรียนรู้ทักษะพิเศษต่าง ๆ รวมถึงวิทยายุทธในการต่อสู้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาเข้าใกล้ความฝันที่จะกุมชะตาชีวิตตัวเองได้อีกก้าวหนึ่ง ทว่าตอนนี้คงยังเร็วเกินไป ติงโฮวจึงตัดสินใจที่จะฝึกซ้อมต่อไปก่อนที่บริเวณบ่อน้ำดาบพิสุทธิ์ และเพียงครึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาก็ได้ซึมซับทักษะและมีความสามารถมากขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อติงโฮวกวัดแกว่งดาบอย่างรวดเร็ว ความร้อนก็พวยพุ่งออกจากร่างกายเขาจำนวนมาก เลือดลมของเขาเดือดปุด ๆ และไหลพลุ่งพล่านในตัวเขาราวกับน้ำหลาก ดาบเองก็เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ มันเร็วขึ้นจนคนธรรมดาไม่สามารถจับความเคลื่อนไหวได้เลย ตอนนี้ตัวของเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอร้อนสีขาว ก่อนที่แสงสีแดงที่จะส่องสว่างจากดาบเล่มนั้นจนทำให้เกิดภาพที่ดูลึกลับน่าค้นหา
ติงโฮวฝึกซ้อมอยู่อย่างนั้นเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง จนในที่สุดเขาก็ต้องค่อย ๆ ผ่อนแรงลงเพราะกล้ามเนื้อที่ปวดร้าว เด็กชายรู้สึกอ่อนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ตอนนี้ติงโฮวได้ค้นพบปัญหาอีกอย่างหนึ่งแล้ว
ผู้ที่จะแข็งแกร่งได้นั้น นอกจากจะต้องมีพรสวรรค์ ก็จำต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมากด้วยเช่นกัน ทว่าติงโฮวเป็นคนธรรมดาที่ร่างกายมีขีดจำกัด และเขาเองก็ปล่อยให้มันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เพราะไม่เคยฝึกวิทยายุทธเลย ที่สำคัญ ติงโฮวนั้นอายุได้ 14 ปีแล้ว เป็นจุดที่ขีดจำกัดของร่างกายเขาใกล้ถึงเวลาที่จะหยุดพัฒนา ตอนนี้แม้ติงโฮวจะแข็งแรงกว่าคนทั่วไป แต่มันก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อติงโฮวออกแรงเหวี่ยงสุดกำลังขณะที่ซ้อมอยู่นั้น เขาพยายามเค้นพลังของกล้ามเนื้อและกระดูกออกมาทั้งหมด ซึ่งร่างกายของเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ต่อเนื่องมากสุดเพียงสองชั่วโมง หากเกินไปจากนั้น ติงโฮวจะรู้สึกปวดกล้ามเนื้ออย่างทรมานและถ้ายังฝืนทำต่อไป เขาอาจจะบาดเจ็บได้
“แบบนี้ไม่ดีแน่ ถึงจะมีพรสวรรค์แต่ร่างกายข้าอ่อนแอมาก 14 ปีที่ผ่านมาข้าไม่เคยฝึกฝนเลย อย่างนี้เส้นทางสู่การเป็นปรมาจารย์นี่คงไม่ง่ายซะแล้ว ข้าอาจจะไม่ผ่านการทดสอบเข้าสำนักด้วยซ้ำ ต้องหาวิธีฝึกร่างกายให้แข็งแรงอย่างรวดเร็วแล้วล่ะ ตอนนี้ยาบำรุงกำลังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดาย…”
ดินแดนไร้ขอบเขตนี้มีเรื่องราวน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย และแน่นอนว่าต้องมีขุมทรัพย์ธรรมชาติที่จะสามารถเพิ่มขีดจำกัดและเปลี่ยนแปลงร่างกายของคนคนหนึ่งได้ แต่ขุมทรัพย์พวกนั้นหายากและเกินเอื้อมไปหน่อยสำหรับคนที่ต่ำต้อยอย่างติงโฮว มีแต่คนระดับสูงจากตระกูลใหญ่ ๆ เท่านั้นที่จะเข้าถึงขุมทรัพย์ที่ว่าได้
“มีวิธีอื่นบ้างไหมนะ”
ติงโฮวขมวดคิ้วแล้วเริ่มขุดคุ้ยความทรงจำตัวเองอีกครั้ง ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็นึกบางอย่างได้และลืมตาขึ้น แต่กระนั้นแล้วติงโฮวก็เกิดลังเลขึ้นมา หากไปที่นั่นมันจะเป็นการเสี่ยงมากทีเดียวและเขาอาจไม่รอดชีวิตกลับมาเลยก็ได้
“อืม.. ถึงจะอันตราย แต่มันก็เป็นโอกาสเดียวในตอนนี้ ถ้าไม่รอดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าข้ารอดก็จะทำสำเร็จและมันจะยอดมาก ในความอันตรายมักจะมีโอกาสอยู่เสมอ เอาตามนี้แหละ!” ติงโฮวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจพร้อมกัดฟันด้วยความมุ่งมั่น
ในร่างเก่าของเขา ติงโฮวก็เป็นคนทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่แล้ว และหลังจากข้ามเวลามาอยู่ในร่างใหม่นี้เขาก็ยังเป็นเช่นเดิม
พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว กลุ่มเมฆสีเลือดทอดเงาลงทั่วบริเวณ ประตูใหญ่ของสำนักพินิจดาบดูราวกับเป็นทางเข้าสถานที่แห่งสรวงสวรรค์ ผู้คนผ่านไปมาต่างก็ต้องชมเชยและหลงใหลในความงดงามของพลับพลาที่ตกแต่งด้วยหยก ทางเดินคดเคี้ยวนั้นตั้งอยู่บนน้ำ มีสนามฝึกฝนวิทยายุทธมากมายที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ และส่วนพักอาศัยตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ติงโฮวรู้สึกผ่อนคลายลงมาก เขามองภาพประตูสำนักตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะรู็สึกชื่นชมในความงามนั้นด้วยเช่นกัน
“ได้เวลาแล้วสินะ ข้าก็ควรกลับบ้านได้แล้ว”
…
พระอาทิตย์ที่กำลังลับฟ้านั้นมองดูราวกับภาพวาด
ติงโฮวแบกดาบเปื้อนสนิมไว้บนหลังแล้วเดินไปตามทางบนเขา เขามีอุปกรณ์ในการปัดกวาดอยู่บนหลังด้วยเช่นกัน ติงโฮวเดินอย่างสบายใจ เด็กชายเดินขึ้นบันไดที่อยู่ด้านหลังหินก้อนใหญ่ที่ถูกสลักชื่อบ่อน้ำแห่งดาบพิสุทธิ์เอาไว้ บันไดนี้นำเขาไปสู่จตุรัสแห่งสำนักพินิจดาบ ติงโฮวเดินผ่านอาคารโบราณ ต้นไม้เก่าแก่สีเขียวเข้ม รูปปั้นขนาดใหญ่ วิหารสูงใหญ่และชายคาสูงมากมาย และเมื่อเขาเดินผ่านศิษย์ของสำนักที่สวมชุดแบบโบราณ มันทำให้เขารู้สึกประหลาดมากราวกับว่าเขาได้หลุดเข้าไปอยู่ในรายการแฟนตาซีในทีวี
ขณะนี้มีเหล่าศิษย์ของสำนักพินิจดาบจำนวนมากมารวมตัวกันที่กระดานข่าวหน้าพลับพลาและส่งเสียงดังอย่างวุ่นวาย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมดูตื่นเต้นกันจัง”
“เจ้าไม่รู้หรือไง ก็เด็กหนุ่มนักดาบจากสำนักที่เก้าของหัวเมืองเหมันต์น่ะสิ สี่นักดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเหมันต์น่ะไปท้ารบกันที่ยอดเขาเยือกแข็งเพื่อชิงตำแหน่งนักดาบที่ว่องไวที่สุด พวกเขาสู้กันอยู่นาน 10 วัน 10 คืนเลยนะรู้ไหม ตอนนี้พากันกลับมาแล้วล่ะ ทุกคนกำลังพูดถึงอยู่นี่ไงเล่า!”
“จริงเหรอ กวนเฟยตู่ของพวกเราผู้มีฉายานักดาบไล่วายุคนนั้น หนึ่งในสี่นักดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเหมันต์น่ะหรอ ข้าได้ยินมาว่าเขาน่ะเป็นปรมาจารย์เจ็ดทิศเลยนะ เขาเอาชนะอีกสามคนนั้นได้ใช่ไหม”
“แน่นอนสิ กวนเฟยตู่น่ะเก่งจะตายไป เขาแกร่งถึงขั้นสร้างดาบเยือกแข็งขึ้นมาได้เลยนะ ไม่มีใครเทียบชั้นเขาได้หรอก สามคนนั้นน่ะเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ แต่…”
“แต่อะไร กวนเฟยตู่แพ้งั้นเหรอ”
“ก็ไม่เชิง ตอนนั้นกวนเฟยตู่น่ะเอาชนะได้หมดทั้งนั้นแหละ ทั้ง ‘ดาบไวว่องเหล่ยหยิน’ ของจาวอู่หยาจากสำนักเหล่ยหยิน ‘ดาบใจบริสุทธิ์’ ของหมิงเฟยฟ่านจากหมู่บ้านใจบริสุทธิ์ แล้วก็ ‘ดาบสองเงา’ ของเฟิงไท่คังจากตระกูลแห่งศรัทธา เขาได้เป็นที่หนึ่งของนักดาบและสามคนนั้นน่ะก็ก้มหัวพ่ายแพ้ให้เขาแล้ว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า สู้กันจบยังไม่ทันไร อยู่ ๆ เด็กหนุ่มรูปหล่อในชุดขาวอายุแค่ 14 ปีก็โผล่มาจากไหนไม่รู้…”
“เด็กชายในชุดขาว อายุ 14 งั้นรึ”
“ใช่น่ะสิ เด็กนั่นน่ะมาเหนือเมฆเลยล่ะ เก่งมาก ๆ เขาท้าทายพวกนักดาบแล้วเอาชนะกวนเฟยตู่ได้เพียงแค่แกว่งดาบครั้งเดียวเองนะ! พอเด็กนั่นแกว่งดาบครั้งที่สอง นักดาบทั้งสี่คนก็ล้มลงพร้อมกันเลย เสร็จแล้วเด็กนั่นก็หัวเราะแล้วหนีหายไปซะงั้น!”
“ไม่มีทางหรอก! เด็กนั่นมาจากสำนักไหนกันล่ะ ทำไมเขาถึงเก่งได้ขนาดนั้น”
“ข้าได้ยินเขาลือกันว่าอาจจะเป็นอัจฉริยะคนใหม่ไฟแรงจากสำนักดาบอันดับหนึ่งในหัวเมืองเหมันต์ สำนักแห่งสันติน่ะ เด็กนั่นชื่อว่ามู่เทียนหยาง…”
ติงโฮวได้ยินเหล่าศิษย์ของสำนักคุยกัน พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับจอมยุทธ์อัจฉริยะคนหนึ่งในดินแดนนี้
ช่างเป็นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์ที่คาดไม่ถึงจริง ๆ